บทที่ 23 ปีศาจคลั่งขโมยไก่
กลางดึก เขาเซียงอวิ๋นถูกปกคลุมอยู่ในความมืดมิด ยื่นมือออกไปยังไม่เห็นนิ้วทั้งห้า มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านภูเขาน้อยใหญ่ บริเวณโดยรอบสงบเงียบราวกับว่าแม้แต่นกและสัตว์ป่าก็ยังไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
ในค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาผ้าแพรที่โจวซินฉีมอบให้ออกมาพันไว้บนแขน รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว พุ่งทะยานไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่นำไปสู่เขตเลี้ยงไก่หางวิเศษ เงาร่างนี้เคลื่อนไหวรวดเร็ว ไม่นานก็ทะลุพุ่มไม้เข้ามาใกล้ด้านหน้า
สามารถมองเห็นลานเลี้ยงไก่หางวิเศษที่อยู่ห่างออกไปไกลๆ ไก่หางวิเศษพวกนั้นส่วนใหญ่กำลังพักผ่อน แต่ก็มีสี่ห้าตัวที่กำลังเดินเตร่ไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีไก่หางวิเศษตัวหนึ่งที่กำลังเดินมาทางนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งคุกเข่าอยู่ในพุ่มไม้ เลียริมฝีปาก หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่ รอจนไก่หางวิเศษตัวนั้นเดินเข้ามาใกล้แล้ว ก็ค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้ราวกั้น ขณะกำลังจะหยิบกับดักไม้ไผ่ออกมา ทันใดนั้นประสาทสัมผัสเขาก็กระตุก นัยน์ตาเผยแววระวังภัย
ในเวลาเดียวกันนี้ จู่ๆ เสียงคำรามต่ำก็ดังลอยจากจุดไม่ไกลจากด้านหลังเขาเท่าไหร่นัก เงาร่างแต่ละร่างพุ่งออกมาภายในพริบตา ทั้งยังมีลูกไฟแยงตาอีกหลายลูกปรากฏออกมา ส่องสว่างไปทั่วทิศภายใต้ความมืดยามราตรี
“เจ้าโจรขโมยไก่สารเลว ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว!”
“ข้ารออยู่ตรงนี้มาหลายวัน วางตาข่ายฟ้าดินเอาไว้ ดูสิเจ้ายังจะหนีไปได้ยังไง!” เสียงตะโกนดังก้อง เงาร่างเจ็ดแปดร่างบุกพุ่งเข้ามาล้อมป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ในพริบตา
คนเจ็ดแปดคนนี้ก็คือลูกศิษย์ที่เลี้ยงไก่ พวกเขาลำบากรอคอยอยู่หลายวัน ไม่นึกว่าวันนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้ แต่ละคนล้วนเตรียมพร้อมเต็มที่ กะว่าจะต้องสำเร็จโทษเจ้าโจรขโมยไก่ที่นี่ให้ได้
แต่ในพริบตาที่พวกเขาเอ่ยคำพูดออกไปและเคลื่อนร่างเข้ามาใกล้นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็กลอกตาไปมา ทันใดนั้นก็ทำเสียงหึเย็นๆ หนึ่งที
“หุบปาก พวกเจ้าเบาเสียงกันหน่อย!” เขาไม่เกรงใจแม้แต่นิด เอ่ยปากอย่างพูดจาอย่างมีเหตุมีผล ไม่มีการหลบซ่อนตัว ลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ จงใจแสดงผ้าแพรบนแขนให้เห็น
ภาพเหตุการณ์กะทันหันเช่นนี้ ทำให้เจ็ดแปดคนที่บุกเข้ามาพากันอึ้งไปหมด
“พวกเจ้าดูให้ดี ข้าคือหัวหน้ากลุ่มเล็กจับขโมย” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว มองเจ็ดแปดคนที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าเผยความไม่พอใจ
ลูกศิษย์เจ็ดแปดคนนี้มีบางคนที่เคยเห็นหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อตอนกลางวัน ในเวลานี้พอมองประเมินอย่างละเอียดจึงเกิดความลังเลโดยพลัน
“ศิษย์น้องป๋ายนี่เอง…ดึกดื่นขนาดนี้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ลูกศิษย์คนหนึ่งในกลุ่มคนเจ็ดแปดคนเผยความสงสัย จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง เอ่ยปากถาม พอเขาถามเช่นนี้ คนอื่นๆ เองก็ใช้สายตาระแวงมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน
“ในเมื่อศิษย์พี่หญิงโจวให้ข้าเป็นหัวหน้ากลุ่มเล็กจับขโมย ข้าผู้แซ่ป๋ายก็ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจับโจรขโมยไก่ให้ได้ จึงยอมละทิ้งการบำเพ็ญตบะมาเฝ้าอยู่ที่นี่จนดึกดื่น แต่ถูกพวกเจ้าตะโกนเสียงดังแบบนี้ เกรงว่าโจรขโมยไก่ตัวจริงคงตกใจจนหนีไปแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ทำท่าทางว่าการระแวดระวังเตรียมจับโจรถูกทำลายไปหมด สะบัดชายแขนเสื้อขึ้นแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ลูกศิษย์ที่เลี้ยงไก่แต่ละคนมองหน้ากัน คนจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน ความระแวงในแววตาลูกศิษย์คนแรกที่สงสัยป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อครู่ก็ลดหายไปเยอะ ทว่ายังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หมดความระแวง ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งที ไม่รอให้อีกฝ่ายถามต่อ เขาก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยท่าทางเข้มงวดกวดขัน
“มิน่าล่ะไก่หางวิเศษของพวกเจ้าถึงได้หายไปประจำ พวกเจ้าประมาทเลินเล่อกันเกินไป พวกเจ้ามาดูตรงนี้ ราวกั้นนี่พังหมดแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนชี้ไปยังราวกั้นเบื้องหลัง ตรงนั้นชำรุดเสียหายจริง แต่ว่าความเสียหายนั่นมองเห็นไม่ชัด ซึ่งมันพังเพราะเกิดจากไก่หางวิเศษดิ้นรนขณะที่เขามาขโมยไก่ครั้งก่อน
ลูกศิษย์ที่เลี้ยงไก่พากันมองไปยังทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนชี้ เมื่อมองอย่างละเอียดก็ล้วนเห็นความเสียหายของราวกั้น แต่ละคนอึ้งงัน รายละเอียดปลีกย่อยแบบนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไหร่จริงๆ
“แล้วก็ไก่หางวิเศษตัวนั้นอีก มันวิ่งมาทางนี้แล้ว พวกเจ้าจะรักษาไว้ได้ยังไง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งไม่พอใจ เสียงดังขึ้นมาอีกเล็กน้อย ลูกศิษย์เลี้ยงไก่เหล่านั้นที่ได้ฟังเหงื่อตกกันไปตามๆ กัน
“จากการสังเกตของข้า ที่นี่เป็นสถานที่ที่ลับตาที่สุดของเขตนี้ ควรเป็นที่ที่ต้องเฝ้าระวังให้มาก แต่ข้ามาตั้งนานแล้ว พวกเจ้าเพิ่งจะปรากฏตัวกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวหนึ่งที
“พวกเจ้าเป็นแบบนี้จะจับโจรได้ยังไง จากประสบการณ์การจับโจรของข้า หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ไก่ที่นี่หายไปเยอะที่สุด” ประโยคนี้ของเขาเมื่อปล่อยออกมา ใจของลูกศิษย์ที่เลี้ยงไก่ก็สั่นวาบ มองกันและกัน ล้วนเห็นความตกตะลึงในแววตาของแต่ละฝ่าย เพราะจากที่พวกเขารับรู้ ที่นี่เป็นที่ที่ไก่หายไปมากที่สุดจริงๆ
ดังนั้นพวกเขาถึงได้มาเฝ้าที่นี่ คิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะพูดได้ตรงจุดในคำเดียว เมื่อทุกคนมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ในดวงตาค่อยๆ เผยความนับถือ
แม้แต่ลูกศิษย์คนที่เกิดความระแวงก่อนหน้า ในเวลานี้ก็ยังรู้สึกว่าตนเองไร้เหตุผล เห็นการกระทำมีน้ำใจของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถึงขั้นมาจับโจรให้พวกเขาโดยไม่เสียดายเวลาในการฝึกวิชา แล้วก็นึกถึงความกระตือรือร้นรับภารกิจของป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อตอนกลางวัน จึงรีบสูดลมหายใจเข้าติดๆ กัน กำมือประสานโค้งคำนับต่ำๆ หนึ่งที
“ก่อนหน้านี้ล่วงเกินไป ศิษย์น้องป๋ายโปรดอย่าเก็บไปใส่ใจ ขอบคุณพฤติการณ์ที่เชิดชูความเป็นธรรมของศิษย์น้องป๋ายมาก พวกเราจะรีบซ่อมตรงจุดนี้ให้เร็วที่สุด และเฝ้าระวังตรงจุดนี้ให้มาก!”
คนอื่นๆ ก็พากันประสานมือขออภัยเช่นกัน ในใจรู้สึกว่าความกระตือรือร้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีช่างหาได้ยากยิ่ง ช่วยเหลือพวกเขาด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง แต่ละคนจึงยิ่งขอโทษที่ก่อนหน้านั้นบุ่มบ่าม
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที และหลังจากที่ชี้แนะสองสามประโยคอย่างละเอียดจริงจังอีกครั้งถึงได้ก้าวสวบๆ จากไป เบื้องหลังเขา ลูกศิษย์เจ็ดแปดคนนั้นคารวะส่งอีกครั้ง เมื่อมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกความกระตือรือร้นของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้ซาบซึ้งใจแล้ว
“ศิษย์น้องป๋ายเป็นคนดีจริงๆ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเดินออกมาจากเขตนั้น ถูกลมพัดใส่หนึ่งที พบว่าเหงื่อด้านหลังตนเองเย็นเฉียบ แอบโล่งอกอยู่ในใจ เมื่อครู่นี้อันตรายมากๆ แต่ว่าท้องของเขาหิวมาก ดังนั้นจึงคิดไปคิดมา ตัดสินใจว่าจะไปดูสถานที่อื่นอีกสองแห่งว่ามีโอกาสลงมือหรือไม่
เดินอยู่บนทางเส้นเล็กๆ ระหว่างภูเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนมองซ้ายมองขวาสีหน้าเคร่งขรึม ในใจครุ่นคิดว่าเมื่อไปถึงสถานที่ต่อไปจะขโมยไก่ยังไง พอลมพัดมา ผ้าแพรบนแขนของเขาปลิวสะบัด ค่อยๆ เดินจากไปไกล
เวลาเดียวกันนั้น ในท้องฟ้าที่มืดมิดมีเงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นยืนอยู่บนแพรต่วนสีฟ้า กำลังก้มลงมองไปทั่วเขาเซียงอวิ๋น ทันใดนั้นประสาทก็กระตุก สังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังมองซ้ายมองขวา ในสายตาของหญิงสาวค่อยๆ มีความชื่นชมปรากฏเพิ่มมากขึ้น
“ศิษย์น้องเล็กคนนี้เป็นคนกระตือรือร้นมีความตั้งใจรับผิดชอบอย่างแท้จริง” หญิงสาวคนนี้แน่นอนว่าคือโจวซินฉี นางได้ตรวจสอบทุกเขตแดนแล้ว ตอนเริ่มต้นยังมองเห็นว่ามีคนลาดตระเวน แต่เมื่อราตรีมาเยือนทุกคนล้วนบำเพ็ญวิชาของตนเอง มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเพียงคนเดียวที่ออกมาข้างนอก ตั้งใจไปจับขโมย
“มีเขาอยู่ คาดว่าเจ้าโจรขโมยไก่นั่นต้องไม่กล้ากำเริบเสิบสานแน่นอน” โจวซินฉีเก็บสายตากลับมา บินกลับไปที่พักด้วยความวางใจ
หนึ่งชั่วยามต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเตร่ไปแล้วหนึ่งรอบใหญ่ เมื่อกลับมายังลานที่พักของตนเอง เขาตบถุงเก็บของหนึ่งที ไก่หางวิเศษสองตัวปรากฏออกมา เขาหัวเราะฮิๆ จัดการถอนขนออกแล้วโยนเข้าไปในหม้อ กลิ่นหอมลอยกระจายออกมาอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายหนึ่งที รอให้น้ำเดือดไม่ไหว กลืนเอื้อกๆ เข้าไปคำใหญ่อย่างตะกละตะกลาม
สุดท้ายก็เรอออกมาหนึ่งครั้ง ตบพุงนอนอยู่ด้านข้าง ใบหน้าเผยความเคลิบเคลิ้ม
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจริงจังเป็นอย่างมาก มักจะเห็นเงาร่างอันเคร่งครึมเข้มงวดของเขาเข้าออกสถานที่เลี้ยงไก่แต่ละแห่งยามค่ำคืนเป็นประจำ
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ไก่ก็ยังคงหายไปบ่อยๆ ราวกับว่าอีกฝ่ายไปกลับอย่างไร้ร่องรอย ลึกลับยากคาดเดา ลูกศิษย์ที่เลี้ยงไก่ทั้งหลายเหล่านั้นก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้า รวบรวมแรงกายแรงใจเต็มกำลัง เอ่ยคำสาบานอยู่หลายครั้งว่าจะต้องจับเจ้าโจรขโมยไก่มาให้ได้
ยิ่งเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนดูจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่มากกว่าพวกเขา เฝ้าอยู่ที่เขตหนึ่งไม่ยอมไปไหนราวกับว่าหากจับโจรขโมยไก่ไม่ได้ก็จะไม่หยุดพักเด็ดขาด มีครั้งหนึ่งที่เขาถึงขั้นเฝ้าอยู่ตรงสถานที่เลี้ยงไก่ติดต่อกันสี่วันสี่คืนเต็ม
ความกระตือรือร้นมุ่งมั่นเช่นนั้นราวกับได้ก่อร่างเป็นพลานุภาพที่รุนแรงอย่างหนึ่ง ทำให้เรื่องไก่ถูกขโมยเบาบางลงบ้าง แต่กลับไม่เลือนหายไปอย่างเด็ดขาด ไก่หางวิเศษของภูเขาเซียงอวิ๋นได้หายไปแล้วเกินครึ่ง เหลืออยู่อีกไม่มาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกไก่ที่ยังโตไม่เต็มวัย
พอถึงท้ายที่สุด แม้แต่ลูกศิษย์ที่เลี้ยงไก่เองก็ยังทอดถอนใจกับตนเอง ปลงอนิจจังกันบ่อยๆ หากลูกศิษย์ของกลุ่มจับโจรทุกคนเป็นเหมือนศิษย์น้องป๋าย ถ้าเช่นนั้นก็ต้องสามารถจับเจ้าโจรขโมยไก่ได้อย่างแน่นอน
โจวซินฉีเองก็ร้อนใจ หลังเที่ยงของวันหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เลี้ยงไก่ ขณะที่มองไปรอบด้านด้วยสายตาระวังภัย แพรต่วนสีฟ้าเส้นก็หนึ่งมาเยือน เป็นโจวซินฉีปรากฏกาย
“ศิษย์พี่หญิงโจว” หลังจากที่มองเห็น ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงลุกขึ้นยืนทักทายด้วยท่าทางน่าเอ็นดู
“ศิษย์น้องป๋ายลำบากแล้ว” ดวงตาคู่งามของโจวซินฉีมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ใบหน้าเผยรอยยิ้มน้อยๆ
ไม่นาน ลูกศิษย์คนอื่นที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็มาถึง โอบล้อมรอบกายโจวซินฉี ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อยู่ด้านในด้วย
“หลายวันมานี้ ขอบคุณสหายทุกท่านที่ช่วยเหลือ เรื่องนี้ซินฉีซาบซึ้งใจ แต่เจ้าโจรขโมยไก่ก็ยังคงกำเริบเสิบสาน วันต่อๆ ไปข้าคิดว่าจะร่วมปกป้องสถานที่แห่งนี้ร่วมกับพวกเจ้าด้วย” โจวซินฉีเอ่ยปากเสียงเบา หลังจากตามกลุ่มคนไปตรวจสอบพร้อมกันรอบหนึ่งแล้ว คิ้วงามของนางก็ขมวดมุ่น
“หรือเจ้าโจรขโมยไก่คนนี้จะมีเรื่องหมางใจกับท่านอาจารย์? ไม่อย่างนั้นทำไมไก่หางวิเศษของยอดเขาอื่น คนๆ นี้ถึงได้ไม่ไปขโมย กลับมาจ้องเขม็งอยู่แต่กับไก่หางวิเศษของท่านอาจารย์!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินประโยคนี้ ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกาย เกือบจะตบขาหนึ่งที ท่าทางประหนึ่งว่าที่อีกฝ่ายพูดมีเหตุผลอย่างมาก ตัวเขาเองก็กำลังครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้อย่างจริงจัง สายตามองไปยังภูเขาจื่อติ่งที่อยู่ห่างออกไปอย่างอดไม่อยู่ ค่อยๆ หรี่ตาลงเล็ก ปิดบังแววตาชั่วร้ายล้ำลึก
พอโจวซินฉีมาที่นี่ ไม่นานรอบด้านก็มีผู้ที่บูชานางจำนวนไม่ถ้วนเพิ่มขึ้นมามากมาย ทำให้ทั่วสถานที่เลี้ยงไก่หางวิเศษของเขาเซียงอวิ๋นมีแต่คนล้นหลาม
ราวกับว่าเจ้าโจรขโมยไก่ไม่มีที่ให้ลงมือแล้วจริงๆ ทำให้วันต่อๆ มาไก่หางวิเศษไม่หายไปเลยแม้แต่ตัวเดียว
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เจ้าโจรขโมยไก่ที่ลึกลับยากคาดเดาคนนี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดัง ถูกเรียกว่าปีศาจคลั่งขโมยไก่มานานแล้ว สร้างความครึกโครมอย่างถึงที่สุดในกลุ่มลูกศิษย์ ถึงขั้นที่ถูกคนเอาไปเปรียบเทียบกับเจ้าเต่าน้อย กลายเป็นสองบุคคลที่ลึกลับที่สุดของเขาเซียงอวิ๋นที่แม้แต่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเขาชิงเฟิงและเขาจื่อติ่งก็ยังได้รับรู้เรื่องราวด้วย
เห็นว่าโจรขโมยไก่หายไปแล้วโจวซินฉีเองก็สบายใจ แม้ว่าจะจับเจ้าโจรขโมยไก่ไม่ได้ แต่เมื่อนางนึกถึงความจริงจังของป๋ายเสี่ยวฉุนตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา สุดท้ายก็ให้คนนำหยกชิ้นนั้นมามอบให้เป็นขวัญกำลังใจ
ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงไปได้ชั่วขณะ ส่วนความมุ่งมั่นตั้งใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยจดจำภาพสหายร่วมสำนักที่ตัวขาวสะอาดสะอ้าน น่าเอื้อเอ็นดู ทั้งยังมีความกระตือรือร้นอย่างถึงที่สุดคนนี้เอาไว้ในใจ
———-