Skip to content

A Will Eternal 232

บทที่ 232 พลังของผีสี่ตน

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองคงอยู่ในถ้ำต่อไปไม่ได้แล้ว เห็นว่าซ่งจวินหว่านมีสีหน้าเรียบนิ่งราวผืนน้ำ เขาถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง บอกลาซ่งจวินหว่าน ซ่งจวินหว่านลังเลเล็กน้อยก่อนพยักหน้าเบาๆ หลังจากพูดปลอบอีกสองสามประโยค อยู่ๆ นางก็ถามขึ้นมากะทันหัน

“อีกหลายเดือนให้หลัง ก่อนเกิดสงคราม เขาจงเฟิงจะมีการจัดประลองบุตรโลหิต ถึงเวลานั้นข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยข้า” ซ่งจวินหว่านหันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเผยความคาดหวัง

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแสงคมกล้า ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก พยักหน้าตอบรับ จากนั้นจึงออกไปจากถ้ำ

เพิ่งจะออกมาจากถ้ำ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเกิดความลำพองใจ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พึงพอใจอย่างมากกับการที่ได้เล่นงานซ่งเชวีย

“หึหึ เชวียเอ๋อร์ นับแต่นี้ไปข้าก็คืออาจารย์อาของเจ้าล่ะนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกมาถึงตรงนี้ในใจก็ยิ่งเบิกบาน ทว่ายังคงรักษาสีหน้าซีดขาวและเคร่งขรึม กลับไปยังถ้ำตรงพื้นที่นิ้วส่วนล่างด้วยท่าทางหนักใจ

หลังจากมาถึงถ้ำแล้ว ตลอดทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยความผ่อนคลายสบายใจ พอคิดว่าตนได้กลายเป็นผู้อาวุโสของซ่งเชวียแล้วจึงยิ่งสะบัดปลายแขนเสื้อออกเป็นวงกว้างมากกว่าเดิม

“ช่างเถอะๆ ในฐานะที่ข้าเป็นผู้ใหญ่ อย่าไปถือสาเด็กรุ่นเล็กเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงมุมหนึ่ง ไม่สนใจเรื่องในวันนี้อีก แต่เริ่มบำเพ็ญตบะ

ขณะเดียวกัน ในสมองของเขาก็ทำการอนุมานวิธีการปรับปรุงยาวิเศษระดับสี่ ในความเป็นจริงแล้วการหลอมยาช่วงก่อนหน้าของเขา แม้สุดท้ายจะประสบความสำเร็จ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมักมีความรู้สึกว่ามันไม่ราบรื่น

ดังนั้นจึงทำได้เพียงลดปริมาณยาลง เพื่อให้เตาหลอมไม่พังทลาย ทว่าความรู้สึกเช่นนี้คล้ายว่าได้ใช้พลังไปเพียงครึ่งเดียว ทำให้เขารู้สึกเหมือนจะขึ้นก็ไม่ใช่จะลงก็ไม่เชิง

“น่าเสียดาย ด้านการหลอมยาตอนนี้คงทำได้เพียงเท่านี้แล้วล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ แต่กลับไม่มีวิธีแก้ไขปัญหา เขาใคร่ครวญว่ารอกลับไปสำนักธาราเทพก่อนแล้วจะไปถามหลี่ชิงโหว ดูว่าเขามีวิธีแก้ปัญหาหรือไม่

ส่วนด้านการบำเพ็ญตบะของเขาก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ซึ่งช่วงเวลาต่อมาเขาก็สูดรับเอาปราณเลือดทั้งวันเพื่อฝึกบทที่สองของวิชาอมตะมิวางวาย เนื้อคงกระพัน

ร่างสิบคชสารสิบผีร้ายขั้นแรกของเนื้อคงกระพัน ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ฝึกจนสมบูรณ์แบบแล้ว ตอนนี้ร่างสิบผีสิบปีศาจฟ้าซึ่งเป็นขั้นที่สอง ภายใต้ความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของเขา โดยเฉพาะที่ว่าการฝึกวิชาอมตะมิวางวายที่สำนักธาราโลหิตเป็นเหมือนการฝึกในสถานที่วิเศษ เมื่อดูดซับเอาปราณเลือดไปใช้ในที่สุดก็ฝ่าทะลุขั้นไปถึงพลังของผีสี่ตน!

สำหรับระดับความแข็งแกร่งของพละกำลังกายตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทำการวิเคราะห์อย่างง่ายๆ ทว่ากลับไม่มีโอกาสนำมาทดลองใช้อย่างเต็มที่ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของตัวเองอยู่ดี

ความมากมหาศาลของพละกำลังเขาราวกับมีอานุภาพเกรียงไกรที่สามารถทำลายได้แม้กระทั่งกำแพงเหล็กที่แข็งแกร่งคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด พลังของเลือดเนื้อตลอดร่างดุจสามารถเขย่าคลอนแม่น้ำและภูเขา เวลาเดียวกันนี้ ระดับการป้องกันของเขาก็ไต่ไปถึงจุดที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอ้าปากค้างได้เช่นกัน

การโจมตีสุดกำลังของซ่งเชวียก่อนหน้านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่รู้สึกคันยิบๆ เท่านั้น ส่วนเลือดคำนั้นที่กระอักออกมา เขาต้องเปลืองแรงอย่างมากถึงจะฝืนเขย่าคลอนมหาสมุทรวิญญาณในร่างบีบเค้นมันออกมาได้

และยังมีวิชาอภินิหารที่เกิดจากบทเนื้อคงกระพันอย่างชนาเขย่าภูเขา แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่มีโอกาสทดลองใช้มากนัก ทว่าไม่กี่ครั้งที่เคยใช้ก็ทำให้เขาตื่นตะลึงต่อวิชาอภินิหารนี้ไปเรียบร้อย

เขายังถึงขั้นรู้สึกว่า หากตนเอาออกมาใช้สุดกำลัง ต่อให้เป็นภูเขาที่แข็งแกร่งทนทานลูกหนึ่งก็ยังสามารถถูกตนชนจนเกิดเป็นรูโหว่! ซึ่งหากเอามาใช้ชนบนร่างคน จุดจบของคนผู้นั้นก็พอจะคาดการณ์ได้

“ข้ารู้สึกว่าข้าในตอนนี้อยู่เหนือล้ำเกินกว่าปีศาจฟ้าแล้วนะเนี่ย” ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นแคะลงไปบนพื้นดิน ในความรู้สึกของเขา พื้นดินนั่นราวกับเต้าหู้ก่อนหนึ่ง แค่แคะเบาๆ ก็หลุดออกมาเป็นก้อน ไม่สัมผัสถึงอุปสรรคใดๆ เพียงบีบเบาๆ ก้อนหินในมือก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผง

ความรู้สึกแกร่งกร้าวที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันเช่นนี้ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฮึกเหิม ทุกครั้งที่สูบปราณเลือดเข้าไปล้วนเบิกบานเปี่ยมสุขอย่างบอกไม่ถูก ขณะเดียวกันวิชาโลหิตปลิดโลกา ท่ามกลางความไม่รู้ตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน ระดับความเร็วในการก่อตัวเป็นกระบี่ไม่เพียงแต่เพิ่มขึ้นเยอะ พลานุภาพก็แข็งแกร่งมากขึ้นด้วย

โดยเฉพาะเมื่อเขาเอามาใช้ เขาแอบสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าตนเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาจงเฟิง ความรู้สึกเช่นนี้…ราวกับว่าสามารถเขย่าคลอนตลอดทั้งเขาจงเฟิงได้อย่างแท้จริง

แต่เขาไม่กล้าทดลองใช้ต่อไป กลัวว่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตนควบคุมไม่ได้แล้วนำมาซึ่งภัยอันตราย

ยังมีคาถาลมปราณม่วงทงเทียน นี่คือวิชาพื้นฐานของเขา เป็นวิชาลับเดียวที่ซุกซ่อนอยู่ของสำนักธาราเทพ ในช่วงแรกทุกการเริ่มต้นเป็นสิ่งยาก สำหรับการเอาน้ำของแม่น้ำทงเทียนมาจำเป็นต้องมีคนช่วยเหลือ ทว่าตอนนี้เขาอยู่ในช่วงกลางแล้ว เนื่องจากน้ำของแม่น้ำได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งหยด ดังนั้นจึงสามารถควบคุมแม่น้ำทงเทียนได้อยู่มือ ทว่าความสามารถในการหลอมรวมน้ำของแม่น้ำทงเทียนโดยตรง ความเผด็จการเช่นนี้ก็ได้ปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นตามการฝึกบำเพ็ญตบะของป๋ายเสี่ยวฉุน

โดยเฉพาะหลังจากที่เขาฝึกถึงสร้างฐานรากช่วงกลาง น้ำของแม่น้ำทงเทียนหนึ่งถ้วยแช่อยู่บนมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สี่ ความเร็วในการหลอมละลายนั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง บวกกับความช่วยเหลือของยา ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณบนร่างของตัวเองเริ่มมีส่วนที่คล้ายคลึงกับ…แม่น้ำทงเทียนแล้ว

ความรู้สึกลึกลับมหัศจรรย์มากเช่นนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไม่ถูก แต่กลับสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง ในบรรดาสร้างฐานราก พูดไม่ได้ว่าไร้คู่ต่อสู้ แต่กลับสามารถทำลายล้างได้หลายสิ่งหลายอย่าง

ส่วนเนตรทงเทียน แม้ว่าหลังจากมาอยู่สำนักธาราโลหิต ป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะไม่เคยเอามาใช้ แต่ความรู้สึกคันยุบยิบตรงหว่างคิ้วเป็นระยะตามการฝึกบำเพ็ญตบะกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้นสัมผัสได้รำไรด้วยว่าเนตรทงเทียนที่อยู่ในหว่างคิ้วได้มีการสะสมพละกำลังเอาไว้ หากเปิดออกอย่างเต็มที่ ต้องสะเทือนฟ้าสะท้านดินแน่นอน

มีเพียงสิ่งเดียวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พอใจก็คือมหาเวทควบคุมคนรวมไปถึงพลังแม่เหล็ก แม้ว่าหลังจากฝึกคาถาลมปราณม่วงทงเทียนแล้ว พลังในการควบคุมของเขาจะเพิ่มมากขึ้น แต่กลับมีข้อจำกัด

ส่วนพลังแม่เหล็ก ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ศึกษามานานมาก ไม่เคยคิดยอมแพ้ ทว่ากลับเหมือนมีกำแพงกางกั้นอยู่หนึ่งชั้น ยากที่จะฝ่าทะลุไปได้ ทำให้เขาไม่เกิดความชำนาญเสียที

นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดหัวมาก แต่กลับไม่มีวิธีแก้ไข ทำได้เพียงดึงเอาระยะเวลาช่วงหนึ่งของทุกวันมาศึกษาและวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง

เช่นเดียวกันยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่เป็นประจำในช่วงเวลานี้ นั่นก็คือเรื่องที่ซ่งจวินหว่านพูดในวันนั้น เกี่ยวกับการประลองบุตรโลหิตบนเขาจงเฟิงที่จะจัดขึ้นในอีกหลายเดือนข้างหน้า ซึ่งนางหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากป๋ายเสี่ยวฉุน

“หากซ่งจวินหว่านได้เป็นบุตรโลหิต ตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ก็จะว่างลง…ตามหลักแล้วจะเลือกจากผู้อาวุโสสีเลือด แต่หากชื่อเสียงของคนบางคนโดดเด่น ก็สามารถเป็นผู้อาวุโสใหญ่ได้โดยตรง!” เพื่อป้องกันกระต่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้เพียงพึมพำเสียงเบาอยู่ในใจ ดวงตาฉายแสงคมกล้า หลายวันมานี้เขาเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา

เขารู้ว่านี่คือโอกาสอันดีงามของตัวเอง หากทำสำเร็จ เขาก็จะได้ครอบครองวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญชิ้นนั้นแล้วไปจากสำนักธาราโลหิตเสียที

“ตอนนี้ชื่อเสียงของข้าในสำนักธาราโลหิตเทียบเคียงได้กับซ่งเชวียแล้ว แต่หากคิดจะอยู่เหนือผู้อาวุโสสีเลือด ได้กลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่โดยตรง ก็ยังไม่ค่อยพอเท่าไหร่นัก ในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนนี้ข้าจำเป็นต้องทำให้ชื่อเสียงของข้ายิ่งใหญ่กว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเลว ยังไงก็ต้องทำให้จิตใจทุกคนสะท้านสะเทือน แม้ว่าข้าจะสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่ทำให้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น เวลาที่ใครก็ตามพูดถึงต้องหน้าเปลี่ยนสี!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความเด็ดเดี่ยว

เวลาผ่านพ้นไปในเรื่อยๆ สงครามระหว่างสำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถได้เพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง อยู่ในจุดที่แทบจะเรียกได้ว่ายกทั้งสำนักมาทำสงครามกันแล้ว

ทุกวันจะต้องมีข่าวปริมาณมากถูกส่งมา มีทั้งจริงและเท็จ แม้แต่ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน เช่นเดียวกัน การเตรียมสงครามของสำนักธาราโลหิตก็เกือบจะถึงปลายทางแล้ว ลูกศิษย์ส่วนมากถูกส่งออกไปข้างนอก ไม่รู้ว่าไปที่ใด

โดยเฉพาะเมฆสีเลือดบนท้องฟ้าของสำนักธาราโลหิต ภายใต้การสังเกตการณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเห็นว่ามันหนาแน่นขึ้น มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ…จนกลายมาเป็นแรงกดดันอย่างหนึ่ง แรงกดดันนี้ทำให้จิตใจของทุกคนกระวนกระวาย ขณะเดียวกันก็ทำให้ปราณเลือดตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตยิ่งเข้มข้นขึ้นด้วย

เวลากันนั้น แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะปิดด่าน น้อยครั้งที่จะออกไปข้างนอก ทว่าข่าวลือเกี่ยวกับเขากลับไม่เคยลดน้อยลง กลับกลายเป็นว่าเมื่อผ่านการกลั่นตัวอยู่ช่วงหนึ่งจึงยิ่งเกินจริงมากขึ้นไปอีก

โดยเฉพาะสาเหตุที่ซ่งเชวียถูกลงโทษให้ปิดด่าน ไม่รู้ทำไมถึงมีคนมากมายรู้สาเหตุนี้ บวกกับพลังในที่มืดระลอกหนึ่งที่คอยก่อกวนและหาเรื่องเย่จั้ง ทำให้ขณะเดียวกันกับที่มีข่าวลือจำนวนนับไม่ถ้วนแพร่ไปทั่วเขาจงเฟิง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีคนทั้งเกลียดทั้งกลัวมากขึ้นไปด้วย

และเวลานี้เอง คนมากมายต่างก็นึกถึงนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมย…นึกถึงความไม่กินเส้นกันระหว่างนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยและเย่จั้ง ดังนั้นจึงพากันส่งข่าวเป็นข้อความเสียงให้กับนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมย หวังว่าเซวี่ยเหมยจะช่วยออกหน้าให้พวกเขา

“ขอนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยโปรดออกหน้าจัดการเย่จั้ง!”

“เย่จั้งผู้นี้น่ากลัวไร้ที่สิ้นสุด คนมากมายของเขาจงเฟิง เขาซือเฟิง ล้วนระทมทุกข์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้…”

“ยังมีผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิงอีกคนที่เอนเอียงเข้าข้างเย่จั้ง ขอนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยโปรดสังหารมารโรคห่าให้สิ้นซาก!”

เสียงมากมายเหล่านี้ที่ส่งมา ทุกวันเซวี่ยเหมยจะต้องได้รับมาไม่น้อย สำหรับความโหดร้ายทารุณมากมายของเย่จั้งมีให้ได้ยินมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว ลำพังเพียงแค่ฟังจากเนื้อหาในเสียงที่ส่งมา ในสายตาของคนสำนักธาราโลหิตจำนวนไม่น้อย เย่จั้งได้กลายเป็นบุคคลน่ากลัวเฉกเช่นราชามารไปแล้ว

เพียงแต่ว่าเซวี่ยเหมยเองก็ไม่มีหนทางเท่าใดนัก ตอนนี้เย่จั้งมีบุรพาจารย์ในสำนักคอยหนุนหลัง ทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการหลอมยา ชื่อเสียงโดดเด่นเทียบเคียงได้กับซ่งเชวียแล้ว

บุคคลเช่นนี้ เซวี่ยเหมยเองก็ไม่สามารถลงมือได้อย่างโจ่งแจ้งนัก อีกอย่างนางก็สัมผัสได้นานแล้วว่าความสามารถในการรบของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ธรรมดา หลังจากแอบเปรียบเทียบกันดู นางรู้ว่าหากตนคิดจะสังหารอีกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้สำเร็จในชั่วระยะเวลาอันสั้น

เซวี่ยเหมยนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ ขณะที่กำลังไตร่ตรอง ดวงตาก็มีประกายเย็นเยียบวาบผ่าน นางย่อมมองออกว่ามีคนแอบผลักดันให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอย่างลับๆ คิดจะยืมมือตนสังหารเย่จั้ง

ทว่านางไม่สนใจว่าคนที่อยู่ในที่มืดผู้นี้คือใคร เพราะหากมองจากจุดยืนของนาง นางเองก็มีความคิดอยากฆ่าเย่จั้งอยู่เหมือนกัน

“อีกไม่นานจะมีการประลองบุตรโลหิตเกิดขึ้น บุตรโลหิตของเขาจงเฟิงรุ่นนี้จะเป็นการช่วงชิงระหว่างข้าและนางคนชั่วช้าซ่งจวินหว่านนั่น…และเย่จั้งผู้นี้ก็จะกลายมาเป็นกำลังสำคัญของซ่งจวินหว่าน หากกำจัดคนผู้นี้ได้จะมีประโยชน์ต่อข้ามาก” เซวี่ยเหม่ยยิ้มเย็น จิตสังหารในดวงตายิ่งเพิ่มมากขึ้น

“เย่จั้งผู้นี้ก่อนหน้านั้นชื่อเสียงไม่โดดเด่น เป็นคนปกติธรรมดาอย่างมาก ทว่าหลังจากกลับมาจากหุบเหวกระบี่อุกกาบาต กลับมีชื่อเสียงเด่นดัง ความสามารถไม่ธรรมดาอย่างถึงขีดสุด ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง!”

“ตัวตนของเขาต้องมีปัญหาแน่นอน หากไม่มีก็ต้องหาให้มีให้ได้!” จิตสังหารในดวงตาเซวี่ยเหมยยิ่งมีมาก ในเมื่อไม่สามารถลงมือได้อย่างโจ่งแจ้ง ถ้าเช่นนั้นการตรวจสอบแบบลับๆ แล้วค่อยลงมือตอนการต่อสู้ที่แสนเปราะบางครั้งนี้ บางทีอาจมีโอกาสสังหารและทำลายได้มากกว่าเดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!