บทที่ 235 มารโรคห่ามาแล้ว
“หญ้ามังกรชะนี…ก่อนหน้านี้ข้าใส่ไปแค่ต้นเดียว คราวนี้ในที่สุดก็ใส่สิบต้นได้แล้ว!”
“ผลเมฆาไฟ…อืม ใส่สักยี่สิบผลก็แล้วกัน!”
“แล้วยังมีใบแสงดาวนี่ด้วย ตามหลักการแล้วใช้ครึ่งใบก็พอ แต่เตาหลอมใหญ่ขนาดนี้ ครึ่งใบจะไปพอได้ยังไง ใส่สักสิบใบเลยก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา เดิมอ้อมเตาหลอม หยิบเอาพืชหญ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากจัดระเบียบเรียบร้อยแล้วก็โยนเข้าไปในเตา
ทั้งยังมีหินเพลิงโลหิตจำนวนมากที่ถูกเขานำไปวางด้านล่างเตา ก่อให้เกิดอุณหภูมิร้อนสูง ทว่าเตานี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ความร้อนสูงขนาดนั้น หากเปลี่ยนเป็นเตาอื่นต้องกลายเป็นสีแดงฉาน แต่เตาหลอมขนาดยักษ์นี้แค่ร้อนนิดๆ เท่านั้น
พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งดีใจ จมจ่อมอยู่กับการหลอมยา พืชหญ้าที่ใส่ลงไปก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่คิดควบคุมการระเบิดของฤทธิ์ยาเลยแม้แต่นิดเดียว หลอมยาอย่างเต็มที่ ทุ่มเทกายใจไปกับตำรับยาที่อนุมานขึ้นมาในสมอง
ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้เขาโปร่งสบายไปหมด ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องต้นทุน ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องฤทธิ์ยาที่อาจแรงเกินไป ทั้งไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องที่เตาหลอมยาอาจแบกรับไม่ไหว เขาแค่พิจารณาว่าควรจะหลอมยาอย่างไรเท่านั้น
นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่อนคลายไปทั้งร่าง แม้ว่าเส้นผมจะรุงรังยุ่งเหยิง แม้ว่าดวงตาจะเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย แต่เขาก็ยังคงฮึกเหิมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พืชหญ้าถูกเขาโยนออกมาไม่ขาดสาย จนกระทั่งผ่านไปเจ็ดวัน พืชหญ้าปริมาณมหาศาลที่อยู่ในถุงเก็บของถูกเขาโยนเข้าไปแล้วครึ่งหนึ่ง ภายใต้การส่งผลกระทบต่อกันและกันอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดสรรพคุณยาในเตาหลอมก็เริ่มระเบิดออก
บางครั้งมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังลอยมาจากในเตาหลอม และสีของเตาก็ไม่ใช่สีเขียวอีกต่อไป แต่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ทว่าดูท่าแล้วคงไม่มีทางระเบิดได้จริงๆ
พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง
“เตาวิเศษแท้ๆ!” เขาวางใจได้ในที่สุด ตกอยู่ในภวังค์การหลอมยาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่คอยใส่พืชหญ้าเป็นระยะ ภายใต้การคิดวิเคราะห์ถึงตำรับยาในสมอง ความคิดและแรงบันดาลใจใหม่ๆ จึงเกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาสามารถทดลองได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังใช้วิธีพืชหญ้าหมื่นสรรพสิ่งที่ตนเองเรียนรู้มาสร้างสรรค์สรรพคุณยาที่ตัวเองต้องการ
ผ่านไปอีกห้าวัน เสียงดังตูมตามในเตายิ่งรุนแรง ตลอดทั้งเตาหลอมเป็นสีแดงฉาน ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็เอาพืชหญ้าทั้งหมดใส่ลงไปเสร็จสิ้น เขานั่งอยู่ด้านข้างด้วยความพึงพอใจ พลันนึกถึงอะไรได้บางอย่างจึงรีบบินขึ้น ดูดรับเอาปราณเลือดรอบด้านให้ก่อตัวกันขึ้นมาเป็นเลือดมิวางวายเส้นหนึ่งซึ่งแฝงเร้นไว้ด้วยปณิธานของเขาแล้วโยนเข้าไปในเตาหลอม
จากนั้นถึงได้ควบคุมฝาเตาให้มาปิดเตาหลอม
ทว่าวินาทีที่ปิดฝาลงนั้นเอง เนื่องด้วยการหลอมรวมและการปะทะกันอย่างต่อเนื่องของฤทธิ์ยาในเตาไม่สามารถถูกปลดปล่อยออกมาภายนอกได้อย่างก่อนหน้านั้น จึงทำให้เกิดเสียงดังราวฟ้าคำรณ ระหว่างที่เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เตาหลอมยานี้ก็สั่นสะเทือน สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าอุณหภูมิร้อนไต่สูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง…
ตอนแรกเริ่มป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่รู้สึกอะไร ยังคงประทับใจในความมหัศจรรย์ของเตาหลอมนี้ที่ไม่ระเบิดจริงๆ ดังนั้นจึงฝึกบำเพ็ญตบะอย่างสบายใจ มีบ้างบางครั้งที่ตรวจสอบปรับปรุงการเปลี่ยนแปลงของฤทธิ์ยาในเตาหลอม
แต่หลายวันต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มอกสั่นขวัญแขวน เขามองเตาหลอมที่กลายเป็นสีแดงโร่อย่างสมบูรณ์แบบ มองอุณหภูมิสูงที่ถูกปล่อยออกมา ในรัศมีหนึ่งจั้งรอบเตาหลอม ความว่างเปล่าเกิดการบิดเบือน โดยเฉพาะบนพื้นดินที่มีลางเกิดรอยปริร้าว
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายลงคอ ขณะที่กำลังจะเข้าไปใกล้ คลื่นความร้อนพลันพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า ทำเอาเขาตกใจจนรีบถอยกรูด กลัวจนตัวสั่น
“เตาหลอมใหญ่ขนาดนี้ หากระเบิดขึ้นมา…ชีวิตน้อยๆ คงข้าคงไม่เหลือแน่ๆ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ต่อให้นึกถึงถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของบุตรโลหิตยอดเขาเส้าเจ๋อเฟิงที่ว่า”เตาหลอมนี้ไม่มีวันระเบิด” ทว่าเขาก็ยังคงรู้สึกกระวนกระวายใจ
“น่าจะไม่เป็นอะไรกระมัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มเสียใจซะแล้ว ก่อนหน้านี้เขาใส่พืชหญ้ามากเกินไปโดยไม่คิดควบคุมตัวเอง เพราะว่าเพลินไปหน่อย ทว่าพอเห็นเตาหลอมเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ไม่รู้สึกว่า…มันจะไม่มีวันระเบิดอย่างที่บอกเลยสักนิด
รออีกสี่วัน เตาหลอมนี้เริ่มสั่นสะเทือน การบิดเบือนรอบด้านไม่ได้อยู่ในระยะหนึ่งจั้งอีกต่อไป แต่ขยายมาเป็นสิบจั้ง ความรุนแรงของอุณหภูมิร้อนทำให้แม้แต่ผนังหินก็คล้ายจะหลอมละลาย ราวกับว่าระดับความร้อนเพิ่มพูนขึ้นทุกเวลานาที ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหงื่อแตกพลั่กราวฝนตก เบิกตากว้างอ้าปากค้าง หวาดกลัวตะลึงพรึงเพริดไปนานแล้ว
เขาอยากจะหยุดยั้ง แต่กลับพบว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมได้ ยาวิเศษที่อยู่ในเตาหลอมตอนนี้กำลังค่อยๆ ก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่าง สามารถจินตนาการได้ว่าหลายวันต่อจากนี้ จากการที่ยาวิเศษก่อเป็นรูปขึ้นมา ระดับความร้อนยังต้องเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ ตื่นเต้นอย่างมาก เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนั่งอยู่บนภูเขาไฟ อีกอย่างภูเขาไฟลูกนี้ก็สามารถปะทุขึ้นมาได้ตลอดเวลา เขาถอยหลังกรูด พอออกจากถ้ำมาได้เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก วางมาดลึกล้ำเกินคาดเดา เดินเร็วๆ สองสามก้าวออกไปจากพื้นที่ค่ายกล คิดจะหนีไปจากเขาเส้าเจ๋อเฟิง
เขารู้สึกว่าเขาเส้าเจ๋อเฟิงแห่งนี้อันตรายเกินไป ไม่ควรอยู่นาน…
ก่อนจะจากไป ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงพลันสัมผัสได้จึงบินออกมาทันที ขัดขวางป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้
“ศิษย์น้องเย่จั้ง เจ้าจะไปไหน? ยาวิเศษของพวกเราหลอมเสร็จแล้วหรือ?” ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงถามด้วยความเกรงใจ
ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น ทว่ากลับไม่เผยความรู้สึกใดออกมาทางสีหน้า เอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง พูดเนิบนาบ
“วางใจเถอะ ข้าหลอมยาวิเศษแล้ว แต่ว่ายาเรือนกายโลหิตร้อยเม็ดจำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อให้ความอบอุ่น สามเดือนให้หลัง ข้าจะมาเปิดเตาหลอมที่นี่ด้วยตัวเอง ถึงเวลานั้นยาก็จะหลอมสำเร็จ”
“และตอนนี้ข้าจะไปเขาอู๋หมิงเฟิง ยังไงซะข้าก็รับปากพวกเขาแล้วว่าจะไปหลอมยาให้” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบหาข้ออ้าง สีหน้าของเขาเป็นปกติ แววตานิ่งสงบ แม้ว่าในใจผู้อาวุโสใหญ่จะลังเล ทว่ากลับมองไม่เห็นพิรุธใดๆ
“ก็ดี ข้าผู้อาวุโสจะไปส่งศิษย์น้องเย่จั้งที่เขาอู๋หมิงเฟิงเอง!” ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงยังรู้สึกไม่ชอบมาพากล ดังนั้นพอพูดจบจึงบินไปทางเขาอู๋หมิงเฟิงพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา หลังจากพยักหน้าก็ปล่อยให้อีกฝ่ายตามมาด้วย ไม่นานก็มาถึงเขาอู๋หมิงเฟิง ชายแคระของเขาอู๋หมิงเฟิงรีบออกมาต้อนรับทันที นั่นถึงได้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคลายใจลงไปในที่สุด เพิ่งจะเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว อยู่ๆ เขาก็หันกลับมามองผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิง
“ใช่แล้ว ในสามเดือนนี้ห้ามเหยียบย่างเข้าไปในถ้ำหลอมยา และยิ่งไม่ควรไปแตะต้องเตาหลอมยาด้วย มิฉะนั้นหากเตาหลอมยาแตกขึ้นมา พวกท่านต้องรับผิดชอบผลร้ายกันเอาเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบก็หมุนตัวตามชายแคระตรงดิ่งเข้าไปในเขาอู๋หมิงเฟิง ในใจตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่มีทางกลับไปที่เขาเส้าเจ๋อเฟิงอีกเด็ดขาด
“หากที่บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงพูดเป็นเรื่องจริง ถ้าเช่นนั้นเตาหลอมยานั่นก็ไม่มีทางระเบิด ส่วนยาก็หลอมออกมาได้สำเร็จ แต่หากเตาหลอมระเบิด…นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของข้าสักหน่อย” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดอย่างนี้ก็รู้สึกว่าตนซื่อสัตย์อย่างมาก ไม่ได้ทำอะไรผิด ดังนั้นจึงวางใจลง ตามผู้อาวุโสใหญ่ไปพบบุตรโลหิตของเขาอู๋หมิงเฟิง
ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ บุตรโลหิตของเขาอู๋หมิงเฟิงจะมอบหัวปีศาจตนหนึ่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน โดยมีผู้อาวุโสใหญ่เขาอู๋หมิงเฟิงเป็นผู้จัดหาพื้นที่แห่งหนึ่งของนิ้วส่วนล่างแบ่งแยกไว้เป็นสถานที่หลอมยา
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบย่างเข้าไปในพื้นที่หลอมยา ข่าวการมาหลอมยาที่เขาอู๋หมิงเฟิงของเขาก็แพร่ไปทั่ว นักพรตของเขาอู๋หมิงเฟิงล้วนใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง สำลักลมหายใจ
พวกเขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีฉายาว่ามารโรคห่า ทั้งยังเคยได้ยินความน่ากลัวในการหลอมยาของเขาที่บอกกันว่าเป็นเรื่องอันตรายเทียบเคียงได้กับบุรพาจารย์ ทุกคนสามารถเผชิญกับหายนะที่รุนแรงยิ่งกว่าวิกฤตความเป็นความตายได้ตลอดเวลา…
ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างที่เขาจงเฟิง เขาซือเฟิง ลอยขึ้นมาปรากฏอยู่ในสมองของนักพรตเขาอู๋หมิงเฟิงอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้มีความมั่นใจแบบนักพรตที่หลอมเรือนกายอย่างเขาเส้าเจ๋อเฟิง ยามนี้ทุกคนจึงพรั่นพรึงหวาดผวากันไปหมด
“มารโรคห่ามาแล้ว!! ตอนที่เขาหลอมยา ความสยองขวัญไร้ที่สิ้นสุด ทุกคนยังจำจ้าวสุ่ยมู่ของเขาซือเฟิงได้ไหม ตอนนั้นเขาเกิดประสาทหลอน นึกว่าตัวเองคือหญ้าวิเศษต้นหนึ่ง ตอนนี้เวลาที่เขามองเห็นยาวิเศษก็มักจะเหม่อลอยอย่างอดไม่ได้…”
“นี่ยังไม่เท่าไหร่ โจวอี้เปียวผู้นั้นยังฝันถึงเรื่องที่เขาเรียกตัวเองว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่เลย…”
“และยังมีสหายร่วมสำนักของเขาจงเฟิงพวกนั้นอีก แม้ว่าหลายคนจะกลับคืนมาเป็นปกติแล้ว แต่ทุกคนล้วนไม่มีขน ทั้งยังทิ้งโรคท้องร่วงไว้ในภายหลังอีกต่างหาก มีครั้งหนึ่งข้าเห็นด้วยว่านักพรตเขาจงเฟิงกำลังเกิดความขัดแย้งกับคนอื่น เห็นชัดๆ ว่าเขาได้เปรียบ แต่อยู่ๆ ก็หน้าเปลี่ยนสี…เจ้าคงเข้าใจ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณโดยรอบที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยา นักพรตทุกคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นต่างหนังหัวชาหนึบ รีบย้ายออกไปโดยใช้ความเร็วที่เร็วที่สุด ไม่นานนักพรบเกือบห้าส่วนของเขาอู๋หมิงเฟิงล้วนเลือกที่จะออกไปจากถ้ำของตัวเอง ไปหาที่อยู่อาศัยช่วงล่างของภูเขา
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกงุนงงเล็กน้อย มองเห็นว่าเขาอู๋หมิงเฟิงเงียบสงบลงมาก โดยเฉพาะรอบด้านเขาที่ยิ่งเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน ดังนั้นจึงไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ครุ่นคิดว่าตัวเองยังไม่ทันทำอะไรสักหน่อย คนพวกนี้ทำไมต้องอ่อนไหวขนาดนี้ด้วย
“ข้าหลอมยาที่เขาเส้าเจ๋อเฟิงก็ไม่ได้เกิดเรื่องสักหน่อย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย หลังจากกลับมายังสถานที่หลอมยาก็นั่งลงทำสมาธิ สายตากวาดมองไปรอบด้าน สุดท้ายมาตกอยู่ที่มุมหนึ่ง
ตรงนั้นมีเงาดำอยู่กลุ่มหนึ่ง กำลังล่องลอยเคว้งคว้าง แผ่ปราณเย็นเยียบออกมาเป็นระลอก
สิ่งนี้ก็คือหัวปีศาจของเขาอู๋หมิงเฟิง มีความคล้ายคลึงกับผีเหี้ยนของเขากุ่ยหยาในสำนักธาราเทพ แต่กลับมีส่วนที่ไม่เหมือนกันก็คือผีเหี้ยนไม่มีสติปัญญา อัตราการเติบโตมีไม่สูง
ทว่าหัวปีศาจกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อผ่านการหลอม ผ่านระยะเวลาช่วงหนึ่ง มันจะเกิดสติปัญญา อีกทั้งตัวของมันเองยังสามารถบำเพ็ญตบะได้ ระดับความโหดร้ายไม่น้อยไปกว่าผีเหี้ยน แถมนิสัยเจ้าเล่ห์ก็ยิ่งมีมากกว่าผีเหี้ยนหลายเท่า
โดยเฉพาะเมื่อหลอมได้ในระดับหนึ่ง มันสามารถแปลงวิชาอภินิหารที่แปลกประหลาดบางอย่างได้ ทั้งยังชิงดีชิงเด่น ควบคุมคนได้ หรือถึงขั้นแปลงกายมาเป็นมารในใจ ฆ่าคนไร้ร่องรอย ทั้งยังโหดเหี้ยมกระหายเลือด
วิธีการหลอมที่แตกต่างกันก่อให้เกิดหัวปีศาจที่ไม่เหมือนกัน ชื่อเสียงสำนักมารของสำนักธาราโลหิตก็มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับหัวปีศาจของเขาอู๋หมิงเฟิง
ส่วนความเป็นมาของหัวปีศาจนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นความลับอย่างถึงที่สุดของสำนักธาราโลหิต ตอนนี้หัวปีศาจที่อยู่ในถ้ำของเขาเป็นเพียงแค่หัวปีศาจธรรมดาที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาเท่านั้น สติปัญญายังไม่สูง ด้วยหวาดกลัวปราณดุร้ายจากร่างป๋ายเสี่ยวฉุน จึงไม่กล้าเข้ามาใกล้ ได้แต่ตัวสั่นหลบอยู่ในมุม