Skip to content

A Will Eternal 236

บทที่ 236 เสี่ยวเฮย สูดมัน!

“มานี่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองไปยังเงาดำที่ตัวสั่นงันงกอยู่ในมุม หยิบเอาแผ่นหยกสีม่วงแผ่นหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ คำพูดของเขาดังออกมา เงาดำนั่นสั่นสะท้านอีกครั้ง ค่อยๆ ลอยมาหาป๋ายเสี่ยวฉุน จนกระทั่งมาหยุดอยู่ด้านหน้าเขาจึงรวมตัวกันขึ้นมาเป็นกลุ่มหมอกกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มหมอกนั้นมีใบหน้าผลุบๆ โผล่ๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นคว้าจับ แต่มือกลับลอดทะลุผ่านกลุ่มหมอกไปโดยตรง หัวปีศาจนี้ไม่มีร่างกายที่แท้จริง ทำให้ความสนใจของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งเพิ่มมากขึ้น

“หัวปีศาจของสำนักธาราโลหิต…คล้ายคลึงกับผีเฮี้ยน ทว่าผีเกิดจากวิญญาณของคนตายที่ก่อตัวกันขึ้นมา หัวปีศาจนี่…เกิดขึ้นมาอย่างไรกันแน่นะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดอยู่นานมากก็ยังหาเส้นสนกลในใดไม่เจอ เพียงแค่รู้สึกอย่างเลือนรางว่านอกจากแผ่นหยกควบคุมของเขาอู๋หมิงเฟิงแล้ว หัวปีศาจกับตนเหมือนยังมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ลึกล้ำยิ่งกว่านั้น

คิดไปคิดมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำได้เพียงสรุปการกำเนิดของหัวปีศาจว่ามาจากมือยักษ์ที่ฝึกวิชาอมตะมิวางวายนี้…

และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นใบหน้าที่อยู่ในกลุ่มหมอกพลันเผยความอำมหิตออกมา กระตุ้นให้กลุ่มหมอกโจนทะยานเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

ไอความเย็นระลอกหนึ่งแผ่กระจายไปทั่วในชั่วพริบตา ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความดุร้าย ราวกับต้องการกลืนกินวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง การแว้งกัดอย่างกะทันหันของหัวปีศาจทำให้เขาตกใจจนสะดุ้งโหยง ตบะพลันกระจายออก ดีดกระแทกไปด้านนอกอย่างแรง

หัวปีศาจกรีดร้องโหยหวน ไอหมอกตลอดร่างพังทลายลงไปครึ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด มันถอยกรูดอย่างว่องไว กลับเข้าไปหดร่างตัวสั่นอยู่ในมุมดังเดิม

“บังอาจยิ่งนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธเข้าให้แล้ว เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าวแล้วเตะลงไปบนเงาดำกลุ่มนั้นแรงๆ หนึ่งที หัวปีศาจนี้รีบหลบเลี่ยง ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง มองแผ่นหยกที่อยู่ในมือ แผ่นหยกนี้ไม่เพียงแต่สามารถควบคุมหัวปีศาจได้ ทั้งยังอธิบายวิธีการมากมายที่ทำให้หัวปีศาจแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีการหลอม หรือวิธีการเลี้ยงดู ฯลฯ

ที่เห็นได้บ่อยที่สุดก็คือใช้เลือดที่ดีที่สุดของตัวเองไปป้อนเพื่อเลี้ยงมัน ทำให้ระหว่างหัวปีศาจและตัวเองไต่ไปถึงระดับที่ตนแค่คิด หัวปีศาจก็สามารถเข้าใจได้ในทันที

ขณะเดียวกัน การป้อนเลือดให้หัวปีศาจก็จะทำให้ตบะของหัวปีศาจค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น อีกวิธีหนึ่งก็คือ…สังหารและกลืนกิน การสังหารทำให้หัวปีศาจกระหายเลือด การกลืนกินทำให้หัวปีศาจแข็งแกร่งขึ้น

นอกเหนือจากนี้ยังอธิบายไว้ว่าหัวปีศาจอาจมีการทรยศต่อเจ้าของ จำเป็นต้องกำราบให้ได้ตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อไม่ให้มันกล้าหันกลับมาแว้งกัดและทรยศ มิฉะนั้นหลังจากที่มันแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ก็จะยิ่งควบคุมได้ยาก

“กะอีแค่หัวปีศาจที่เพิ่งถือกำเนิดยังกล้ามาแว้งกัดเจ้านาย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธมาก หลังจากควบคุมแผ่นหยกทำให้หัวปีศาจนั่นไม่สามารถหลบหนีได้อีกก็เดินขึ้นหน้าเข้าไปเตะอีกหลายที ด้วยตบะของเขา หลังจากเตะไปหลายครั้ง ไอหมอกของหัวปีศาจก็พังทลายลงไปอีกไม่น้อย เหลืออยู่เพียงเส้นรุ่งริ่งเส้นเดียว กรีดร้องโหยหวนวอนขอชีวิตไม่หยุด

“จำเอาไว้ ข้าร้ายกาจมาก หากเจ้ากล้าหาเรื่องข้าอีกครั้ง ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นดีกัน หึ เจ้าชื่อเสี่ยวเฮยก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเคร่งขรึม หลังจากตั้งชื่อให้อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจอีก แต่หันมาศึกษาตำรับยาวิเศษที่บุตรโลหิตเขาอู๋หมิงเฟิงให้ตนหลอม

“ยาโลหิตมิวางวาย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด ยาโลหิตมิวางวายนี้เขาเคยได้ยินมาว่าหลายปีก่อนสำนักธาราโลหิตมีบุรพาจารย์ท่านหนึ่งที่บรรลุจากซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ จึงสร้างยาวิเศษชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างมากต่อทั้งสี่ยอดเขาของสำนักธาราโลหิต

ไม่เพียงแต่ตอนหลอมหัวปีศาจสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดา สำหรับการหลอมศพของเขาซือเฟิง การหลอมเรือนกายของเขาเส้าเจ๋อเฟิงเองก็มีผลช่วยในการผลักดัน ดังนั้นวินาทีที่ยาโลหิตมิวางวายนี้ถูกสร้างขึ้นมา สำหรับสำนักธาราโลหิตแล้ว ยานี้จึงเป็นต้องใช้ความต้องการมากมหาศาล

เพียงแต่ว่ายาโลหิตมิวางวายหลอมได้ยากมาก ระดับสามยังดี ระดับสี่ขึ้นไปยากอย่างยิ่ง อีกทั้งหากหลอมออกมาได้ ผลลัพธ์ก็จะไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด และหากหลอมยาโลหิตมิวางวายระดับห้าได้ก็จะยิ่งเหนือล้ำ ทั้งยังถึงขั้นสามารถปลุกพลังบางส่วนที่แฝงเร้นอยู่ในสำนักธาราโลหิตขึ้นมาได้ด้วย เช่นเขาอู๋หมิงเฟิงแห่งนี้ก็คือวางแผนที่จะให้เย่จั้งช่วยหลอมยาโลหิตมิวางวายระดับสี่เม็ดหนึ่ง เพื่อนำมาทดลองปลุกให้หัวปีศาจดึกดำบรรพ์ตนหนึ่งฟื้นตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับยาวนาน

ป๋ายเสี่ยวฉุนถือตำรับยาเอาไว้ ยิ่งมองยิ่งตะลึง ในตำรับยานี้มีพืชหญ้าทั้งหมดเก้าสิบเจ็ดชนิด ระหว่างแต่ละชนิดล้วนมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนมากดำรงอยู่ และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ต่างจำเป็นต้องใช้น้ำของแม่น้ำทงเทียนมาปราบปราม จนกระทั่งหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ แทรกซึมเข้าไปในเลือดวิเศษของมือยักษ์นี้ จากนั้นก็หลอมออกมาเป็น…ยาโลหิตมิวางวาย

“ไม่ว่าครั้งใดก็ตามที่ผสมผิดส่วนจะก่อให้เกิดความผิดพลาดในการหลอมยา อีกทั้งยังต้องมีความรู้ในรายละเอียดต่างๆ ระหว่างขั้นตอนที่พืชหญ้าเหล่านี้หลอมรวมกัน บ้างก็ต้องการความเป็นกลางอย่างสมบูรณ์แบบ บ้างก็ต้องเอาปราณออกมาตอนเริ่มต้นหลอมรวม…จนกระทั่งหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ระเหยออกมาเป็นปราณเลือดที่แตกต่างกันออกไปตั้งแต่หนึ่งเส้นถึงเก้าเส้น!”

“ปราณเลือดหนึ่งเส้นคือระดับหนึ่ง เมื่อวิเคราะห์ตามนี้ ที่บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงให้ข้าหลอมก็คือยาโลหิตมิวางวายระดับสี่ที่มีปราณเลือดสี่เส้น!” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย ศึกษาอย่างละเอียดอยู่ครู่ใหญ่ก็ยิ่งนับถือคนที่สร้างตำรับยาโลหิตมิวางวายนี้ออกมามากขึ้น

“มิน่าล่ะยานี้ถึงได้หลอมยาก ปราณเลือดหนึ่งเส้นนั้นง่าย สองเส้นขึ้นไปจำเป็นต้องใช้การอนุมาณและการคำนวณจำนวนมาก ยังจำเป็นต้องมีความรู้วิถีโอสถที่เพียบพร้อม ระดับความซับซ้อนของปราณเลือดสามเส้นเหนือล้ำเกินกว่าปราณเลือดสองเส้นหลายสิบเท่า ส่วนปราณเลือดสี่เส้นก็ยิ่งเกินจริง…คิดจะหลอมออกมา เห็นได้ชัดว่าจำเป็นต้องมีวิชาพืชหญ้าหมื่นสรรพสิ่ง ขอแค่เชี่ยวชาญวิถีโอสถนี้ถึงจะสามารถหลอมยาแบบย้อนกลับ ทำให้ขั้นตอนการหลอมยาง่ายขึ้น!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายวาววับ ในที่สุดเขาก็มองออกแล้วว่ายาโลหิตมิวางวายนี้ หากหลอมด้วยวิธีปกติจะมีความยากสูงมาก มากจนมิอาจบรรยายได้ มีเพียงการหลอมยาแบบย้อนกลับเท่านั้นถึงจะทำได้!

คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยิบเอาพืชหญ้าและเตาหลอมออกมาทันที เริ่มทำความคุ้นเคยกับขั้นตอนการหลอมยา เขาไม่ได้เรียกร้องให้ตัวเองทำสำเร็จในครั้งเดียว แต่ค่อยๆ คลำหาทางไปอย่างต่อเนื่องท่ามกลางขั้นตอนการหลอมยานี้

เวลาครึ่งเดือนผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ออกไปจากถ้ำแม้แต่ครึ่งก้าว ตกอยู่ในภวังค์การหลอมยา แทบทุกวันจะต้องเปิดเตาหลอมหลายครั้ง หินเพลิงโลหิตหมดก็ไปเอา พืชหญ้าหมดก็ไปขอใหม่

พืชหญ้ามีทยอยส่งมาทุกวันไม่ได้ขาด ภายใต้ทรัพยากรของยอดเขาแห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคุ้นเคยกับยาโลหิตมิวางวายมากขึ้น เพียงแต่ว่าในขั้นตอนการทำความคุ้นเคยนี้ เขาเสียพืชหญ้าเตาแล้วเตาเล่าไปอย่างเปล่าประโยชน์

เมื่อก่อนยาวิเศษที่หลอมเสีย ป๋ายเสี่ยวฉุนจะทิ้งไปโดยตรง ทว่าครั้งนี้ตอนที่เขาจะโยนทิ้ง กลับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองหัวปีศาจที่หลบอยู่ในมุมตลอดเวลา

“ไม่รู้ว่าหัวปีศาจนี่กินยาวิเศษหรือเปล่า แม้ว่าจะเป็นยาเสีย แต่ด้านในยังมีส่วนที่ดีอยู่ไม่น้อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมาก็หยิบเอายาเสียเม็ดหนึ่งโยนไปด้านหน้าหัวปีศาจ

“กินสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยความคาดหวัง หัวปีศาจนั่นเพิ่งจะมีสติปัญญาอยู่ในช่วงต้น ยังค่อนข้างโง่เขลา มันจึงบินกระโจนเข้าใส่ยาแล้วสูดอย่างแรง เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ายาวิเศษเม็ดนั้นสลายกลายเป็นไอสีดำหลายเส้นเจาะทะลุเข้าไปในร่างกายของหัวปีศาจทันที

“กินจริงๆ ด้วยหรือนี่” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงระคนดีใจ ดังนั้นจึงโยนยาเสียทั้งหมดให้กับหัวปีศาจ หัวปีศาจนั้นยังคงมีสีหน้าซึมกะทือ หลังจากดูดรับยาทั้งหมด ยาเสียเหล่านั้นก็กลายเป็นฝุ่นผงแล้วสลายหายไป หัวปีศาจนี้เรอออกมาแล้วล้มตัวลงราวกับเมา หลับตาแล้วหลับลึกไปทันที

“ฮ่าๆ ข้านี่ฉลาดจริงๆ ยาเสียพวกนี้ยังเอามาใช้ประโยชน์ได้ด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนตรวจสอบดูหัวปีศาจเล็กน้อย หลังจากพบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีใดๆ เกิดขึ้นก็รู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องดีงาม ดังนั้นจึงหลอมยาอีกครั้ง บางครั้งก็หันมาสังเกตดูหัวปีศาจ ส่วนยาเสียพวกนั้นเขาก็ไม่ขี้เหนียว ล้วนเอาให้หัวปีศาจกินทั้งหมด

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน

ครึ่งเดือนมานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดเตาหลอมหลายเตา ทว่ากลับล้มเหลวเสียทุกครั้ง แม้ว่าเขาจะประจักษ์แจ้งในวิชาพืชหญ้าหมื่นสรรพสิ่ง แต่ก็ยังคงไม่เชี่ยวชาญมากพอ มักจะเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นมากมาย ยังดีที่เมื่อปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นก็จะถูกป๋ายเสี่ยวฉุนแก้ไขได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยาเสียทั้งหมด ด้วยความคิดที่ไม่อยากสิ้นเปลืองของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาจึงโยนให้หัวปีศาจทุกเม็ด

“อย่างอื่นข้าไม่มี ที่มีมากก็คือยาเสียพวกนี้นี่แหละ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีมาก ยาเสียที่นักพรตไม่สามารถกินได้ แต่หัวปีศาจนี้กลับไม่เป็นอะไร ถึงขั้นที่ว่าภายใต้การกินยาตลอดหนึ่งเดือนมานี้ หัวปีศาจในถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนมีร่างกายใหญ่โตขึ้นมาอีกไม่น้อย มองดูแล้วไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป แต่แปลงกายมาเป็นเด็กที่อายุประมาณเจ็ดแปดขวบ ตลอดทั้งร่างเป็นสีดำ รอบด้านมีไอสีดำเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือสติปัญญาของหัวปีศาจตนนี้ดูเหมือนจะเพิ่มมากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย ไม่ได้เซื่องซึมอยู่ตลอดเวลา แต่สามารถให้ความร่วมมือง่ายๆ ตามคำสั่งการของป๋ายเสี่ยวฉุน

เพียงแต่ว่าบางครั้งดูเหมือนว่ามันไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ยาเสียของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่าไหร่นัก แต่จะไม่สูดก็ไม่กล้า…

ถึงขั้นที่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งเตาหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดผิดพลาด ปรากฏลางว่าจะระเบิด ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบถอยกรูด ร้องเรียกเสี่ยวเฮยทันที

“เสี่ยวเฮย สูดมัน!”

เสี่ยวเฮยกระโจนเข้าใส่ทันทีทันใด ร่างของมันถึงขั้นลอดทะลุเตาหลอมเข้าไปด้านใน สูดเฮือกเดียวก็ดูดเอายาวิเศษที่อยู่ด้านในไปหมด แก้ปัญหาการพังทลายของเตาหลอมได้ ส่วนตัวเองกลับชักกระตุกอยู่ตรงนั้น นัยน์ตายังคงมีแววทึ่มทื่อ

ป๋ายเสี่ยวฉุนจุ๊ปากต่อเนื่อง รู้สึกว่าหัวปีศาจนี้ไม่เลวทีเดียว

“ใช้ได้นี่นาเสี่ยวเฮย” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจมาก หลอมยาต่อ และยังมีอีกครั้งหนึ่ง ในเตาหลอมมีกลุ่มควันลอยขึ้นมาเป็นระลอก พอมองเห็นควันพวกนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ทันทีว่าซวยแน่แล้ว ควันนี้หากไม่แปลงมาเป็นฝนกรดก็ทำให้คนที่สูดดมเข้าไปท้องเสีย หรือไม่ก็ทะลุกำแพงไปทำให้คนเกิดประสาทหลอน

เวลานี้เขาจึงนึกถึงเสี่ยวเฮยขึ้นมาอีกครั้ง

“เสี่ยวเฮย สูดมันเลย!”

หัวปีศาจเสี่ยวเฮยยืดตัวออกมาอีกครั้ง สูดเฮือกหนึ่งครั้ง เมื่อสูดเอาควันไปหมดแล้วมันก็นอนหมอบอยู่ตรงนั้น กลุ่มหมอกที่เป็นร่างกายยุ่งเหยิงวุ่นวาย หากมันมีน้ำลาย เวลานี้คงมีฟองขาวฟูมเต็มปาก สีหน้าซึมกะทืออย่างถึงที่สุด

ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมขึ้นมาทันใด

“ดีๆๆ เสี่ยวเฮย เจ้าร้ายกาจจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น เขาตั้งใจไว้แล้วว่า ต่อไปหากจะหลอมยา ข้างกายต้องมีเสี่ยวเฮยอยู่ด้วย เสี่ยวเฮยช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ยาเสียมันกิน ควันพิษมันกิน เตาระเบิดมันช่วยคลี่คลาย สรุปคือขอแค่เป็นสิ่งเจือปนเกี่ยวกับการหลอมยาที่ส่งผลในแง่ลบ ล้วนยกให้มันได้ทั้งหมด…

เพียงแต่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่จมจ่อมอยู่กับการหลอมยาไม่ได้สังเกตเห็นว่า หลังจากที่หัวปีศาจเสี่ยวเฮยกลืนกินสิ่งเจือปนมากมายตลอดหนึ่งเดือนมานี้ ส่วนลึกในดวงตาของมันค่อยๆ มีความเฉลียวฉลาดเพิ่มขึ้น ทว่าวันธรรมดากลับซุกซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี เมื่ออยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนมักจะแสดงท่าทางทึ่มทื่อออกมาเสมอ

จนกระทั่งมีอีกครึ่งหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นว่ายาวิเศษใกล้จะหลอมสำเร็จ ทว่ากลับล้มเหลว หลอมออกมาเป็นยาประหลาดที่ไม่รู้ว่ามีสรรพคุณอย่างไร มองยาประหลาด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจยาวออกมาหนึ่งครั้ง ขณะที่กำลังจะเก็บไว้ก็เหลือบไปมองเสี่ยวเฮย

“เสี่ยวเฮย สูดมัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ หลังจากพูดจบ ร่างของเสี่ยวเฮยหยุดชะงักอย่างเห็นได้ชัด ทว่ายังคงบินมาดังเดิม สูดเข้าไปหนึ่งเฮือก ร่างของมันพลันสั่นสะท้าน หลังจากสูดเข้าไป ร่างของมันก็ล้มตึงอยู่ตรงนั้น…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!