บทที่ 237 เสียงดังกัมปนาทที่เขาเส้าเจ๋อเฟิง
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ขณะที่กำลังจะเข้าไปตรวจสอบ เสี่ยวเฮยกลับคำรามเสียงดัง ลุกพรวดขึ้นยืน กลายร่างเป็นหมอกควัน กรีดร้องต่อเนื่อง พุ่งออกไปนอกถ้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบตามไปดูทันที พบว่าหัวปีศาจนี้ราวกับเป็นบ้า กระโดดขึ้นๆ ลงๆ บางครั้งก็พองขยายราวกับจะพังทลาย บางครั้งหดตัวเล็กลงราวกับจะสลายหายไป หลังจากทรมานอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้ล้มลงนอนรวยริน
นับแต่นั้นมา เวลาที่มันมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ในความฉลาดเฉลียวซึ่งอยู่จุดลึกของดวงตา แฝงเร้นไว้ด้วยความหวาดกลัวอย่างล้ำลึก…
และเวลาก็ผ่านไปแบบนี้อีกครึ่งเดือน ภายใต้ความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของป๋ายเสี่ยวฉุน ยาโลหิตมิวางวายระดับสี่เริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในมือของเขา เขาสามารถรวมปราณเลือดออกมาได้สามเส้นแล้ว การศึกษาปราณเลือดเส้นที่สี่ก็ใกล้จะดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุด
ส่วนทางฝ่ายของเสี่ยวเฮย ในที่สุดคุณภาพของยาที่มันกลืนลงไปตลอดครึ่งเดือนนี้ก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว ทว่ายังคงเป็นยาเสียเหมือนเดิม บางครั้งจะมียาพิษเม็ดหนึ่งที่ทำให้เสี่ยวเฮยควบคุมอาการพลุ่งพล่านของตัวเองไม่อยู่
มันเริ่มชอบออกไปข้างนอก ล่องลอยอยู่บนเขาอู๋หมิงเฟิง บางครั้งยังเจอกับหัวปีศาจที่นักพรตคนอื่นเลี้ยงเอาไว้ เมื่อเทียบกับปราณดุร้ายตลอดร่างของหัวปีศาจเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเฮยอ่อนแอกว่ามาก
และระหว่างหัวปีศาจด้วยกัน แต่ไหนแต่ไรมามักมีแต่ความโหดเหี้ยมอย่างปลาใหญ่กินปลาเล็ก ที่ผ่านมาล้วนจำเป็นต้องถูกเจ้านายควบคุมอย่างเข้มงวด ถึงจะไม่เกิดปัญหา ทว่าเสี่ยวเฮยกลับแปลกประหลาดอย่างมาก ดูเหมือนว่ามันจะมีความสัมพันธ์อันดีกับหัวปีศาจตนอื่นบนเขาอู๋หมิงเฟิง ต่างฝ่ายต่างไม่มีเรื่องสังหารกลืนกินใดๆ ต่อกันเกิดขึ้น…
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็แปลกใจไม่น้อย แต่กลับไม่ได้คิดอะไรมากนัก ยังคงจมจ่อมอยู่กับการหลอมยา จนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งเดือน ในที่สุดวันนี้ยาโลหิตมิวางวายระดับสี่ก็ถูกเขาหลอมออกมาสำเร็จ
เมื่อปราณเลือดสี่เส้นนั้นหลอมรวมเข้าด้วยกัน ทั้งยังแตกต่างกันอย่างชัดเจน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะเสียงดังกังวาน ดีใจเป็นอย่างมาก ที่เขาดีใจไม่ใช่เพราะตัวเองสามารถหลอมยาโลหิตมิวางวายระดับสี่ออกมาได้สำเร็จ แต่ดีใจเพราะ…ครั้งนี้การหลอมยาของเขาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น
ไม่มีฝนกรด ไม่มีเตาระเบิด ไม่มีหมอกพิษ ไม่มีท้องเสีย ไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น นี่ถึงได้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจและฮึกเหิม เขารู้สึกว่าในที่สุดตนก็มีลักษณะของคนเป็นปรมาจารย์แล้ว
“ฮ่าๆ ต่อไปใครจะกล้าเรียกข้าว่ามารโรคห่าอีก ครั้งนี้ข้าหลอมยาที่เขาอู๋หมิงเฟิง ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว!” ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิติยินดี อันที่จริงในใจเขาก็แปลกใจเหมือนกัน ไม่เพียงแต่เขาที่แปลกใจ แม้แต่นักพรตสำนักธาราโลหิตที่จับตามองเขาอยู่ก็ล้วนประหลาดใจกันทั้งหมด
โดยเฉพาะพวกคนของเขาอู๋หมิงเฟิงที่ย้ายออกไปก็ยิ่งงงงัน แต่ละคนรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่กลับหาเส้นสนกลในใดไม่เจอ สุดท้ายจึงทำได้เพียงยอมรับว่า…ครั้งนี้การหลอมยาของเย่จั้งปลอดภัยเกินกว่าครั้งไหนๆ อย่างแท้จริง
“หรือว่ามารโรคห่าผู้นี้เปลี่ยนนิสัยแล้ว?”
“เขาหลอมยา แต่กลับไม่เกิดเรื่อง!!”
และขณะที่ทุกคนพากันแปลกใจนั้นเอง ไม่มีใครสังเกตว่า บนเขาอู๋หมิงเฟิง เสี่ยวเฮยหัวปีศาจตนนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะไปทำความรู้จักกับหัวปีศาจทุกตนมาแล้วหนึ่งรอบ…
ยาโลหิตมิวางวายระดับสี่หลอมสำเร็จ ทำให้บุตรโลหิตและผู้อาวุโสใหญ่ของเขาอู๋หมิงเฟิงต่างดีอกดีใจกันอย่างมาก หลังจากมอบค่าตอบแทนให้กับเย่จั้งตามที่รับปากไว้ก่อนหน้านี้ ยังจัดงานเลี้ยงใหญ่โตให้อีก วางแผนจะร่วมมือกับเย่จั้งในระยะยาว
งานเลี้ยงฉลองนี้จัดบนเขาอู๋หมิงเฟิง แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ซ่งจวินหว่านก็ยังถูกเชิญมาด้วย ทุกคนที่อยู่ในตำหนักบุตรโลหิตเขาอู๋หมิงเฟิงต่างเกรงใจเย่จั้งอย่างมาก ไม่ว่าจะพูดคำใดก็ล้วนเต็มไปด้วยคำยกย่องสรรเสริญ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าในเวลาอย่างนี้ตัวเองควรจะแสดงท่าทีเรียบเฉย ดังนั้นจึงนั่งเชิดหน้าอยู่ตรงนั้น บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ ประดับ
ซ่งจวินหว่านที่นั่งอยู่ด้านข้าง มองทุกอย่างนี้ด้วยรอยยิ้มยิบหยี สายตาคอยตกมาอยู่บนร่างของเย่จั้งเป็นพักๆ ประกายสดใสในดวงตายิ่งเพิ่มมากขึ้น ไม่นาน เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาได้ครึ่งหนึ่ง บุตรโลหิตของเขาอู๋หมิงเฟิงก็หัวเราะเสียงดังก้อง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาเย่จั้ง
“ศิษย์น้องเย่จั้งมีพรสวรรค์ในการหลอมยาสูงส่ง หาได้ยากยิ่ง วันหน้าชื่อเสียงย่อมสั่นสะเทือนไปทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตะวันออกแน่นอน หากสามารถหลอมยาโลหิตมิวางวายระดับห้าออกมาได้ก็จะยิ่งสั่นคลอนไปทั้งสำนัก ข้าเชื่อว่าวันนั้นคงอีกไม่นานแล้ว!”
“ยาโลหิตมิวางวายระดับห้า นี่คือรางวัลพิเศษที่สำนักตั้งเอาไว้ ใครสามารถหลอมออกมาได้ก็จะถือว่าสร้างคุณูปการใหญ่หลวง!” ผู้อาวุโสใหญ่เขาอู๋หมิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ทุกคนที่อยู่รอบด้านพูดคุยด้วยรอยยิ้ม ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกห้อมล้อมอยู่ตรงกลาง ได้ยินคำพูดของคนรอบด้านก็รู้สึกสบายอารมณ์เป็นอย่างมาก ขณะที่กำลังจะคุยโม้สักสองสามคำ ทันใดนั้น…เสียงดังกัมปนาทสะท้านฟ้าสะเทือนดินพลันดังสนั่นมาจากด้านนอก
เสียงนี้ดังมากเกินไป ดังเกินฟ้าผ่า ทั้งยังเกิดขึ้นฉับพลัน แม้แต่เขาอู๋หมิงเฟิงก็ยังสั่นคลอนไปทั้งภูเขา พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับจะปริร้าว ทั้งยังมีคลื่นความร้อนระลอกหนึ่งม้วนตลบโจมตีเข้ามา พัดไปรอบด้าน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในตำหนักบุตรโลหิตเขาอู๋หมิงเฟิงล้วนใจสั่นสะท้าน พากันหน้าถอดสี
ในยามนี้แม้แต่สีท้องฟ้าก็ยังซีดเซียว ขณะที่พื้นดินยังคงสั่นสะเทือน ไม่เพียงแต่เขาอู๋หมิงเฟิงเท่านั้นที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน ยังมีเขาซือเฟิง เขาจงเฟิง ที่ตอนนี้พื้นดินสั่นคลอนภูเขาโยกไหวเช่นเดียวกัน
เขตพื้นที่ลูกศิษย์ฝ่ายในของสำนักธาราโลหิตยิ่งอลหม่าน เขตพื้นที่ของลูกศิษย์ฝ่ายนอกก็ไม่ต่างกัน เสียงร้องอุทานแตกตื่นดังเอ็ดอึงฟังไม่ได้ศัพท์ รุ้งยาวเส้นแล้วเส้นเล่ารีบบินออกมาจากยอดเขาที่ตัวเองอยู่ มาหยุดกลางอากาศ
แม้แต่ค่ายกลของสำนักธาราโลหิตก็ยังถูกเปิดใช้ในเวลานี้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!!”
“หรือว่ามีคนมาโจมตีสำนักธาราโลหิตของเรา!!”
“จะเปิดศึกแล้ว!!”
เขาจู่เฟิงก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อเสียงกัมปนาทดังเลือนลั่น เมื่อคลื่นความร้อนพุ่งเข้าปะทะใบหน้า ผู้อาวุโสไท่ซ่างในเขาจู่เฟิงแต่ละคนตื่นตะลึง ต่างแผ่จิตสัมผัสกวาดตะลุยไปแปดทิศ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หน้าเปลี่ยนสีเหมือนกัน ในตำหนักบุตรโลหิต ทุกคนถลาพรวดออกไปในชั่วพริบตาเดียว แต่ละคนใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งครั้ง ขณะที่บินออกมา ซ่งจวินหว่านปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา สีหน้าเผยความระแวงภัยและตกใจ
เมื่อมองออกไป ยอดเขาอื่นๆ ที่เหลือต่างก็มีนักพรตจำนวนมากลอยตัวอยู่กลางอากาศ แต่ละคนสีหน้าตกใจระคนสงสัยสลับกันไป
แต่ไม่นานทุกคนก็ต้องอึ้งงัน พวกเขาพร้อมใจกันหันไปมอง…เขาเส้าเจ๋อเฟิง!
เวลานี้บนเขาเส้าเจ๋อเฟิงมีควันดำพวยพุ่งขึ้นมากลางอากาศ กลายเป็นหมอกสีดำหนึ่งกลุ่มซึ่งกำลังกลิ้งซัดสาดไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง พลังอำนาจน่าตะลึง
และจุดที่ควันดำพวกนั้นลอยขึ้นมา คือตำแหน่งตรงกลางระหว่างพื้นที่นิ้วส่วนบนและนิ้วส่วนล่าง ตลอดทั้งเขาปรากฏรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ยักษ์หลายเส้น แผ่ขยายไปแปดทิศ…
เสียงสูดลมหายใจเสียงแล้วเสียงเล่าดังมาจากรอบด้าน ไม่นาน ทุกคนซึ่งรวมคนของเขาจู่เฟิงด้วยต่างพากันตระหนักได้ว่าเสียงกัมปนาทเมื่อครู่นี้ ดังมาจากเขาเส้าเจ๋อเฟิง
“เขาเส้าเจ๋อเฟิง?!”
“ที่นั่นเกิดเรื่องอะไรขึ้น…” และขณะที่ทุกคนพากันแปลกใจอยู่นั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังจุดที่ควันดำพวยพุ่งขึ้นมาบนเขาเส้าเจ๋อเฟิง เขาหรี่ตาลง ใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที เบิกตากว้าง สำลักลมหายใจ
เมื่อครู่เขาแอบรู้สึกว่าเสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดินนี้ค่อนข้างคุ้นหู ยามนี้พอได้เห็นภาพตรงหน้าจึงจำได้ทันทีว่าจุดที่มีควันดำลอยออกมาก็คือสถานที่หลอมยาบนเขาเส้าเจ๋อเฟิงของตัวเอง…ตอนนี้มาย้อนนึกดู เสียงกึกก้องเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงเตาหลอมยาระเบิด…
เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่า…ตัวเอง ยังมียาอีกเตาหนึ่งอยู่ที่เขาเส้าเจ๋อเฟิง…
หน้าผากเขามีเหงื่อเย็นๆ ผุดซึม หัวอกหัวใจสั่นไหวไปหมด ลมหายใจถี่กระชั้น ทอดสายตามองไปไกล บนเขาเส้าเจ๋อเฟิงมีเสียงคำรามแหบห้าวเศร้าสลดจำนวนนับไม่ถ้วนดังลอยมา เขารู้สึกหนังหัวชาหนึบ หน้ามืดน้อยๆ
“จบกันๆ…”
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังอกสั่นขวัญแขวนอยู่นั้น ทุกคนของสำนักธาราโลหิตก็ทั้งตื่นตกใจและแปลกใจ มีรุ้งยาวหลายเส้นบินออกมาจากเขาเส้าเจ๋อเฟิง ผู้นำก็คือบุตรโลหิตของเขาเส้าเจ๋อเฟิง ตัวเขาสั่นไปทั้งร่าง ดวงตาทั้งคู่แดงฉาน มองเขาเส้าเจ๋อเฟิงที่ระเกะระกะเรี่ยราดไปทุกหนแห่ง เขาอยากร้องแต่ก็ร้องไม่ออก เงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามแหบแห้งด้วยความเศร้ากำสรด
เขารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเย่จั้ง เวลานี้ด้วยความคลุ้มคลั่ง กำลังจะตะโกนชื่อของเย่จั้งออกมา กำลังจะออกไปตามหาเย่จั้งเพื่อฆ่าเขาให้ได้โดยไม่สนใจสิ่งใด
ทว่าชื่อของเย่จั้งยังไม่ทันได้คำรามดังออกมาจากปากของเขา หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาทั้งคู่ก็หดตัวลง กัดฟันอยู่ในใจ นัยน์ตาเต็มไปด้วยสีเลือด คำรามเสียงดังสะเทือนฟ้าดินด้วยความแค้นเคืองตัดหน้าบุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงไปหนึ่งก้าว
“ยาวิเศษล้ำค่าของข้า!!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตีอกชกตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง น้ำเสียงเศร้าระทมดังไปสี่ทิศ เขาเหมือนคนบ้า ถลาพรวดตรงดิ่งไปยังเขาเส้าเจ๋อเฟิง
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ สวรรค์ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ยาวิเศษล้ำค่าของข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคลุ้มคลั่งไปหมด น้ำเสียงเศร้ารันทดอย่างถึงขีดสุด ขณะที่บินออกไปก็กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวเข้าไปใกล้เขาเส้าเจ๋อเฟิง มองปราดเดียวก็เห็นควันดำจำนวนมากมหาศาลบนนั้น และยังมีสภาพภูเขาที่พังพินาศกระจัดกระจายน่าตกใจ
ตลอดทั้งเขาเส้าเจ๋อเฟิง ผืนแผ่นดินไหม้เกรียมเป็นแถบ สิ่งปลูกสร้างและถ้ำสถิตพังทลายลงไปเกือบครึ่ง นักพรตจำนวนไม่น้อยหน้าเหลืองซูบตอบ นัยน์ตาเปล่งประกายไฟ ทว่าตอนที่มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเผยความหวาดกลัวออกมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คิดจะมองพวกเขาแม้แต่หางตา ห้อตะบึงไปกลางเขาเส้าเจ๋อเฟิงซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาใช้หลอมยาก่อนหน้านี้ ไม่นานก็เห็นว่าตลอดทั้งพื้นที่แห่งนั้น เวลานี้พังราบเป็นหน้ากลอง ไม่มีค่ายกล ไม่มีถ้ำสถิต ไม่มีเตาหลอม สามารถมองเห็นได้ว่ารอบด้านยังหลงเหลือเศษซากเตาหลอมจำนวนไม่น้อยกองกะเรี่ยกะราด และยังมีคลื่นความร้อนที่ไม่อาจพรรณาได้กำลังกระจายไปทั่วสี่ทิศ
บุตรโลหิตและผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงที่อยู่กลางอากาศ และยังมีผู้อาวุโสสีเลือดเหล่านั้น มุมปากหลายคนมีเลือดสดไหลริน ยามนี้ต่างก็อึ้งตะลึงกันไป พวกเขากำลังคิดจะไปเอาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุน แต่กลับนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาเยือนด้วยตัวเอง แถมท่าทางยังดูน่ารันทดมากกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ
“เย่จั้ง!!” บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จิตสังหารในดวงตาโหมกระหน่ำ สะบัดร่างหนึ่งครั้ง ตรงดิ่งเข้าไปหาป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมเสียงดังครั่นครืน
“บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิง!!” แทบจะวินาทีเดียวกันกับที่บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงพุ่งเข้าหา ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นไปทั้งร่าง หันขวับราวกับคนบ้า แผดเสียงคำรามเดือดดาลคลั่งแค้นยิ่งกว่าใส่บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิง
“ยาวิเศษที่ข้าใช้เวลาหลอมสามเดือน ทุ่มเทสุดแรงกายแรงใจ ยาวิเศษที่แทบจะไร้ขีดจำกัดใกล้เคียงกับยาระดับห้าของข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ความเจ็บปวดนั้นถูกความคลุ้มคลั่งทำให้สีหน้าบูดเบี้ยว ปราณดุร้ายตลอดร่างระเบิดตูมออกมา
“บัดซบ บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิง เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเตาหลอมยานี้ไม่มีวันระเบิด เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่ามันคือสมบัติล้ำค่า!! ทำไมเจ้าต้องหลอกข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะเบ็งเสียงแหบเสียงแห้งราวกับคนบ้า ดวงตาแดงก่ำ น้ำเสียงของเขาดังก้องไปสี่ทิศ พลังอำนาจแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าบุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นฝ่ายย้อนเล่นงานฝ่ายตรงข้ามเสียเอง แต่ความรู้สึกที่มอบให้กับผู้อื่นกลับเป็นความวิปลาสฟั่นเฟือน
“ทำไม ทำไมต้องหลอกข้า ข้าพยายามขนาดนั้น ข้าตั้งใจขนาดนั้นเพื่อหลอมยาให้พวกเจ้า แต่เจ้ากลับหลอกข้า แถมยังบอกว่านี่คือสมบัติล้ำค่าที่แย่งมาจากสำนักธาราโอสถ ไม่มีวันระเบิดเด็ดขาด! หากเจ้าบอกกับข้าตั้งแต่แรกว่าเตานี้ระเบิดได้ ข้าก็ไม่มีทางใส่พืชหญ้าล้ำค่ามากมายขนาดนั้น แค่หลอมยาแบบธรรมดาก็พอแล้ว ยาวิเศษของข้า!”