Skip to content

A Will Eternal 242

A Will Eternal
BC

บทที่ 242 การประลองบุตรโลหิต!

“นางมารร้ายออกอุบายอีกแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกถึงเพียงกลิ่นหอมที่ลอยมาปะทะใบหน้า ลอดทะลุเข้ามาในจมูกกลายเป็นความรู้สึกเยือกเย็น ทำให้ใจเขาอ่อนเปลี้ยจนเกิดความระแวงภัยขึ้นมาทันที มองเห็นซ่งจวินหว่านจากไป ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อย

C

“ไม่ได้การล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันข้าต้องเสร็จนางมารร้ายคนนี้แน่นอน แม้ว่าข้าจะมีฌานที่แข็งแกร่ง แม้ว่าจะองอาจสง่างาม แม้ว่าจะมีข้อดีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว แต่ว่า…นางมารร้ายตนนี้ร้ายกาจเกินไป” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากสงบอารมณ์ของตัวเองลง เขาก็ผ่อนลมหายใจหนึ่งครั้ง

“ช่างเถอะๆ รีบเอาวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญมาครอง แล้วรีบกลับไปที่สำนักธาราเทพดีกว่า นานขนาดนี้แล้ว ข้าเริ่มคิดถึงเสี่ยวเม่ยแล้วล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ นั่งทำสมาธิ จนกระทั่งเช้าตรู่วันที่สองมาถึง เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้น พละกำลังเต็มเปี่ยม ตบะในร่างกายบรรลุถึงจุดสูงสุด ถึงได้ลุกขึ้นเดินออกไปจากถ้ำ

“จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ครั้งนี้แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าขึ้น เดินอกตั้งออกไป ทุกที่ที่ผ่าน นักพรตหลายคนพอเห็นเขาก็รีบก้มหน้าลงด้วยความเคารพยำเกรง โดยเฉพาะวันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนสวมชุดคลุมยาวสีเลือด ชุดคลุมยาวนี้เขาเส้าเจ๋อเฟิงส่งมาให้เมื่อหลายวันก่อน คือชุดรบสีเลือดที่สร้างขึ้นเพื่อเขาโดยเฉพาะ

มีเพียงผู้อาวุโสสีเลือดเท่านั้นถึงจะสามารถสวมใส่ได้ เดิมทีชุดนี้ก็คือาวุธวิเศษอย่างหนึ่งอยู่แล้ว สามารถสกัดกั้นพลังโจมตีจากผู้แข็งแกร่งขั้นรวมโอสถได้หนึ่งครั้ง ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าชุดรบสีเลือดชุดใดก็ตามล้วนจำเป็นต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรในจำนวนสูงมาก

เวลานี้สวมชุดคลุมสีเลือด ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีรูปหน้าของเย่จั้ง เดิมทีก็หล่อเหลาสง่างามอยู่แล้ว ทำให้ที่ใดที่เขาผ่านล้วนดึงดูดเอาสายตาเคารพยำเกรงมาจากคนจำนวนนับไม่ถ้วน

ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความสุขกับการได้รับปฏิบัติเช่นนี้อย่างมาก ดังนั้นจึงบินให้ช้าลงอีกนิด เอ้อระเหยลอยชายไปตลอดทางจนมาถึงพื้นที่นิ้วส่วนบน ตอนที่มาถึงหน้าตำหนักบุตรโลหิตบนยอดเขาจงเฟิง ทุกคนต่างก็มารออยู่ครบแล้ว

ซ่งจวินหว่านและเซวี่ยเหมยยืนอยู่กันคนละด้าน ทั้งสองคนกำลังใช้สายตาเย็นเยียบมองกันและกัน ด้านหลังเซวี่ยเหมยมีนักพรตยี่สิบคน แต่ละคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งของสร้างฐานรากช่วงท้าย พวกเขามีสีหน้าเรียบเฉย ขณะเดียวกันก็มีไอดุร้ายเข้มเข้นแผ่กระจายออกมาด้วย

เห็นได้ชัดว่าทุกคนที่อยู่ที่แห่งนี้ แม้จะไม่ใช่ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ทว่าต่างก็เคยผ่านการเข่นฆ่ามาไม่น้อย มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ที่สามารถกลายมาเป็นผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยได้ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับอู๋จี๋จื่อบิดาของนางอยู่มาก

เบื้องหลังซ่งจวินหว่านก็มีหลายคนที่แฝงไว้ด้วยความเย็นชาดุดัน ซ่งเชวียเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนคนอื่นๆ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองหนึ่งครั้งก็มองออกทันทีว่ามีคนไม่น้อยที่เป็นญาติของตระกูลซ่ง

บริเวณโดยรอบ ผู้อาวุโสสีเลือดทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ ทั้งยังมีนักพรตทั้งหมดของเขาจงเฟิงที่ต่างก็เยื้องกรายมาเยือน หลังจากที่การประลองบุตรโลหิตเริ่มขึ้น พวกเขาจะรออยู่ตรงนี้จนกระทั่งบุตรโลหิตถือกำเนิด

บนท้องฟ้า มีเงาร่างพร่ามัวหลายเงา แม้ว่าจะยืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทว่าพลานุภาพสยบน่าตื่นตะลึงกลับแผ่กระจายไปทั่ว ซึ่งร่างเหล่านี้ก็คือบุรพาจารย์ของสำนักธาราโลหิต

ทั้งหมดมากันสี่คน มีสองคนที่ก่อนหน้านั้นป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเห็นตอนปลุกกระดูกไม่สลาย ส่วนอีกสองคนเขาค่อนข้างคุ้นเคย ซึ่งแบ่งออกเป็นบุรพาจารย์ตระกูลซ่งและอู๋จี๋จื่อ

ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง บุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่อยู่บนท้องฟ้าก็เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนกัน จึงถลึงตาใส่เขาหนึ่งที ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น รีบก้มหน้าลง เดินมาหยุดอยู่ข้างกายซ่งจวินหว่านอย่างรวดเร็ว

“ความสามารถที่จะทำงานให้สำเร็จไม่เคยมีเพียงพอ แม้แต่การประลองก็ยังมาสายได้ หากเจ้ากลัวตายไม่อยากมาก็บอกตรงๆ!” ซ่งเชวียมองเย่จั้งที่อยู่ข้างกายหนึ่งครั้ง หัวเราะเสียงเย็น

“เชวียเอ๋อร์ เจ้าเกเรอีกแล้วนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนหาวหวอด เหล่ตามองซ่งเชวียหนึ่งครั้ง กวาดตามองเส้นผมและขนคิ้วที่เพิ่งขึ้นของเขาเป็นพิเศษ

“เจ้า!” ซ่งเชวียกัดฟัน จ้องเขม็งไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ซ่งจวินหว่านที่อยู่ด้านหน้าพลันแค่นเสียงเย็นขึ้นมา

“พอได้แล้ว พวกเจ้าหุบปากกันทั้งคู่ ถ้าจะทะเลาะกัน รอการประลองเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ข้าจะจัดสนามให้พวกเจ้าได้ทะเลาะกันอย่างเต็มที่เอง!”

ซ่งเชวียกัดฟัน ไม่เอ่ยอะไรอีก ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านกดดันเกินไป ดังนั้นจึงไม่พูดมากเช่นกัน

กลางอากาศ บุรพาจารย์ตระกูลซ่งและอู๋จี๋จื่อมองกันไปมา หลังจากต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน อู๋จี๋จื่อก็กวาดสายตามองไปยังทุกคนที่อยู่ด้านล่าง น้ำเสียงทุ้มหนักของเขาค่อยๆ ดังออกมา

“การประลองบุตรโลหิตเขาจงเฟิง เริ่มได้!” มือขวาของอู๋จี๋จื่อทำมุทราชี้ไปยังตำหนักบุตรโลหิตเขาจงเฟิงที่อยู่ด้านล่าง

ตำหนักบุตรโลหิตสั่นสะเทือนครั่นครืน ผืนดินบนลานกว้างหน้าตำหนักพลันเกิดรอยปริร้าวขนาดใหญ่ยักษ์หนึ่งช่อง ด้านในรอยแตกนี้มีปราณเลือดเข้มข้นแผ่กระจายออกมา ทั้งยังส่งไอเย็นอึมครึม เมื่อก้มหน้าลงมอง แสงสีเลือดในรอยแยกนี้จ้าบาดตา มองดูคล้ายปากขนาดยักษ์ที่อ้ากว้างรอกลืนกินเลือดเนื้อ ทำให้คนที่มองใจสั่นสะท้าน

ทว่าหากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าแสงสีเลือดในรอยร้าวนี้ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่นัก ราวกับว่าในแสงเหล่านั้นมีโลกมากมายดำรงอยู่ หากสัมผัสโดนก็จะถูกดึงเข้าไปในโลกของแสงสีเลือด

วินาทีที่รอยแตกนี้ปรากฏขึ้น ในบรรดาผู้พิทักษ์ที่อยู่ด้านหลังเซวี่ยเหมย มีคนหนึ่งเดินออกมา คนผู้นี้สีหน้าเย็นชา นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยไอสังหาร ย่างก้าวเนิบช้า มองทุกคนที่อยู่ด้านหลังซ่งจวินหว่านด้วยสายตาเย็นเยียบแล้วหัวเราะอย่างดูแคลนหนึ่งครั้ง ก้าวเดินเข้าไปในรอยแยกก่อนใคร แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นผู้พิทักษ์คนแล้วคนเล่าด้านหลังเซวี่ยเหมยก็ทยอยกันเดินออกมา พอเหยียบเข้าไปในรอยแยกก็หายวับไปไม่เห็นเงา คนสุดท้ายที่เดินออกมาคือตัวเซวี่ยเหมยเอง นางกวาดตามองซ่งจวินหว่านและทุกคนที่อยู่ด้านหลังด้วยดวงตาเย็นชา เหยียบเข้าไปในรอยแยกแล้วหายวับไป

“นี่คือด่านแรกของการประลองบุตรโลหิต ชื่อว่าโลกโลหิตไร้ที่สิ้นสุด!” ขณะที่คนเหล่านี้ทยอยกันเดินเข้าไปในรอยแยก ซ่งจวินหว่านก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงอันเบา อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับโลกโลหิตไร้ที่สิ้นสุดให้นักพรตผู้พิทักษ์ยี่สิบคนที่อยู่ด้านหลังซึ่งรวมป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย

“ด่านนี้ ข้ากับเซวี่ยเหมยมีวิธีที่จะผ่านไปได้โดยตรง แต่พวกเจ้าทำไม่ได้…”

“ในร่างของบรรพบุรุษโลหิต ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นด่านนี้จะทดสอบผู้พิทักษ์ของข้าและเซวี่ยเหมยว่าสุดท้ายแล้วจะมีกี่คนที่สามารถผ่านไปยังด่านที่สองได้สำเร็จ!”

“คิดจะเข้าไปในร่างของบรรพบุรุษโลหิต จำเป็นต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของบรรพบุรุษโลหิตก่อน แม้ว่าบรรพบุรุษโลหิตจะตายไปแล้ว ทว่าร่างกายบางส่วนยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่ได้แห้งเหี่ยวไปทั้งหมด ดังนั้นพวกเจ้าจำเป็นต้องได้รับการยอมรับ ถูกโครงสร้างที่ยังไม่แห้งเหี่ยวในร่างของบรรพบุรุษโลหิตยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ถึงจะไม่ถูกขับไล่ออกมา”

“ในรอยแยก ท่ามกลางแสงสีเลือดจะมีโลกจำนวนนับไม่ถ้วนดำรงอยู่ แต่ละโลกจะมีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่เข้าไปได้ ผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยได้เลือกไปก่อนเรียบร้อยแล้ว โลกที่ถูกเลือกแล้วเล่านี้ วินาทีที่พวกเจ้าเหยียบย่างเข้าไปในรอยแยก มันจะส่งพลังดึงดูดมาดูดพวกเจ้าเข้าไป!

คนสองคนที่เป็นศัตรูกัน เมื่อถูกดูดเข้าไปในโลกใบเดียวกันก็ต้องดูว่าใครจะสวมรอยปณิธานของโลกได้ก่อน ผู้ที่ทำสำเร็จก็จะถือว่าถูกยอมรับ ผ่านเข้าไปสู่ด่านที่สอง ผู้ที่ล้มเหลวจะถูกขจัดออก พวกเจ้าไม่เพียงแต่ต้องระวังผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยที่อยู่ในนั้น ยังต้องระวังสัตว์โลหิตที่มีชีวิตอยู่ในโลกเหล่านี้ด้วย สัตว์โลหิตพวกนั้นไม่มีสติปัญญา แต่กระหายเลือดอย่างถึงที่สุด!”

“ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่ด่านสอง!” ซ่งจวินหว่านพูดจบก็ประสานมือคารวะทุกคน ซ่งเชวียสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากพยักหน้าแล้วก็แค่นเสียงเย็นใส่เย่จั้งหนึ่งที เดินออกไปเป็นคนแรก เหยียบเข้าไปในรอยแยก ไม่นานคนอื่นๆ ก็พากันทยอยเดินไปข้างหน้า

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น มองรอยแยก เขาลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็กัดฟันแล้วกระโดดลงไป

วินาทีที่กระโดดเข้าไปในรอยแยก มีแสงสีเลือดเส้นหนึ่งกวาดผ่านมา หลังจากสัมผัสเข้ากับร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ถึงพลังดึงดูดมหาศาลทันที ร่างกายของเขาบินเข้าไปหาแสงสีเลือดนั่นอย่างมิอาจควบคุมได้

แสงสีเลือดนี้มองจากด้านนอกแล้วไม่ใหญ่ ทว่าพอได้สัมผัสกับตัวเองกลับรู้สึกเหมือนมหาสมุทรแห่งแสง ท่ามกลางแรงดึงดูดนั้น ไม่นานก็มองเห็นจุดสิ้นสุดของมหาสมุทรแสง ที่นั่นมีลูกกลมสีเลือดขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ลูกหนึ่ง

เมื่อมองออกไปรอบๆ ลูกกลมในลักษณะนี้มีมากมายเหลือคณานับ…ทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังพอมองเห็นได้รำไรด้วยว่าคนอื่นๆ ก็เป็นเหมือนตนที่ต่างก็ปรากฏกายอยู่นอกลูกกลมที่ต่างกันออกไป แล้วก็ถูกลูกกลมเหล่านั้นเขมือบกลืนเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน กำลังจะถอนสายตากลับมาแต่กลับพบว่าที่นี่มีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยามนี้ลูกกลมสีเลือดทั้งหมดที่อยู่รอบด้านพลันพร้อมใจกันสั่นไหว ปล่อยประกายแสงสีเลือดมากกว่าเดิม สาดส่องตรงมายังร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ เขาถึงขั้นสัมผัสได้ว่าลูกกลมสีเลือดเหล่านี้คล้ายส่งความกระหายบางอย่างออกมา…กระหายให้ตนเลือกพวกมัน

และยังมีลูกกลมโลหิตบางส่วนที่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ถูกผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยเลือก แต่บัดนี้กลับเกิดการเคลื่อนไหว พริบตาเดียวแสงสีเลือดก็โหมซัดสาดเต็มนภา จนคนที่อยู่โลกภายนอกส่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึง

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น ยังไม่ทันที่เขาจะตั้งตัวได้ ลูกกลมโลหิตด้านล่างที่ถูกเลือกลูกแรกสุดราวกับคลุ้มคลั่ง มันถึงขนาดไม่รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปใกล้ก็เป็นฝ่ายลอยตัวขึ้นมาก่อน สัมผัสโดนตัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรวดเร็ว ปล่อยคลื่นความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งแล้วสูดอย่างแรงหนึ่งครั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้ามืด ถูกหลอมรวมเข้าไปในลูกกลม เบื้องหน้าพร่ามัว เมื่อทุกอย่างชัดเจนอีกครั้ง เขาก็พบทันทีว่าตัวเองมาอยู่ในโลกแปลกหน้าใบหนึ่ง

ท้องฟ้าของที่นี่เป็นสีเลือด พื้นดินก็เป็นสีเลือดเช่นกัน เทือกเขาทั้งหมด หรือแม้แต่พืชพันธ์ก็ยังเป็นสีเลือด รอบด้านเงียบสงัด

“นี่ออกจะแปลกเกินไปหน่อยไหม” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปรอบด้านด้วยความระแวดระวัง ย้อนนึกถึงภาพเมื่อครู่ก็รู้สึกว่าผิดปกติอย่างมาก พอคิดๆ ดูเขาก็รู้สึกว่าทั้งหมดนี้บางทีอาจเกี่ยวข้องกับวิชาอมตะมิวางวายของตน

“หรือว่าข้าคือนายแห่งโชคชะตา…ดังนั้นพอมาถึงที่นี่ ลูกกลมโลหิตเหล่านั้นถึงได้เป็นบ้ากันไปหมด” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลอกตาไปมา ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เมื่อสัมผัสกับรอบด้าน เขาก็แอบรู้สึกได้ว่าในสถานที่ที่ห่างออกไปไกล คล้ายจะมีปณิธานหนึ่งแฝงฝังอยู่ ปณิธานนี้ส่งความกระหายออกมาราวกับกำลังเรียกให้ตนเข้าไปหา

“ที่นี่ยังมีผู้พิทักษ์คนหนึ่งของเซวี่ยเหมย ต้องระวังให้มากหน่อย ผู้พิทักษ์ของนางล้วนเป็นสร้างฐานรากช่วงท้าย” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปรอบด้านก็ยิ่งระแวดระวังมากกว่าเดิม จากนั้นจึงบินออกไปข้างหน้า

ตลอดทางที่บินมา ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากลเข้าไปใหญ่ เขาพบว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องใช้ตบะมากมาย ที่แห่งนี้กลับมีลมพัดให้เขาลอยไป…

อีกทั้งตลอดทางนี้เขาก็ไม่พบสัตว์โลหิตแม้แต่ตัวเดียว ราวกับว่าที่นี่ไม่มีสัตว์โลหิตอย่างไรอย่างนั้น

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!