Skip to content

A Will Eternal 245

บทที่ 245 ไม่ยุติธรรม!

สามวันต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนมหาสมุทรเลือดสัมผัสได้ว่าในจุดห่างไกลมีคลื่นเคลื่อนไหวส่งมาหาอยู่เนืองๆ เขารู้ว่าที่นั่นก็คือที่ตั้งของปณิธานแห่งโลกใบนี้

“เจี่ยเลี่ยผู้นั้น ทำไมถึงไม่ได้ปรากฏตัวมาหลายวันแล้วล่ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังรู้สึกคิดถึงอีกฝ่ายเล็กน้อย เขาอยากเห็นมากว่าตอนที่อีกฝ่ายปรากฏตัวอีกครั้ง โลกใบนี้จะใช้วิธีการแบบใด

ท่ามกลางการรอคอยนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งยามสายัณห์ของวันที่สาม ขณะที่ท้องฟ้าสีเลือดเริ่มสลัวรางลง ผืนมหาสมุทรเบื้องล่างป๋ายเสี่ยวฉุนพลันระเบิดปราณน่าตกใจระลอกหนึ่ง วินาทีที่ปราณนี้ส่งออกมา น้ำทะเลพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงคำรามเดือดดาลที่แฝงไว้ด้วยไอสังหารและความบ้าคลั่งพลันดังก้องออกมาจากในมหาสมุทร

“เย่จั้ง ตายซะเถอะ!!” เสียงนี้แฝงเร้นไว้ด้วยความเกลียดชังที่ยากจะอธิบาย ขณะที่มันดังออกมา เจี่ยเลี่ยซึ่งสวมชุดเกราะสีดำ ตลอดร่างพร่ามัวราวภาพมายาพลันลอยพรวดออกมาจากในน้ำทะเล ความเร็วนี้ระเบิดมากกว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งเท่าตัว พุ่งดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา

จิตสังหารซัดตลบอบอวล ตบะสร้างฐานรากช่วงท้ายของเจี่ยเลี่ยระเบิดเต็มกำลัง และเมื่ออยู่ภายใต้การปลุกเสกเกราะร่างผีจึงยิ่งเข้าใกล้ขั้นสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่สิ้นสุด กลายเป็นพลานุภาพสยบปกคลุมไปสี่ด้าน

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงระคนดีใจทันที มองไปยังเจี่ยเลี่ย เชิดคางขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วจึงยกมือขวาชี้ไปที่เจี่ยเลี่ย

“ถอยไปซะ!”

“ถอยกะผีเจ้า…” ดวงตาทั้งคู่ของเจี่ยเลี่ยแดงฉาน มองเห็นท่าทางเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ความคับแค้นในใจยิ่งมีมาก เมื่อเข้ามาใกล้ปากก็ตะโกนก่นด่า มือขวาทำมุทราแล้วชี้ลงไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ความรวดเร็วนั้นแผล็บเดียวก็เข้ามาใกล้ในรัศมีสามจั้ง

มุมปากของเขาแสยะยิ้มชั่วร้าย คราวนี้เขามั่นใจมาก ต่อให้มีสายฟ้าหรือลมพายุก็ล้วนไม่สามารถสกัดกั้นตนได้ และเย่จั้งที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ก็ต้องตายอย่างมิต้องสงสัย!

ทว่าคำด่าของเขายังไม่ทันพูดจบ เวลานี้เอง ทันใดนั้นท้องทะเลที่นิ่งสงบพลันมีมือขนาดยักษ์สีเลือดข้างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ มือนั้นสะบัดตบทำลาย วินาทีที่เจี่ยเลี่ยเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน นิ้วมือบนมือยักษ์สีเลือดนี้สัมผัสเข้ากับร่างของเจี่ยเลี่ยโดยตรง ราวกับตบแมลงหวี่แมลงวันตัวหนึ่ง ฝ่ามือเดียว…ก็ตบกระเด็น

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เกาะสีดำนอกร่างของเจี่ยเลี่ยแตกสลายไปในบัดดล เขากระอักเลือดสด เสียงร้องโหยหวนคร่ำครวญทำให้คนที่ได้ยินสยดสยอง

“ไม่!!” เจี่ยเลี่ยสิ้นหวัง กระอักเลือดสดออกมา ร่างกายแทบจะแตกสลาย พลังของตบะที่เพิ่งฟื้นคืน บัดนี้ทรุดหนักลงไปอีกครั้ง ตลอดทั้งร่างเปราะบางคล้ายไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ ให้ต่อต้าน ถูกนิ้วมือนั้นตบจนกระเด็นกระดอนไปไกล…

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ สำลักลมหายใจอีกครั้ง พอเห็นมือยักษ์สีเลือดจมลงน้ำทะเลแล้วหายไป เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองทิศทางที่เจี่ยเลี่ยถูกตบออกไป สีหน้าเผยความเคารพนับถือ

“คนผู้นี้ช่างดึงดันยิ่งนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงตก ดึงสายตากลับมา เดินหน้าต่อ ในใจเขาคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อใด…

ห่างออกไปไกล บนมหาสมุทร เจี่ยเลี่ยลอยละลิ่วอยู่ตรงนั้น สีหน้าเลื่อนลอย หางตามีน้ำตาแห่งความรันทดสลดใจ เขาบำเพ็ญตบะมาหลายปี แต่ไหนแต่ไรมามีแต่หลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา ทว่าตอนนี้เมื่ออยู่ที่นี่ เขากลับร้องไห้

เขารู้สึกว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยเจตนาร้ายต่อตน ตนก็แค่อยากกำจัดเย่จั้งเท่านั้น กลับกลายเป็นว่าเดี๋ยวก็โดนฟ้าผ่า เดี๋ยวก็พายุคลั่ง สุดท้ายคือสัตว์โลหิตน่าหวาดกลัวที่อยู่ๆ ก็โผล่มาตบเขาเสียกระเด็น

เขารู้สึกว่าที่ตอนนี้ตนยังมีชีวิตอยู่ถือเป็นเรื่องปาฏิหาริย์มากแล้ว

“ตบะข้าสูงกว่าเขา ข้าเข้ามาอยู่ในสำนักธาราโลหิตนานกว่าเขา ทำไมโลกใบนี้ถึงได้ดีกับเขาถึงเพียงนั้น!!” น้ำตาของเจี่ยเลี่ยยิ่งไหลพราก เขารู้สึกว่านับตั้งแต่ที่ตนเข้ามาอยู่ในโลกใบนี้ก็เหมือนได้เหยียบย่างเข้าสู่ฝันร้าย

เวลานี้เขาหวาดกลัวป๋ายเสี่ยวฉุนจนถึงขีดสุด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่คิดไปหาเรื่องอีกฝ่ายอีกแล้ว ทั้งในใจยังเริ่มเกลียดชังบุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงและเซวี่ยเหมยด้วย หากไม่เป็นเพราะเซวี่ยเหมย เขาก็คงไม่มาอยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่ต้องเจอกับเย่จั้ง…หากไม่เป็นเพราะคำสั่งของบุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิง เขาก็ไม่มีทางดึงดันคิดจะกำจัดเย่จั้งครั้งแล้วครั้งเล่า และก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ สภาพที่รู้สึกว่าโลกทั้งโลกล้วนพุ่งเป้ามาจัดการเขา

“ไม่ยุติธรรม!!” ตำแหน่งที่เจี่ยเลี่ยอยู่ตอนนี้ใกล้กับจุดที่ตั้งของปณิธานของโลกอย่างมาก พอเขามองยอดเขา มองสัตว์โลหิตบนพื้นดินที่คล้ายจะเพิ่มขึ้นอีกมาก เขาก็สิ้นหวังทันที

ความสิ้นหวังนี้ผ่านไปได้ไม่นานนัก บนท้องฟ้าห่างออกไปไกล ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเอ้อระเหยลอยชายเข้ามา มองภูเขาที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปณิธานของโลกอยู่บนยอดเขานั่น แค่ตนผ่านไปได้ก็จะได้เดินออกจากด่านแรกนี้

ทว่าชั่วขณะที่เขาเข้าไปใกล้ ทันใดนั้น มังกรยักษ์ตัวนั้นก็โผล่หัวออกมาจากหลังเขา จ้องเขม็งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน และบนภูเขาก็ยังปรากฏปราณแข็งแกร่งหลายต่อหลายเส้น ทั้งหมดล้วนเจาะจงมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ราวกับว่าแค่เขาเข้ามาใกล้ สัตว์โลหิตพวกนี้ก็จะเฮโลกันเข้าไปรุมทึ้งทันที

ฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดกึก ก่อนหน้านี้เขาได้เห็นแค่มือยักษ์ข้างเดียว ตอนนี้ถึงจะถือว่าได้เห็นหน้าตาของสัตว์โลหิตอย่างแท้จริง สัตว์โลหิตพวกนี้รูปร่างคล้ายคลึงกับสัตว์ร้ายด้านนอก แต่ทว่ากลับมีสีเลือดตลอดร่าง ทั้งยังมีส่วนคล้ายคลึงกับวิญญาณสัตว์ร้ายอยู่หลายส่วน

มองเห็นว่าสัตว์โลหิตบนยอดเขาแห่งนี้เผยความไม่เป็นมิตรต่อป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน เจี่ยเลี่ยที่ลอยอยู่บนมหาสมุทรด้วยความสิ้นหวังพลันใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ลมหายใจถี่กระชั้น เบิกตาถลน แสงแห่งความหวังปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้ง

“เขาก็เข้าไปไม่ได้เหมือนกัน!!” เจี่ยเลี่ยตื่นเต้น เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีโอกาส ยามนี้จึงรีบเก็บตบะ จ้องเขม็งไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ใคร่ครวญว่าหากมีโอกาส บางทีอาจคว้าชัยชนะจากโลกใบนี้มาได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดหัว มองสัตว์โลหิตเหล่านั้นที่อยู่บนภูเขา ลังเลอยู่ชั่วครู่ คิดดูแล้วรู้สึกว่ายังไงก็ต้องลองดูสักตั้ง โดยเฉพาะไพล่หนึ่งถึงก่อนหน้านี้ที่ตนรู้สึกว่าตลอดทั้งโลกกำลังปกป้องตัวเอง เมื่อชั่งใจดูแล้วถึงได้เดินออกไปสองสามก้าวด้วยความระมัดระวัง พอเห็นว่าสัตว์โลหิตพวกนั้นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงเท่าไหร่นัก ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเดินออกไปอีกสองสามก้าว

และก็เป็นเช่นนี้ ด้วยความระมัดระวังของเขาจึงเขยิบเข้าไปใกล้ยอดเขาเรื่อยๆ จนกระทั่งเหยียบลงบนก้อนหินของภูเขา ตอนแรกป๋ายเสี่ยวฉุนยังตื่นเต้น แต่ไม่นานก็ค่อยๆ วางใจลง เขาพบว่าต่อให้ตัวเองเดินมาถึงยอดเขา สัตว์โลหิตเหล่านั้นก็ยังแค่มองตนเท่านั้น ไม่ได้ขัดขวาง

ภายใต้ความตะลึงระคนดีใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเร็วๆ ออกไปอีกหลายก้าว เมื่อพบว่ายังคงไม่มีอุปสรรคอันใด เขาก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที รีบเดินไปยังยอดเขาอย่างรวดเร็ว และยามนี้ บนมหาสมุทรด้านล่าง หลังจากที่เจี่ยเลี่ยมองเห็นทุกอย่างนี้ด้วยตาของตัวเอง เขาก็ตกตะลึงจนตาค้าง

เขาลุกพรวดขึ้นยืน สีหน้าครุ่นคิด ไม่นานนัยน์ตาก็เผยประกายดุเดือด

“ข้ารู้แล้ว แม้ว่าที่นี่จะมองดูเหมือนมีสัตว์โลหิตอยู่เยอะมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วขอแค่ไม่เผยไอสังหารออกมา สัตว์โลหิตพวกนั้นก็จะไม่ขัดขวาง ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน!”

“ดังนั้นที่ข้านอนอยู่บนมหาสมุทร ทั้งๆ ที่เข้ามาใกล้เขาลูกนี้แล้ว แต่สัตว์โลหิตใต้น้ำกลับไม่พุ่งขึ้นมาโจมตีข้า เป็นเพราะ…ตอนนี้ข้าไม่มีไอสังหาร!” หลังจากเจี่ยเลี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่นัก แต่หากยอมแพ้ทั้งอย่างนี้ ความหวังที่กว่าจะลุกโชนขึ้นมาได้ของเขาก็จะต้องดับลงอีกครั้ง สองจิตสองใจอยู่ครู่ใหญ่เขาก็กัดฟันกรอด สีหน้าเผยความเด็ดเดี่ยว ค่อยๆ บินขึ้นมาช้าๆ ไม่ให้ตัวเองเผยไอสังหารออกมา บินเข้าใกล้ด้วยความระมัดระวัง

จนกระทั่งเกือบจะเข้ามาใกล้ภูเขา สายตาของสัตว์วิเศษรอบด้านพลันตกลงมาบนร่างของเจี่ยเลี่ย เจี่ยเลี่ยชะงักฝีเท้า หนังหัวชาหนึบ ร่างสั่นสะท้าน พยายามเค้นรอยยิ้มออกมา

“ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย ข้าแค่ผ่านมาเฉยๆ…” เจี่ยเลี่ยรีบอธิบายเร็วปรื๋อ

ทว่าชั่วขณะที่เขาเปิดปาก มังกรยักษ์สีเลือดที่โผล่ศีรษะออกมาบนยอดเขาพลันคำรามแหบปร่า ท่ามกลางเสียงคำรามนี้ ร่างกายของมันบินพรวดเข้าใส่เจี่ยเลี่ย เวลาเดียวกันนั้น สัตว์โลหิตตัวอื่นๆ บนยอดเขาก็พากันระเบิดปราณดุร้ายรุนแรง ทุกตัวพร้อมใจกันบินออกมา กระโจนเข้าใส่เจี่ยเลี่ย

หรือแม้แต่ใต้น้ำทะเลก็ยังปรากฏดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนอีกครั้ง หลังจากที่ดวงตาเหล่านี้เปิดออก ยักษ์สีเลือดที่มีขนาดร่างกายใหญ่เล็กไม่เท่ากันล้วนบินทะยานขึ้นมาบนผิวน้ำ คำรามก้องพุ่งเข้าโอบล้อม

เจี่ยเลี่ยกรีดร้องโศกเศร้า น้ำตาไหลทะลักทลาย

“ไม่ยุติธรรม เจ้าขี้โกง!!” เจี่ยเลี่ยร้องไห้โฮ เขารู้สึกว่าโลกใบนี้กลั่นแกล้งตัวเอง ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน สัตว์โลหิตจำนวนมากมายเหลือคณานับที่อยู่รอบด้านพากันกระโจนเข้าใส่เขา

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ใจสั่นวาบ เมื่อครู่ที่อยู่ๆ สัตว์โลหิตก็พากันระเบิดอารมณ์ จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาเผ่นหนี แต่ไม่นานก็พบว่าที่สัตว์โลหิตเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่คือเจี่ยเลี่ยที่อยู่ด้านล่าง

เจี่ยเลี่ยผู้นี้ ก่อนหน้านั้นเขาก็สังเกตเห็นแล้ว ทว่าการครอบครองปณิธานแห่งโลกนั้นสำคัญกว่าจึงไม่ได้สนใจ ยามนี้กวาดตามองหนึ่งครั้ง ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเกิดความเห็นใจ

ส่วนคำพูดของอีกฝ่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินก็ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ไม่ได้แก้ตัว เพราะเขาเองก็รู้สึกว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ…เพราะยังไงซะตั้งแต่มาอยู่ในโลกแห่งนี้ เขาก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แค่บินมาเรื่อยๆ เท่านั้น

พอบินมาถึงที่นี่ สัตว์โลหิตก็ยังไม่ขัดขวางเขา ปล่อยให้เขาผ่านเข้ามา…

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างดีกับตนยิ่งนัก ยามนี้มองเจี่ยเลี่ยที่ถูกห้อมล้อมด้วยสัตว์โลหิต ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลว่าควรจะโยนยากระสันซ่านออกไปสักเม็ดดีหรือไม่…

“ช่างเถอะ ข้าเป็นนักพรตผู้มีจิตใจงดงามคนหนึ่ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจังพร้อมเดินขึ้นไปบนยอดเขา มองป้ายศิลาอันหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา ป้ายศิลานี้กำลังส่งประกายแสงวับแวม ทั้งยังมีการเรียกหาส่งมาอย่างต่อเนื่อง

คิดอยู่ครู่หนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินเข้าไปใกล้ป้ายศิลา มือขวายกขึ้นวางลงไปด้านบน พริบตาที่มือของเขาสัมผัสเข้ากับป้ายศิลานั่น สมองของเขาพลันสั่นสะเทือน เหมือนกับว่าทันใดนั้นจิตสัมผัสของเขาแผ่ขยายออกไปหลอมรวมกับโลกทั้งใบ…

และก็เหมือนว่าโลกใบนี้ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา…

บัดนี้มหาสมุทรสีเลือดซัดโหมกระหน่ำ ทะเลทรายลอยขึ้นกลางอากาศ ท้องนภาเคลื่อนโคจรซัดตลบไล่หลังกัน แผ่นดินสั่นสะเทือน พืชหญ้า เทือกเขาจำนวนนับไม่ถ้วน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่บนโลกใบนี้แผ่ความปิติยินดี คล้ายกำลังไชโยกู่ร้อง และยิ่งคล้ายว่ากำลัง…หมอบกราบกราน!

สัตว์โลหิตทุกตัวคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน หันหน้าไปทางป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนยอดเขา เปล่งเสียงร้องคำรามด้วยความสวามิภักดิ์…

เจี่ยเลี่ยที่รอดชีวิตมาได้หวุดหวิด ยามนี้ก็ตัวสั่นสะท้าน เขาเหม่อมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนยอดเขา เขาไม่มีทางลืมประสบการณ์ของช่วงชีวิตนี้ได้เด็ดขาด ไม่มีทางลืมผู้ที่ยามนี้เป็นดั่งราชัน เป็นดั่งนายของโลกอย่าง…เย่จั้ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!