Skip to content

A Will Eternal 252

บทที่ 252 คราวนี้โทษข้าไม่ได้จริงๆ นะ

“แม้แต่ความมั่นใจที่จะต่อสู้กับข้าผู้อาวุโสยังไม่มี เย่จั้ง เจ้าจะยังฝึกบำเพ็ญตบะไปอีกทำไม! เหตุใดสำนักธาราโลหิตถึงได้มีคนไร้ค่าเช่นเจ้าเกิดขึ้นได้ วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะถือโอกาสเป็นตัวแทนสำนัก กำจัดเจ้าให้สิ้นซาก!” เซียวชิงโกรธอย่างถึงขีดสุด ก่อนหน้านี้โดนป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจาเสียดสี ตอนหลังยังถูกคำพูดท้ารบของป๋ายเสี่ยวฉุนถ่วงเวลาทิ้งระยะห่างออกไปอีก จิตสังหารในใจเซียวชิงจึงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้ขณะที่กำลังไล่กวดตามไป ตบะบนร่างระเบิดอย่างต่อเนื่อง ความเร็วยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ทว่าความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็รวดเร็วอย่างถึงที่สุดเช่นกัน พลังกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาบินทะยานได้อย่างบ้าคลั่ง และท่ามกลางการไล่ล่าเช่นนี้ ชั่วยามที่ห้าก็ค่อยๆ ผ่านไป จนกระทั่งชั่วยามที่หก…เยื้องกรายมาถึง

วินาทีที่ชั่วยามที่หกมาถึง จุดสีแดงซึ่งเกิดจากจากกุญแจดอกที่หกพลันปรากฏขึ้น คราวนี้อยู่ห่างจากหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ชุ่นเดียว เมื่อห้อตะบึงเช่นนี้ ระยะห่างเพียงหนึ่งชุ่น เวลาชั่วพริบตาเดียวก็ยังไม่ถึง กุญแจสีเลือดดอกนี้พลันหลอมรวมเข้าไปในหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุน

ขณะที่เสียงตูมตามดังก้องอยู่ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน กายของเขาสั่นเยือก บทเนื้อคงกระพันโคจรเร็วจี๋แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าบ้าคลั่ง เมื่อพละกำลังกล้ามเนื้อไร้ที่สิ้นสุดก่อตัวขึ้นมา ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมิอาจเคลื่อนไปข้างหน้าได้ จำต้องหยุดลง สีหน้าทั้งในและนอกหน้ากากต่างดุร้ายเกินจะเปรียบ ขณะที่เสียงกัมปนาทในร่างดังสะท้านสะเทือน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แหงนหน้าคำรามกร้าวหนึ่งครั้ง

ท่ามกลางเสียงคำรามนี้ เงาผีร้ายแปดตนที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังของเขายิ่งชัดเจน ขณะเดียวกันข้างกายผีร้ายตัวที่แปดก็มีเงาร่างของตัวที่เก้าปรากฏพรวดออกมา!

การเผยตัวของผีร้ายตัวที่เก้านี้ทำให้พละกำลังกล้ามเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกเคลื่อนย้ายทั้งหมด กลายมาเป็นเลือดลมเข้มข้นอย่างยิ่งยวด พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า

อ๊าก!

เส้นเอ็นบนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนปูดโปน เพียงแค่เวลาระยะสั้นๆ ไม่กี่ชั่วยาม พละกำลังกล้ามเนื้อที่ไต่ทะยานขึ้นสูงอย่างดุเดือด แม้จะเป็นตัวเขาเองก็ทำได้เพียงฝืนทนรับ เวลานี้เมื่อเขาคำราม ผีร้ายเก้าตนด้านหลังของเขาจึงคำรามขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน วินาทีที่เซียวชิงซึ่งอยู่ห่างออกไปบินเข้ามาใกล้ ผีร้ายเก้าตนของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเข้ามาซ้อนรวมเป็นร่างเดียวกันตามเจตจำนงของเขา!

ก่อเกิดเป็นเรือนร่างขนาดใหญ่โตมโหฬาร แม้แต่ระดับพลังชีวิตก็ยังแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เรือนร่างนี้เป็นสีขาวตลอดกาย มีปุ่มกระดูกน่าสะพรึงกลัวมากมาย มีเล็บที่แหลมคม และยังมีพายุคลั่งที่ราวกับสามารถบดขยี้ฟ้าดินได้ สิ่งเดียวที่ไม่มี…ก็คือศีรษะ!

นี่คือร่างปีศาจฟ้าตนหนึ่งที่ไม่มีศีรษะ แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบ ทว่าก็แข็งแกร่งน่าตะลึงไม่ต่างกัน ชั่วขณะที่ร่างปีศาจฟ้าก่อรูปขึ้นนั้น ชั่วเวลาสั้นๆ ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามก้อง พลังกล้ามเนื้อไร้ขีดจำกัดไม่เพียงแต่ก่อตัวกลายมาเป็นเลือดลม ทั้งยังก่อให้เกิดพายุคลั่ง พายุนี้หมุนคว้างไปรอบด้านแล้วก่อตัวขึ้นเป็นเกลียวพุ่งสู่ท้องฟ้า เชื่อมต่อกับนภากาศ รวมตัวกันกลายมาเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์หนึ่งลูก

เซียวชิงชะงักฝีเท้า ดวงตาทั้งคู่หดตัว ใบหน้าเผยความเคร่งเครียดเป็นครั้งแรก ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ แม้จะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ทว่าหลังจากที่ร่างมายาของปีศาจฟ้าไร้ศีรษะตนนั้นปรากฏขึ้น ความรู้สึกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบให้คนอื่นกลับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

“เซียวชิง มา มาสู้กับข้า!” ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้มองดูเหมือนปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาสัมผัสได้ว่ามันขยายตัวขึ้นมากกว่าก่อนหน้านั้น ปราณเลือดเข้มเข้นที่เกิดจากกุญแจทั้งห้าดอก ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าหากตนไม่ระบายออกไป ร่างกายอาจระเบิดได้

ตอนที่ดูดซับเอากุญแจโลหิตสี่ดอกก่อนหน้านั้น ยังไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ ตอนนี้พอดูดดอกที่ห้าเข้าไป ความรู้สึกนี้พลันรุนแรงอย่างถึงที่สุด ชั่วพริบตาที่น้ำเสียงแหบพร่าของเขาดังออกมา ร่างของเขาก้าวขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว เสียงตูมระเบิดขึ้นหนึ่งครั้งก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าเซียวชิงโดยตรง แล้วทุ่มร่างพุ่งเข้าใส่

เงาร่างของปีศาจฟ้าขนาดยักษ์ที่อยู่ด้านหลังของเขาก็กระแทกเข้าใส่อย่างรุนแรงไม่ต่างกัน การชนครั้งนี้เหนือล้ำกว่าพลังของป๋ายเสี่ยวฉุนมากมายหลายเท่า และปราณทั้งหมดที่อยู่ในกายซึ่งได้ระบายออกไปอย่างดุเดือดหนึ่งครั้งก็คล้ายจะชนให้การดำรงอยู่ของทุกอย่างแตกสลาย ก่อให้ความว่างเปล่าบิดเบือน และทำให้เซียวชิงหน้าเปลี่ยนสีทันที

เขากำลังคิดจะหลบ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่กระแทกร่างเข้ามา พลันยกมือขวาขึ้นกะทันหัน แรงดึงดูดมหาศาลระลอกหนึ่งแผ่ออกมาจากกลางฝ่ามือของเขา คล้ายจะตรงเข้ามาบีบรัดคอของเซียวชิงเอาไว้

ทว่าตอนที่เข้ามาใกล้กลับเปลี่ยนมาเป็นหมัด หมัดนี้พอกระแทกลงบนความว่างเปล่าก็ก่อให้เกิดคลื่นเคลื่อนไหวปิดผนึกรอบด้าน ขณะเดียวกันก็ทำให้เซียวชิงสูญเสียโอกาสที่จะหลบเลี่ยงไป

ดวงตาทั้งคู่ของเซียวชิงหดตัวลง คำรามต่ำหนึ่งครั้ง เมื่อยกมือทั้งสองข้างขึ้นทำมุทรา แสงสีเลือดบาดตาในร่างแผ่ขยายออกมาก่อตัวเป็นกระบี่เล่มใหญ่สีเลือดเบื้องหน้าเขา แล้วตวัดฉับใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พุ่งเข้าชน!

ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนยาว ทว่าเวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว เสียงกัมปนาทสั่นสะเทือนแก้วหูก็ดังก้องไปสี่ทิศ ร่างของเซียวชิงเมื่อถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกระแทกใส่พลันถอยกรูด ทั้งสองคนบินออกไปพันจั้ง เสียงตูมตามดังสนั่นไปตลอดทาง กรวดทรายบนพื้นดินล้วนแตกละเอียดกระจัดกระจาย พายุหมุนหักครึ่งท่อน ฟ้าดินสั่นสะเทือน

กระบี่โลหิตพังทลาย ร่างปีศาจขาดกลาง เซียวชิงถูกม้วนตลบออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือด…

จนกระทั่งฝุ่นหายคละคลุ้ง ร่างของเซียวชิงที่ปรากฏอยู่ห่างไกลสีหน้าซีดขาว นัยน์ตาโชนแสงคมกล้ามองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้กำลังเช็ดเลือดที่มุมปากออก ปราณในร่างได้ระบายออกไปเกินครึ่ง ความรู้สึกเหมือนร่างจะระเบิดหายไปในที่สุด ทว่าเวลาเดียวกันนั้น พลังกล้ามเนื้อที่มากกว่าก่อนหน้ากลับก่อกำเนิดอย่างต่อเนื่อง เขาจ้องเขม็งไปที่เซียวชิง

“เซียวชิง การต่อสู้ครั้งนี้เจ้าพอใจหรือยัง!” ปากที่ยังมีหยดเลือดหลงเหลืออยู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนแสยะยิ้ม

เซียวชิงเงียบงัน เมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตอันตรายจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน วิกฤตที่ว่านี้หนึ่งนั้นมาจากพละกำลังกล้ามเนื้อที่ป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดออกมา ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเพราะเขาสัมผัสได้รำไรว่า ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนยังซุกซ่อน…พลังบางอย่างที่ทำให้ตนอกสั่นขวัญแขวน

“คนผู้นี้ต้องยังมีความลับซุกซ่อนอยู่แน่นอน!” เซียวชิงใคร่ครวญ ถึงแม้เขายังมั่นใจว่าสามารถตัดหัวอีกฝ่ายได้ แต่ก็รู้ดีว่าต่อให้ชนะ เขาก็คงเจ็บหนัก และตอนนี้การประลองบุตรโลหิต ต่อให้คนอื่นรู้สึกว่าช่วงเวลาแห่งการเข่นฆ่าอย่างทารุณได้ดำเนินมาถึงแล้ว แต่เขารู้ไพ่ตายของเซวี่ยเหมย รู้ดีว่าทุกอย่างนี้ยังเป็นเพียงหมอกปริศนาเท่านั้น ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่ต้องช่วงชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

อีกอย่างยังมีสาเหตุอีกข้อหนึ่ง…เมื่อเซียวชิงนึกมาถึงตรงนี้ สายตาก็กวาดมองไปยังความว่างเปล่าที่อยู่ไม่ห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนนัก เมื่อถอนสายตากลับมาเขาก็สะบัดร่างหนึ่งครั้ง หมุนตัวจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ขัดขวาง ปล่อยให้เซียวชิงจากไป แต่ใจเขากลับยังไม่คลายลง หมุนตัวมองไปยังความว่างเปล่าที่ห่างออกไปไม่ไกล นัยน์ตาเผยประกายเย็นเยียบ

“ศิษย์พี่ท่านนี้ ไหนๆ ก็ตามมานานขนาดนี้แล้ว เชิญออกมาเถอะ”

มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป ความว่างเปล่าบิดเบือนคล้ายมีคนใช้ของวิเศษเปลี่ยนแปลงพลังมิติ ผู้ที่เดินออกมาเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้รูปร่างผอมสูง เพียงแต่ว่าแผ่นหลังปูดนูนขึ้นน้อยๆ คล้ายคนหลังค่อม วินาทีที่เขาเดินออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียวชิงแม้แต่นิด

และคนผู้นี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เคยเจอมาก่อน เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของซ่งจวินหว่าน เพียงแต่ว่าแม้แต่ซ่งเชวียเองก็ยังมองไม่ออกถึงตบะของเขาที่ซุกซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ก็คือหนึ่งในไพ่ตายที่ซ่งจวินหว่านเตรียมเอาไว้ มีประโยชน์ไม่ต่างไปจากเซียวชิง

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดลงน้อยๆ เขารู้ว่าสาเหตุที่เมื่อครู่นี้เซียวชิงจากไปส่วนมากแล้วย่อมมาจากคนผู้นี้

“ข้าน้อยซ่งเจิน…” ชายวัยกลางคนหัวเราะเสียงแหบปร่า สายตากวาดมองร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ในใจเขาเองก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย ยังไงซะเขาก็เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของซ่งจวินหว่าน และก็มองออกว่าระหว่างเย่จั้งและซ่งจวินหว่านนั้นมีความสัมพันธ์คลุมเครือต่อกัน หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งถึงได้กล่าวเนิบช้า

“ข้าผู้แซ่ซ่งไม่ชอบการเดิมพัน และไม่ต้องการถูกกำจัด ข้าชอบเพียงความมั่นคง ดังนั้นศิษย์น้องเย่จั้ง หากชั่วยามที่เจ็ดมาถึง เจ้ามอบกุญแจโลหิตดอกที่เจ็ดนั่นให้ข้า ข้าก็จะไม่ลงมือ” ซ่งเจินมองป๋ายเสี่ยวฉุน เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ป๋ายเสี่ยวฉุนชั่งน้ำหนักอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้พยักหน้า

“ได้ งั้นถ้ากุญแจดอกที่เจ็ดปรากฏขึ้น ข้าจะถอยหลังทันที กุญแจพวกนี้ชั่วร้าย ชอบวิ่งไล่ตามข้า จะได้มาครองหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ฝีมือของเจ้าเองแล้ว หากเจ้าช้าเกินไปก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองซ่งเจิน

“ศิษย์น้องเย่จั้งวางใจเถอะ ขอแค่เจ้าไม่เป็นฝ่ายดูดมัน หลังจากกุญแจดอกนี้ปรากฏตัว ข้าย่อมเอามาครองได้แน่นอน แต่หากเจ้าเป็นฝ่ายดูดมันเข้าไปเอง ก็อย่ามาโทษว่าข้าผู้แซ่ซ่งกลับคำล่ะ” ซ่งเจินยิ้มเสแสร้ง แล้วจึงเอ่ยปากต่อ

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องเย่จั้งสามารถนั่งพักที่นี่ก่อนได้ พวกเรารอให้ชั่วยามที่เจ็ดมาถึงพร้อมกัน”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่านี่ก็เป็นวิธีที่ดี แม้ว่ากุญแจนั่นจะดี ทว่าตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับฝึกบทมิวางวายของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตนไม่มีความจำเป็นต้องเข่นฆ่าโรมรันกับคนที่นี่เพื่อกุญแจดอกเดียว

ส่วนกลุ่มที่แพ้แล้วต้องถูกกำจัดนั้น จุดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนวางใจเป็นอย่างมาก ภาพเหตุการณ์ประหลาดมากมายที่เกิดขึ้นในร่างของบรรพบุรุษโลหิต ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมั่นใจในจุดหนึ่งแล้วว่า ไม่ว่าใครที่อยู่ที่นี่ก็ล้วนอาจถูกกำจัดไปได้ มีเพียงตนคนเดียวเท่านั้นที่จะไม่ถูกกำจัด…

พอคิดอย่างนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงวางใจได้ทันที ดังนั้นจึงนั่งลงขัดสมาธิ ระแวดระวังซ่งเจินพลางปรับตบะของตัวเองไปด้วย ทำให้อาการบาดเจ็บในร่างค่อยๆ ฟื้นตัว ขณะเดียวกันก็บำรุงเพื่อให้ความอบอุ่นกับพละกำลังกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นมา

ซ่งเจินเองก็นั่งสมาธิเช่นกัน คำนวณเวลาอยู่เงียบๆ

ส่วนการช่วงชิงระหว่างคนอื่น ซ่งเจินไม่เก็บมาใส่ใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่คิดจะสนใจ เวลาผันผ่าน ไม่นานชั่วยามที่หกก็กำลังจะหมดไป ชั่วยามที่เจ็ดใกล้จะมาถึง

ซ่งเจินลืมตาทั้งคู่ขึ้น ลุกขึ้นเขยิบเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนเล็กน้อย มือขวามีแสงเปล่งประกายระยิบระยับ จ้องเขม็งที่ความว่างเปล่าเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าขอแค่กุญแจดอกนี้ปรากฏตัว ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะได้กุญแจนี้มาครองอย่างแน่นอน

และต่อให้เย่จั้งกลับคำ เป็นฝ่ายดูดเอากุญแจมาด้วยตัวเอง ทว่าอยู่ใกล้กันขนาดนี้ ซ่งเจินก็มั่นใจเหมือนกันว่าด้วยตบะที่ลึกล้ำของตัวเอง และความเร็วที่แม้แต่ผู้อาวุโสไท่ซ่างก็ยังเอ่ยชมแล้ว เขาก็ยังคงลงมือได้รวดเร็วกว่าอีกฝ่ายอยู่ดี

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ สิบลมหายใจ หกลมหายใจ สามลมหายใจ…จนกระทั่ง…ชั่วยามที่เจ็ดมาถึง

ซ่งเจินเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง มือขวาที่กลายมาเป็นเงาพร่าเลือนโบกอย่างแรงหนึ่งครั้ง เสียงกึกก้องดังสะท้านฟ้า พลังมหาศาลระลอกหนึ่งระเบิดออกมาปกคลุมไปทั่วด้าน แม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่เว้น ทั้งหมดล้วนถูกปกคลุมอยู่ภายใน

ทว่าเวลานี้เอง จุดสีแดงบาดตาจุดหนึ่งพลันระเบิดออกมา…จากในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า กุญแจดอกที่เจ็ดปรากฏขึ้น!

แต่กลับไม่ได้ปรากฏอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน แต่กลับปรากฏอยู่ในร่างกายของเขาซึ่งเป็นเรื่องที่เกินกว่าใครจะคาดคิดถึง!!

เวลาเดียวกับที่แสงนี้ปรากฏขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงันไปทันที เขาพบว่าในร่างของตัวเองอยู่ๆ ก็มีกุญแจดอกหนึ่งปรากฏขึ้น ยังไม่ทันที่เขาจะตั้งตัวได้ กุญแจดอกนี้ก็กลายมาเป็นปราณเลือดมหาศาล แผ่กระจายไปทั่วร่าง…

ซ่งเจินเองก็ตะลึงไปเช่นกัน

“นี่…”

“คราวนี้โทษข้าไม่ได้จริงๆ นะ มัน…มันเข้ามาอยู่ในท้องของข้าเองนี่นา!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง กรีดร้องเสียงแหลมแล้วถอยกรูดทันที ซ่งเจินหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน ไม่นานก็เปล่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดด้วยความโกรธเคืองอย่างถึงที่สุด

“เย่จั้ง!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!