Skip to content

A Will Eternal 26

บทที่ 26 ไก่หางวิเศษอร่อยไหม

สำหรับที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุน ถึงแม้ว่าหลี่ชิงโหวจะไม่เคยมาแต่ก็ให้ความสนใจมาโดยตลอด ในเวลานี้เดินอยู่บนทางภูเขา บริเวณโดยรอบค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรกร้าง ไม่นานด้านหน้าเขาก็มีลานที่พักแห่งหนึ่งปรากฏให้เห็น

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเดินเข้าไปใกล้ก็สามารถมองเห็นได้จากไกลๆ ว่าบนทางเส้นเล็กมีเงาร่างขาวสะอาดหนึ่งร่าง ในมือถือชิ้นเนื้อสีดำหนึ่งชิ้น เดินพลางกินพลางราวกับว่ามีความสุขกับการกินอย่างมาก ถึงขั้นฮัมเพลงออกมาด้วย

สีหน้าของหลี่ชิงโหวบิดเบี้ยว เขามองชิ้นเนื้อในมือของอีกฝ่ายแวบเดียวก็รู้ชัดว่านั่นคือน่องไก่ที่ถูกอำพรางมาแล้ว ความโมโหจึงพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!”

เสียงของเขาไม่สูง แต่กลับระเบิดก้องกังวานดั่งเสียงฟ้าผ่า ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังแทะกระดูกไก่ พอได้ยินประโยคนี้ก็แทบจะสะดุ้งตัวโยนขึ้นมาทีเดียว

“ท่านผู้นำหลี่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง สูดหายใจเฮือก ยัดขาไก่ที่อยู่ในมือเข้าปากไปทั้งอันโดยไม่รู้ตัว ปากป่องออกเหมือนลูกหนัง เขาออกแรงเคี้ยวอยู่หลายที พยายามกลืนลงไปทั้งอย่างนั้นจนหน้าเขียวหน้าแดงไปหมด

ในสำนักนี้คนที่เขากลัวที่สุดก็คือหลี่ชิงโหว โดยเฉพาะกินไก่ของอีกฝ่ายไปมากมายขนาดนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งหวาดผวาจนหน้าผากมีเหงื่อซึม หลังจากที่ใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดออกแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปหา ใบหน้าเผยความน่าเอ็นดู คารวะอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

“ศิษย์คารวะท่านผู้นำ”

ใบหน้าหลี่ชิงโหวไร้อารมณ์ ยามมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ความระอาใจยิ่งเพิ่มขึ้นสูง บรรพบุรุษของป๋ายเสี่ยวฉุนเคยมีบุญคุณกับเขา หลี่ชิงโหวเป็นคนให้ความสำคัญกับบุญคุณอย่างถึงที่สุด ต่อให้ในตอนนี้มาคิดดูแล้ว ปีนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง แต่กลับไม่เคยคิดจะลืมตอบแทน

ท่านผู้นำจากเขาชิงเฟิงและเขาจื่อติ่งมาหาเขา ซึ่งเรื่องที่คุยกันก็คือเรื่องไก่หางวิเศษ ถึงแม้ว่าไม่ใช่ของวิเศษที่มีราคาค่างวดอะไร แต่เขาก็ไม่ชอบใจให้คนอื่นมาตำหนิลูกศิษย์ของตนเอง จึงเป็นฝ่ายชดใช้ไปให้เล็กน้อย

เวลานี้มองป๋ายเสี่ยวฉุน ความรู้สึกในใจหลิชิงโหวที่มีมากสุดคือเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้[1]

“เจ้าเพิ่งกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกได้แค่ครึ่งปีกว่า ฝึกฝนวิชาได้ขั้นที่สี่ของการรวมลมปราณ น่าจะภูมิใจในตัวเองมากเลยสินะ” หลี่ชิงโหวทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งที

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ดังนั้นจึงรักษาท่าทางน่าเอ็นดูต่อไป ในใจคิดว่าขอแค่ตัวเองวางกิริยาท่าทางให้ดีก็น่าจะไม่มีเรื่องอะไร แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ที่ตนเองถืออยู่ในมือคือน่องไก่หางวิเศษของอีกฝ่าย หน้าผากก็มีเหงื่อซึมออกมาอีกครั้ง

“ในเมื่อมีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระตั้งมากมายขนาดนั้น ถ้างั้นเจ้าก็มาเข้าร่วมงานประลองพลังรวมลมปราณขั้นที่สี่และห้าเล็กๆ ของลูกศิษย์ฝ่ายนอกเขาเซียงอวิ๋นในอีกสามเดือนข้างหน้าแล้วกัน” เห็นท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุน หลี่ชิงโหวรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยปากเนิบนาบ

คำพูดนี้ของเขาพอปล่อยออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจแป้ว เขาเคยได้ยินเรื่องการประลองเล็กเช่นนี้มาก่อน รู้ว่าการแข่งขันเล็กๆ แบบนั้นแม้จะมีรางวัลให้ แต่ว่ากันว่าการต่อสู้ดุเดือดมาก หากเผลอไม่ระวังตัวหน่อยเดียวก็จะถูกทำร้ายจนบาดเจ็บได้ ใบหน้าเขาจึงเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาทันที

“ท่านผู้นำ ข้าเพิ่งฝึกได้แค่รวมลมปราณขั้นที่สี่ ท่านจะให้ข้าไปแข่งกับพวกเขา หากพวกเขาตีจนข้าตายขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ…”

“การประลองครั้งนี้ เจ้าจำเป็นต้องติดห้าอันดับแรก มิเช่นนั้นล่ะก็ ข้าจะ…” หลี่ชิงโหวไม่สนใจป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาเผยความเข้มงวด ยังไม่ทันพูดจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจยาวออกมา

“ข้ารู้ ท่านจะไล่ข้าออกจากสำนักไงล่ะ…”

หลี่ชิงโหวถลึงตา รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนนิสัยดื้อรั้น เกรงว่าแค่ยกเรื่องไล่ออกจากสำนักมาทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยจะไม่พอเสียแล้ว แต่ก็นึกถึงความกลัวตายของเด็กคนนี้ขึ้นมาได้ ทันใดนั้นหลี่ชิงโหวก็ยกมือขวาขึ้น สะบัดปลายเสื้อแขนยาวหนึ่งที ม้วนเอาป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งออกไปจากลานที่พัก ตรงดิ่งไปยังยอดเขา

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจเต้นกระหน่ำ เห็นว่าใบหน้าของหลี่ชิงโหวไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ก็แอบรู้สึกถึงลางร้าย ระหว่างลอยอยู่กลางอากาศสัมผัสได้ถึงสายลมรุนแรงจากรอบด้านพุ่งมาปะทะใบหน้า ยังไม่ทันที่เขาจะมองอย่างละเอียด หลี่ชิงโหวก็พาเขามาถึงยังด้านหลังของภูเขาเซียงอวิ๋นแล้ว

ที่นี่มีพืชหญ้าขึ้นเยอะ ถือเป็นเขตต้องห้ามของเขาเซียงอวิ๋น ปกติแล้วลูกศิษย์ไม่อาจเข้ามาได้

เพิ่งจะร่วงลงพื้น หลี่ชิงโหวก็หิ้วป๋ายเสี่ยวฉุนห้อตะบึงด้วยความรวดเร็ว มุ่งไปทางหุบเขาแห่งหนึ่งด้านหลังเขา เพิ่งจะเข้ามาในนี้อากาศหนาวยะเยือกระลอกหนึ่งก็พัดพาขึ้นมาทันที สีสันของพืชหญ้าที่อยู่รอบด้านสดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นที่ว่าพืชหญ้าเหล่านั้นต่างโบกสะบัดไปมาตามการมาถึงของหลี่ชิงโหว

ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นรัวเร็ว เห็นพืชหญ้าเหล่านั้นก็พลันรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็มองเห็นงูพิษสีแดงตัวหนึ่งอยู่ในพืชหญ้า ค่อยๆ ชูหัวขึ้น แลบลิ้นออกมา ดวงตาเย็นชาจ้องเขม็งมาที่ตนเอง

“งู!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขนหัวลุก ที่ตามมาติดๆ คือเมื่อหลี่ชิงโหวเดินไปข้างหน้า ภาพทุกอย่างในหุบเขาล้วนปรากฏอยู่ในสายตาป๋ายเสี่ยวฉุน เขาเห็นได้ทันทีว่าทุกส่วนของหุบเขานี้ไม่ว่าจะเป็นพื้นดิน ในพุ่มหญ้า บนกิ่งไม้ ล้วนมีงูจำนวนนับไม่ถ้วนเบียดเสียดกันอยู่ยั้วเยี้ยไปหมด

สีสันลายตา แต่ละสีล้วนบาดตา แค่มองก็รู้ว่าเป็นงูพิษทั้งหมด ทุกตัวล้วนแลบลิ้นออกมา ดวงตาเย็นชา

ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น เขากลัวงูมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่งูพิษพวกนั้นเห็นตนแล้วก็มีหลายตัวที่ทำท่าแผ่แม่เบี้ย อ้าปากแสยะให้เห็นเขี้ยวพิษ บางส่วนยังถึงขั้นเริ่มพ่นเมือกที่เป็นพิษออกมาแล้วด้วยซ้ำ

แต่เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมาคิดดูใหม่ ตัวเองมีหนังคงกระพันอยู่นี่นา งูพิษพวกนี้น่าจะกัดไม่เข้าสิถึงจะถูก คิดมาถึงตรงนี้พลันเขาก็รู้สึกว่าต่อให้งูพวกนี้จะมีมากอีกแค่ไหนก็ล้วนเหมือนไก่อ่อนตัวหนึ่งเท่านั้น ตนเองไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเลยสักนิด

แต่เขาก็กลอกตา กังวลว่าหากตนเองแสดงออกว่าไม่กลัว ไม่แน่ว่าหลี่ชิงโหวอาจพาตนเองไปยังสถานที่ที่อันตรายกว่านี้ก็ได้ ดังนั้นจึงรีบเปล่งเสียงร้องโหยหวนออกมาในทันที ทำท่าเหมือนกลัวมาก

หลี่ชิงโหวทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งครั้ง พลังแผ่ขยายออก งูเหล่านั้นขยับร่างเลื้อยทันที ค่อยๆ แหวกออกเผยทางเส้นเล็กหนึ่งเส้นให้เห็น สุดปลายทางนั้นมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในดำมืดสนิท แต่กลับมีกลิ่นคาวที่ชวนคลื่นเหียนกระจายออกมาไม่ขาด

“ท่านอาหลี่ ท่าน…ช่วยด้วย ข้าไม่ได้ทำผิดกฎสำนักสักหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเสียงสั่นทันใด หลี่ชิงโหวใบหน้าไร้อารมณ์ จับป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานดิ่งเข้าไปในถ้ำ หลังจากเข้าไปข้างในแล้ว เขาสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที บริเวณโดยรอบก็สว่างขึ้นมาไม่น้อย

พลันป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้เห็นงูพิษที่มากมายยิ่งกว่าด้านนอก แถมแต่ละตัวยังตัวใหญ่กว่ามากนัก พากันส่งเสียงฟ่อๆ เสียงนี้ราวกับแฝงไว้ด้วยพลังมหัศจรรย์บางอย่าง ถึงขั้นสามารถทำให้คนจิตใจระส่ำระส่ายได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินดวงตาก็เบิกกว้างทันที

กลิ่นอายอันตรายรุนแรงเป็นระลอกทำให้เขาหายใจถี่กระชั้น โดยเฉพาะสิ่งที่ทำให้เขาใจหวิวคือเขาพบว่างูพิษเหล่านั้นล้วนมีพลังจากการบำเพ็ญตบะพอๆ กับผู้บำเพ็ญเพียร อีกทั้งห่างไปไกล เขายังมองเห็นงูพิษที่ทั้งร่างมีสี่สีตัวหนึ่งซึ่งมีพลังเทียบเท่าได้กับการรวมลมปราณขั้นที่ห้า

ถูกสายตาของงูตัวนี้มองจ้องมา ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ใคร่ครวญว่าหนังคงกระพันของตนเอง เมื่ออยู่ที่นี่เกรงว่าคงจะยืนหยัดได้ไม่นานนัก คราวนี้ไม่ต้องเสแสร้งเขาก็กลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว

“ที่แห่งนี้คือหุบเขาหมื่นอสรพิษ เป็นสถานที่เก็บพิษแห่งหนึ่งของเขาเซียงอวิ๋นเรา งูพวกนี้ทุกตัวล้วนมีพิษร้ายแรง เมือกพิษหยดเดียวก็สามารถฆ่าวัวหนึ่งร้อยตัวได้

ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังต่ำกว่าขั้นสร้างฐานรากสัมผัสพิษนี้เข้า หากช่วยเหลือไม่ทันกาล พิษก็จะกระจายไปทั่วร่างจนสิ้นชีวิต โดยเฉพาะในจุดที่อยู่ลึก ยังมีราชาอสรพิษที่พลังเทียบเคียงกับขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณ หากถูกพิษของมันเพียงนิด แม้แต่ข้าก็ยากจะช่วยได้

การประลองเล็กของฝ่ายนอก หากเจ้าไม่ติดห้าอันดับแรกก็วางใจได้เลย เขาไม่ไล่เจ้าออกจากสำนักหรอก ข้าจะให้เจ้ามาที่นี่ ช่วยข้ารีดพิษ” หลี่ชิงโหวเอ่ยปากเนิบนาบ มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน

“นี่…นี่…ท่านอาหลี่โปรดวางใจ ก็แค่ประลองเล็กของสำนักเอง ก็แค่ห้าอันดับแรกเอง ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องทำสำเร็จแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนปากคอแห้งผาก สีหน้าขาวเผือด พอได้ยินว่าจุดลึกยังมีงูพิษที่น่ากลัวยิ่งกว่า เขาก็เอ่ยคำสาบานในใจทันที ชีวิตนี้เขาไม่มีทางมาที่นี่แน่

ได้ยินคำรับรองจากป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจหลี่ชิงโหวก็ให้รู้สึกตลกนัก แต่ใบหน้ากลับยังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม ทำเสียงหึหนึ่งที พาป๋ายเสี่ยวฉุนไปจากที่นี่ หลังจากกลับมายังเขาเซียงอวิ๋นอีกครั้งก็โยนป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ด้านข้างทางเส้นเล็ก หมุนตัวจะจากไป

ก่อนจะจากไป เท้าของเขาหยุดชะงัก ไม่ได้หันมามองแต่เสียงกลับลอยมา

“ใช่แล้ว ไก่หางวิเศษพวกนั้นอร่อยไหมล่ะ”

พูดจบก็ไม่รอคำตอบจากป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของหลี่ชิงโหวลอยจากไปไกล

ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ กลับลานที่พักไปด้วยใบหน้าระทมทุกข์ ตลอดทางมีลมพัดผ่าน เสียงต้นไม้ใบหญ้าดังแกรกกราก ทำให้เขาอดคิดถึงงูพิษเหล่านั้นอยู่หลายครั้งไม่ได้

“หลี่ชิงโหว…นี่มันหลี่ชิงเสอ[2]ชัดๆ! ทำกันเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาถึงลานที่พักด้วยใบหน้าเศร้าโศกจะร้องแหล่มิร้องแหล่ จากนั้นก็กัดฟันแรงๆ หนึ่งที

“หุบเขาหมื่นอสรพิษนั่นข้าไม่มีทางไปแน่นอน หากสัมผัสโดนพิษแค่นิดหน่อย ชีวิตน้อยๆ ของข้าก็ไม่เหลือแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แค่ห้าอันดับแรกไม่ใช่เหรอ สู้โว้ย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจเด็ดขาดทันควัน

“ต้องเข้าร่วมการประลองเล็ก เช่นนั้นพลังของข้าในตอนนี้มีไม่พอ ข้าจำเป็นต้องใช้ยาวิเศษ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก กำหมัดแน่น นัยน์ตาเผยแววเด็ดเดี่ยว หลังจากมองรอบด้านแล้วก็มองเห็นไผ่เหมันต์วิเศษเหล่านั้นทันที

“หลังจากทำภารกิจไผ่เหมันต์วิเศษนี้เสร็จสิ้นจะได้รางวัลเป็นคะแนนความดี คะแนนความดีสามารถนำไปแลกเอายาวิเศษมาได้ แต่ไผ่พวกนี้ของข้ายังโตไม่ถึงห้าจั้ง ไม่รู้ว่าจะผ่านเกณฑ์หรือเปล่า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกไม่แน่ใจอยู่หน่อยๆ แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นอีก ดังนั้นจึงคำนวณเวลา รู้ว่าอีกหลายวันข้างหน้าจะเป็นวันที่ต้องส่งมอบภารกิจปลูกพืชวิเศษที่สำนักกำหนดไว้แล้ว

รอด้วยใบหน้าระทมทุกข์อยู่หลายวัน ในที่สุดเช้าตรู่ของวันที่สี่ ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นแต่เช้ามายืนอยู่ข้างต้นไผ่ มือทั้งสองข้างออกแรงกอดแต่ละต้นเอาไว้แน่นแล้วดึงขึ้นมาพร้อมกันทั้งหมด

เขาพบว่าต้นไผ่พวกนี้มองดูแล้วไม่หนัก แต่พอดึงขึ้นมาแต่ละต้นกลับหนักมากราวกับเป็นโลหะอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากพื้นดินในลานที่พักสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง ต้นไผ่เหมันต์วิเศษสิบต้นที่ยาวเกือบห้าจั้ง หนาขนาดหนึ่งตัวคนกว่าๆ ก็ถูกเขาแบกไว้บนบ่า เดินทีละก้าวออกไปจากที่พัก เตรียมไปส่งมอบภารกิจ

พื้นที่ในถุงเก็บของของเขามีไม่มาก ไม่สามารถเอาต้นไผ่พวกนี้ใส่เข้าไปได้ ทำได้เพียงแบกไปทั้งแบบนี้ ยังดีที่หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกหนังเหล็กคงกระพันขั้นต้นสำเร็จ พละกำลังมีเพิ่มขึ้นเยอะมาก ไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่สามารถแบกขึ้นเขาไปได้จริงๆ

เดินไปป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลัดกลุ้มไปด้วย เดี๋ยวก็คิดถึงเรื่องประลองเล็กของสำนัก เดี๋ยวก็คิดถึงงูพิษเหล่านั้น ในสมองล้วนเต็มไปด้วยภาพจินตนาการที่ตัวเองถูกหักกระดูกเลาะเอ็นในขณะการต่อสู้

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน ทำไมชีวิตถึงได้รันทดอย่างนี้นะ…”

———-

[1] เจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ หมายถึง คาดหวังกับผู้อื่นไว้สูงเกินไป ไม่พอใจต่อความไม่เอาไหนของผู้ที่ตนคาดหวัง

[2] ชิงเสอ หมายถึง งูเขียว เมื่อรวมกับแซ่หลี่ จึงกลายเป็น งูเขียวหลี่ (หลี่ชิงเสอ)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!