บทที่ 271 ความว่างเปล่าที่แท้จริงคือการดำรงอยู่
“การมีที่ไม่มีเรียกดำรงอยู่ ความว่างที่ไม่ว่างเรียกความว่างเปล่าที่แท้จริง…” หลี่ชิงโหวเอ่ยปากเนิบนาบโดยที่ไม่ได้หันกลับมา ยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นระรัว รู้สึกว่าประโยคนี้คล้ายจะซ่อนเร้นความคิดบางอย่างที่ลึกล้ำอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขาคิดอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจ แต่กลับรู้สึกว่าหลังจากที่หลี่ชิงโหวพูดประโยคนี้ออกมา ตลอดทั้งร่างของเขาก็คล้ายจะสูงใหญ่ขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ไม่นานพวกเขาก็มาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศหลังเขาจ้งเต้า เพิ่งจะเข้ามาใกล้ที่นี่ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงสัมผัสถึงอะไรไม่ได้สักอย่าง หลังจากเงียบงันอยู่ชั่วครู่จึงเปิดดวงตาที่สามขึ้น เมื่อมองออกไป หลี่ชิงโหวที่อยู่ด้านหน้าสัมผัสได้จึงหันกลับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง นัยน์ตาเผยแววชื่นชม ไม่ได้เดินหน้าต่อ แต่หยุดอยู่ตรงนั้น อยากจะรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมองเส้นสนกลในออกหรือไม่
ภายใต้เนตรทงเทียน ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปรอบด้าน แต่กลับไม่เห็นอะไรสักอย่าง ในใจเขากระตุก ถือโอกาสปลดปล่อยมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สามในร่างกายซึ่งก่อตัวเป็นผลึก ระเบิดตบะมากมหาศาลหลอมรวมเข้าไปในเนตรทงเทียน อีกทั้งยังแผ่ปราณวิถีฟ้าเข้าไปในเนตรทงเทียนด้วย
พริบตาเดียว ดวงตาที่สามของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปวดแสบปวดร้อน ทว่าท่ามกลางอาการเจ็บปวดนี้ โลกเบื้องหน้าของเขาพลันบิดเบือน มองเห็นได้รำไรว่ามีภูเขาลูกใหญ่ที่มโหฬารยิ่งกว่าเขาจ้งเต้าตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเขา
“ภูเขา..” ป๋ายเสี่ยวฉุนอุทานด้วยความตื่นตะลึง หลังจากที่เนตรทงเทียนตรงหว่างคิ้วปิดลงเพราะไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก ลมหายใจของเขาหอบหนัก เผยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ที่เจ้าเห็น คือสิ่งที่มีเพียงเจ้าสำนัก ลำดับผู้สืบทอด ผู้อาวุโสไท่ซ่างของสำนักธาราเทพเท่านั้นถึงจะรับรู้ได้…นั่นคือภูเขาลูกที่เก้า!” น้ำเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งพลันดังลอยออกมาจากความว่างเปล่า ผู้อาวุโสผมขาวโพลนสวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงินผู้หนึ่ง ค่อยๆ ก่อร่างท่ามกลางความว่างเปล่า ย่างเท้าออกมา
ผู้เฒ่าคนนี้ใบหน้าแดงปลั่ง หว่างคิ้วมีใฝสีแดงขนาดเท่าเล็บมือหนึ่งเม็ด เด่นชัดมากเป็นพิเศษ แม้ว่าจะผมทั้งศีรษะจะขาวโพลน ทว่ารอยยับย่นบนใบหน้ากลับมีไม่มาก เพียงแต่ว่าดวงตาทั้งคู่ดุดันเฉียบคมราวกับสายฟ้ามากเกินไป มือขวาถือหยกสี่สีที่มีประกายแสงเปล่งระยับไปทั่วด้านหนึ่งชิ้น
เพิ่งจะปรากฏตัว ความว่างเปล่ารอบด้านก็บิดเบือนทันที แม้แต่ชั้นเมฆบนท้องฟ้าก็ยังเคลื่อนไหวครั่นครืน ราวกับว่าถูกเปลี่ยนแปลง คลื่นน่าตะลึงระลอกหนึ่งแผ่ออกมาจากร่างของผู้เฒ่าคนนี้ ในความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุน คลื่นนั้นดุจดั่งพลานุภาพจากสวรรค์ ทั้งยังมีปราณดุร้ายน่าหวาดกลัวกระจายออกมา คล้ายว่าผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าตนไม่ใช่แค่ผู้เฒ่าคนหนึ่ง แต่เป็นสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่ง!
“คารวะท่านอาจารย์” หลี่ชิงโหวประสานมือคารวะไปทางผู้เฒ่า กล่าวเสียงเบา
“ป๋ายเสี่ยวฉุนคารวะท่านบุรพาจารย์!” แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่เคยเจอผู้เฒ่าคนนี้มาก่อน ทว่าความบ้าคลั่งของพลังอำนาจและความดุดันเช่นนั้นทำให้เขาหายใจติดขัด ในใจคาดเดาได้ถึงสถานะของอีกฝ่าย รีบคารวะ
สายตาของผู้เฒ่ากวาดมองไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง สีหน้าเผยรอยยิ้ม เพียงแต่เมื่อประสานเข้ากับปราณดุร้ายบนร่างเขาแล้ว ทำให้รอยยิ้มนี้มองดูน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
“ไม่ใช่ลำดับผู้สืบทอด ได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น เจ้าเด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีความผิด!” ประโยคนี้หลุดออกมา ปราณดุดันน่าหวาดหวั่นนั่นพลันแผ่มาบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเยือก หน้าเผือดสี คล้ายยืนอยู่บนลานประหาร ความรู้สึกเช่นนั้นเพียงแค่พริบตาเดียวก็ทำให้เขาใจหายใจคว่ำได้
“อาจารย์…ท่านทำให้เสี่ยวฉุนตกใจนะขอรับ” หลี่ชิงโหวที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน
ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจริงๆ พอรอยยิ้มของผู้เฒ่าคนนี้ปรากฏขึ้น ความรู้สึกถึงปราณเหี้ยมเกรียมนั้น ทำให้รูขุมขนตลอดร่างของเขาตั้งชัน รู้สึกเหมือนอยู่บนลานประหาร ปราณเลือดในร่างเกือบจะระเบิดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ คล้ายต้องการเปรียบเทียบระดับความโหดเหี้ยมกับผู้เฒ่าคนนี้
ผู้เฒ่ายิ้มน่าขนลุก มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง รอบกายเขาพลันปรากฏหมอกบางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมร่างของเขาไว้ด้านในทันที เผยให้เห็นเพียงเค้าโครงร่าง
“เอาเถอะ เรื่องนี้จดเอาไว้ก่อน วันหน้าหากทำผิดอีก ค่อยลงโทษพร้อมกันทีเดียว!” เสียงของผู้เฒ่าดังลอดออกมาจากในหมอกชั้นบาง
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เชิดคางขึ้น เผยท่าทางน่าเอ็นดู แต่ในใจกลับดูหมิ่น ครุ่นคิดว่าตาแก่นี่ต้องจงใจข่มขู่เพราะคิดทดสอบตนแน่นอน แอบพูดกับตัวเองว่าวิธีเช่นนี้ตอนที่ตนอยู่สำนักธาราโลหิตก็เคยใช้มาก่อน
“ท่านผู้อาวุโสคืออาจารย์ของท่านอาข้า ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเป็นอาจารย์ปู่ของข้า อาจารย์ปู่ผู้อยู่เบื้องบน โปรดรับการคารวะจากผู้น้อยด้วยขอรับ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่ยอมแพ้เล็กน้อย ดังนั้นจึงกลอกตา รีบคารวะด้วยท่าทีเคารพนบนอบ พอเงยหน้าขึ้นก็ตบลงไปบนถุงเก็บของหนึ่งครั้ง หยิบเอาขวดยาออกมาหนึ่งขวด ประคองส่งให้ด้วยสองมือ
“ท่านอาจารย์ปู่ เจอหน้ากันครั้งแรก นี่คือยาวิเศษที่มีคุณค่ามากที่สุดในถุงเก็บของของข้าผู้น้อย ไม่ว่าใครก็ตามที่กินเข้าไปล้วนเอ่ยชมไม่หยุดปาก สรรพคุณมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด ข้าผู้น้อยยินดีมอบให้ท่านอาจารย์ปู่ นี่ถือเป็นความกตัญญูของข้าผู้น้อย ขอท่านอาจารย์โปรดรับไว้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไปพลางมองผู้เฒ่าที่อยู่ในกลุ่มหมอกตาปริบๆ สายตาเน้นมองไปที่หยกสี่สีซึ่งอยู่ในมือขวาของอีกฝ่าย หยกนั่นป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว รู้สึกว่ามันคือสมบัติล้ำค่า
หลี่ชิงโหวรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เรื่องที่มอบของขวัญให้กับผู้อาวุโสเช่นนี้ หากเกิดขึ้นกับคนอื่นก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อมาเกิดกับป๋ายเสี่ยวฉุน หลี่ชิงโหวรู้สึกทะแม่งๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกแปลกประหลาด โดยเฉพาะพอเห็นจุดที่สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป เขาก็ยิ้มเจื่อนทันที รู้สึกว่าตัวเองเดาความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนออกแล้ว
นี่เป็นการมอบของขวัญให้ผู้อาวุโสที่ไหน นี่มันเป็นการขอของขวัญพบหน้ากันครั้งแรกชัดๆ…
ขณะที่หลี่ชิงโหวยิ้มเจื่อน บุรพาจารย์ที่อยู่ในกลุ่มหมอกก็อึ้งไปครู่หนึ่ง หลังจากมองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกหลายที คิดว่าตัวเองเดาความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ดังนั้นจึงหัวเราะออกมายาวๆ
“นี่คิดจะเอาของขวัญพบหน้าครั้งแรกจากข้าผู้อาวุโสล่ะสิ? ยานั่นข้าผู้อาวุโสจะรับไว้ หยกนี่เจ้าเอาไป ข้าให้เจ้า!” ระหว่างที่พูดหยกสี่สีชิ้นนั้นก็บินออกมาจากกลุ่มหมอก ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน มาลอยอยู่ด้านหน้าเขา ส่วนยาวิเศษก็ลอยเข้าไปในกลุ่มหมอกเช่นกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ เขาไม่ได้มีความคิดอย่างนี้จริงๆ พอเห็นว่าอยู่ๆ ก็ได้รับมาโดยไม่คาดคิด กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกเกรงใจเสียอีก แต่เขาก็ไร้ซึ่งความลังเล เอื้อมมือมาคว้าไว้ ในใจฮึกเหิม เก็บหยกชิ้นนั้นมาด้วยความเบิกบานใจ พลิกเล่นอยู่ในฝ่ามือ พบว่าหยกชิ้นนี้ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด พลังที่แฝงเร้นอยู่ภายในทำให้เขารู้สึกว่ามันคล้ายคลึงกับโคมไฟที่บุรพาจารย์ตระกูลซ่งมอบให้
“นี่คืออาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งสำหรับนักพรตขั้นรวมโอสถ ตบะของเจ้ายังตื้นเขิน ทว่าหากใช้สร้างฐานรากวิถีฟ้ากระตุ้นก็พอเอามาใช้ล่วงหน้าได้” ผู้เฒ่าที่อยู่ในกลุ่มหมอกกล่าวด้วยรอยยิ้ม แล้วก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกหลายทีถึงได้หมุนตัวสะบัดร่างเดินเข้าไปในความว่างเปล่า
“ชิงโหว เจ้าเด็กน้อยนี่ไม่เลว คาถาพืชหญ้าแปลงกองทัพ เจ้าสามารถมอบให้เขาได้”
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์!” หลี่ชิงโหวประสานมือคารวะ เป้าหมายที่เขาพาป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่นี่ก็เพื่อได้รับคำอนุญาตจากอาจารย์เรื่องมอบพืชหญ้าแปลงกองทัพให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
เพราะยังไงซะป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเขา ซึ่งจะได้รับถ่ายทอดความรู้มาจากอาจารย์อีกสายหนึ่ง
เวลานี้เมื่อได้รับคำอนุญาตจากอาจารย์ หลี่ชิงโหวถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง พาเขากลับมาที่เขาจ้งเต้า เมื่ออยู่นอกถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน หลี่ชิงโหวจึงถ่ายทอดวิชาลับพืชหญ้าแปลงกองทัพให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
“พืชหญ้าแปลงกองทัพ ไม่ใช่พลังควบคุม แต่เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ใช้พืชหญ้ามาแปลงเป็นพลังในการสู้รบ โลกใบนี้ หนึ่งพืชหนึ่งหญ้าล้วนมีจิตวิญญาณ ใช้จิตวิญญาณนี้มากระตุ้นพวกมันจะก่อให้เกิดอานุภาพที่แน่นอน!”
“และนี่เป็นเพียงแค่ขั้นต้นเท่านั้น หากสามารถนำมาผสมรวมกับพืชหญ้าที่แตกต่างกัน จะยิ่งสามารถจัดวางค่ายกลที่คล้ายคลึงกัน พลานุภาพก็จะยิ่งขยายใหญ่ พืชหญ้าแปลงกองทัพ หนึ่งค่ายกลแปลงหนึ่งกองทัพ!”
“ส่วนคำว่าค่ายกลที่มีความคล้ายคลึงกัน แท้จริงแล้วไม่ใช่ค่ายกล แต่เป็น…ตำรับยา ตำรับยาที่ไม่ได้หลอมในเตา แต่เป็นตำรับแห่งกองทัพยาที่สามารถระเบิดพลังสังหารของพืชหญ้าได้!”
วิชานี้จำเป็นต้องมีความรู้ทางพืชหญ้าที่แน่นอนในระดับหนึ่ง ด้วยวิถีโอสถของป๋ายเสี่ยวฉุน แค่ฟังเพียงครั้งเดียวก็ประจักษ์แจ้งทันที ไม่จำเป็นต้องให้หลี่ชิงโหวแนะนำมากนัก มีแผ่นหยกอยู่ด้วย ขอแค่อธิบายจุดที่สำคัญให้ฟัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สามารถฝึกฝนได้ทันที
ที่สำคัญที่สุดก็คือในแผ่นหยกที่หลี่ชิงโหวมอบให้ มีบันทึกของตำรับกองทัพยาสิบแปดชนิดที่คนรุ่นก่อนๆ ของสำนักธาราเทพสรุปเอาไว้!
ยามสนธยา ก่อนหลี่ชิงโหวจะจากไป เขาไพล่นึกถึงยาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบให้อาจารย์ของตัวเองขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงเอ่ยถามหนึ่งประโยค
“ในขวดยาที่เจ้ามอบให้บุรพาจารย์เถี่ยมู่ ด้านในใส่ยาอะไรไว้?”
“บุรพาจารย์เถี่ยมู่? อ่า…ที่มอบให้ท่านผู้อาวุโส แน่นอนว่าต้องเป็นยาที่ล้ำค่าที่สุดในถุงเก็บของของข้าสิขอรับ นั่นคือยาวิเศษที่ข้าสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง…มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งสำนักธาราเทพ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกเสียวสันหลังเล็กน้อย แต่ก็จนปัญญา ทำได้เพียงเชิดคาง กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
หลี่ชิงโหวได้ยินมาถึงตรงนี้หน้าก็เปลี่ยนสีโดยพลัน เบิกตากว้าง มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเหลือเชื่อ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้กล่าวอย่างลังเล
“ยากระสันซ่าน?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนวัวสันหลังหวะ พยักหน้า พอเห็นสีหน้าเขียวคล้ำของหลี่ชิงโหว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หวาดกลัวเล็กน้อย รีบอธิบาย
“นั่นมันเป็นของดีจริงๆ นะ ข้าไม่ได้โกหก ใครที่ใช้ก็บอกว่าดีทั้งนั้น มังกรเฒ่าของชายฝั่งทิศเหนือตัวนั้นยังชมไม่ขาดปากเลย ข้าคิดว่าบุรพาจารย์ก็อายุมากแล้ว…”
หลี่ชิงโหวเงยหน้าพรวด ในสมองดังอื้ออึง ครู่ใหญ่ถึงได้ถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง รีบบินไปยังภูเขาลูกที่เก้า…
ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดหวั่น พึมพำอยู่ในใจหลายประโยค เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โกหก ยานั่นล้ำค่าอย่างถึงที่สุดจริงๆ นะ
“ใครใช้ให้ตาแก่นั่นข่มขู่ข้ากันเล่า มีอะไรบ้างที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยผ่านมาก่อน มีหรือจะยอมถูกขู่ง่ายๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกผวาเล็กน้อย พอคิดดูแล้วก็ไม่กล้าอยู่ที่เดิมต่อ ดังนั้นจึงตะโกนเรียกเถี่ยตั้น ออกไปจากถ้ำ ตรงดิ่งไปที่ชายฝั่งทิศเหนือ
เวลานี้ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ป๋ายเสี่ยวฉุนและเถี่ยตั้นมาถึงชายฝั่งทิศเหนืออย่างเงียบเชียบ หลังจากไปถึงหอร้อยสัตว์แล้วถึงได้วางใจลงเล็กน้อย
“มีเถี่ยตั้นอยู่ด้วย มีมังกรเฒ่าอยู่ด้วย ต่อให้ตาแก่เถี่ยมู่นั่นมาสั่งสอนข้า ข้าก็มีตัวช่วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจหนึ่งครั้ง รู้สึกว่าหากอยู่ที่สำนักธาราโลหิตคงดียิ่งนัก ด้วยตัวตนมารโลหิตของเขา จะมีบุรพาจารย์คนใดกล้ามาสั่งสอน แค่ชี้นิ้วใส่ก็สามารถระงับตบะของอีกฝ่ายได้ถึงครึ่งหนึ่ง