Skip to content

A Will Eternal 272

บทที่ 272 เถี่ยตั้นอยู่ในมือ ธาราเทพคือของข้า

ทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กดความคิดถึงที่มีต่อสำนักธาราโลหิตลงไป ถอนหายใจหนึ่งครั้ง นั่งขัดสมาธิอยู่ในหอเรือนของหอร้อยสัตว์ ขณะที่คิดจะเรียกเถี่ยตั้นมาหากลับพบว่าหลังจากกลับมาถึงชายฝั่งทิศเหนือเจ้าหมอนั่นดันวิ่งออกไปแล้ว เวลานี้มองไม่เห็นแม้แต่เงาของมัน

“เถี่ยตั้นต้องไปทำเรื่องร้ายกาจอีกแน่นอน!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าวันๆ เถี่ยตั้นไม่ทำอะไรมีสาระ แต่ตบะกลับพอๆ กับตัวเอง ความรู้สึกไม่ยุติธรรมในใจของเขาก็ลอยขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังเริ่มรู้สึกร้อนใจ

“ไม่ได้ ข้าต้องรีบทำเวลาบำเพ็ญตบะ ช่วงชิงให้ฝ่าทะลุสร้างฐานรากขั้นกลาง เหยียบย่างเข้าสู่สร้างฐานรากช่วงท้ายในเร็ววัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก รีบหยิบเอาเจ้าเต่าน้อยออกมาถือไว้ในมือแล้วเขย่าอย่างแรง

ภายใต้การเขย่าอย่างรุนแรงของป๋ายเสี่ยวฉุน หัว แขนขาทั้งสี่ และหางของเต่าน้อยกระแทกลงบนกระดองอย่างต่อเนื่องราวกับตุ๊กตาผ้า ทั้งยังส่งเสียงดังปับๆๆ

ทว่าเขย่าอยู่นานมาก กลิ่นหอมเย็นนั่นก็ยังไม่ปรากฏออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์เสียทันที

“ข้าลำบากลำบนเอาชีวิตไปเสี่ยงถึงจะได้เจ้าเต่าน้อยนี่มาครอบครอง โกหกข้าว่าเป็นวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญก็ยังพอว่า แต่นี่แม้แต่ประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่มีให้ ส่งกลิ่นหอมออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา ออกแรงเขย่าอย่างหนักหน่วง เสียงปับๆๆ ดังต่อเนื่อง จนกระทั่งเขย่าไปได้หนึ่งก้านธูปเต็ม ในที่สุดก็มีกลิ่นหอมสดชื่นเส้นหนึ่งลอยออกมาจากในกระดองเต่า

ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมทันใด สูดเข้าปอดเฮือกใหญ่ หลังจากสูดเอากลิ่นหอมนี้เข้าไปในจมูกแล้ว เมื่อคาถาลมปราณม่วงแปลงกระถางในร่างโคจร พลังฟ้าดินรอบด้านก็พลันระเบิดตูมตาม เข้ามารวมตัวกันโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง กลายรูปเป็นน้ำวนที่มองไม่เห็นหนึ่งลูก ทั้งยังมีเสียงมหาสมุทรพิโรธที่ระเบิดออกในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ต่างไปจากน้ำขึ้นน้ำลง

ท่ามกลางการระเบิดนี้ มหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นในร่างของเขาเมื่ออยู่บนพื้นฐานที่สามชั้นแรกตกผลึกแล้ว มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สี่จึงเริ่มค่อยๆ ปรากฏลางตกผลึกเช่นกัน

เวลาเดียวกัน น้ำของแม่น้ำทงเทียนหนึ่งถ้วยที่เขาดูดซับมาไว้ในร่างกายก็หลอมละลายอย่างรวดเร็ว ถูกมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สี่ดูดรับไปเป็นระยะ ท่ามกลางการดูดซึมนี้ บวกกับปราณวิญญาณฟ้าดินมากมหาศาลที่ถูกสูบมาจากรอบด้าน ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของกระปรี้กระเปร่าอย่างถึงที่สุด

“ได้ผล ฮ่าๆ เจ้าเต่าน้อยนี่ไม่ถือว่าไร้ประโยชน์เสียทีเดียว” ท่ามกลางความตื่นเต้นของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาตั้งปราณและสมาธิให้มั่น ทุ่มเทกายใจอยู่กับมัน ทำให้การตกผลึกของมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สี่ยิ่งมั่นคง ค่อยๆ แผ่ขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง

ความเร็วในการแผ่ขยายนี้ไม่เร็ว หนึ่งคืนผ่านไปเพิ่งจะทำสำเร็จประมาณสองส่วน แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะร้อนใจ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงอดทนรอ ผลักดันการเปลี่ยนแปลงของมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สี่ช้าๆ

ไม่นานก็ผ่านไปแล้วสามวัน เถี่ยตั้นเดินเตร็ดเตร่กลับมานานแล้ว ปากคาบผ้าซับในหลากหลายสีสันกองใหญ่ เดิมทีคิดจะกระโจนเข้าใส่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่กลับสัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังฝึกบำเพ็ญตบะ ดังนั้นนัยน์ตาจึงฉายแววเคร่งขรึม เก็บใจที่อยากแต่จะเล่นสนุกลงไป นอนหมอบอยู่นอกห้องของป๋ายเสี่ยวฉุน มองไปรอบด้านด้วยความระแวดระวัง

สำหรับมันแล้ว ตลอดทั้งสำนักธาราเทพ คนทุกคน สัตว์ทุกตัว หรือแม้แต่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วล้วนไม่มีความสำคัญ ป๋ายเสี่ยวฉุนต่างหากถึงจะเป็นโลกทั้งใบของมัน!

ในเวลาอย่างนี้ หากมีคนกล้ามารบกวนป๋ายเสี่ยวฉุน หรือว่าใครมีเจตนาร้าย ถ้าเช่นนั้นต่อให้เถี่ยตั้นต้องทุ่มเททุกอย่างที่มี ยังไงก็ต้องปกปักษ์รักษาญาติคนเดียวของมันให้ได้!

ท่ามกลางอาการเคร่งขรึมนี้ของเถี่ยตั้น สัตว์รบตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างเช่นกัน หลายวันมานี้สัตว์ส่วนใหญ่ล้วนสงบนิ่ง แต่เจ้านายของพวกมันกลับค้นพบด้วยความแปลกใจว่า สัตว์รบเหล่านี้มักจะบินออกไปอยู่รอบๆ หอร้อยสัตว์ วางท่าป้องกันระแวงภัย

โดยเฉพาะสัตว์รบที่อยู่ในป่าของหอร้อยสัตว์ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

ขณะที่ชายฝั่งทิศเหนือมีคนไม่น้อยเกิดความสงสัย ยามสนธยาของวันนี้ วินาทีที่มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สี่ของป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะตกผลึกได้เก้าส่วน ทันใดนั้นบนยอดเขากุ่ยหยาของชายฝั่งทิศเหนือ ยอดเขาชิงซานของชายฝั่งทิศใต้ แสงสว่างที่เดิมทีอยู่ในสภาวะสะสมพลังเตรียมพร้อม บัดนี้คล้ายไต่ไปถึงจุดอิ่มตัว มันจึงระเบิดออกมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไม่ต่างไปจากครั้งเขาจ้งเตา ก่อเกิดเป็นลำแสงขนาดยักษ์ พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้าท่ามกลางเสียงกัมปนาทเขย่าคลอนฟ้าดิน

ตูมๆๆ!

เสียงดังราวแก้วหูจะดับทำให้พื้นดินสั่นคลอน ทำให้นภากาศโหมซัดสาด ลำแสงขนาดยักษ์ทั้งสองลำตรงดิ่งเข้าสู่ชั้นเมฆ ทำให้น้ำวนท่ามกลางกลุ่มเมฆบนท้องฟ้าของสำนักธาราเทพ ยิ่งใหญ่โตมโหฬาร

เวลาเดียวกันนั้น ลูกศิษย์ทุกคนของสำนักธาราเทพล้วนสังเกตเห็นภาพนี้ พวกเขาพากันเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาโชนแสงคมกล้า ขณะเดียวกันเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังออกมาเป็นระลอก

“การนำส่งชุดที่สองจะเริ่มขึ้นแล้ว!”

ขณะที่ลำแสงของทั้งสองยอดเขายังคงส่องสว่าง คนไม่น้อยถลาออกไปในพริบตา ตรงดิ่งไปยังเขาชิงเฟิง หรือไม่ก็เขากุ่ยหยา! มีทั้งกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาว มีทั้งห้อตะบึงอยู่บนพื้น นี่ก็คือ…สัญลักษณ์การเริ่มนำส่งชุดที่สองของสำนักธาราเทพ!

กลุ่มแรกของเมื่อหลายวันก่อน มีหลี่จื่อโม่เป็นผู้นำขบวน คนทั้งหมดสองพันกว่าคนถูกส่งตัวไปยังเทือกเขาลั่วเฉินเพื่อจัดวางค่ายกล ตอนนี้จำนวนคนของกลุ่มที่สองมากกว่ากลุ่มที่หนึ่งมากมายนัก ซึ่งมีมากเกือบห้าพันคน

แม้แต่สวีซง กงซุนอวิ๋น โหวอวิ๋นเฟย และยังมีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจบางส่วนของสำนักธาราเทพต่างก็อยู่ในกลุ่มคนนี้ด้วย เวลานี้กำลังบินเข้าไปใกล้ยอดเขา หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า ทว่าแม้แต่ลูกศิษย์ฝ่ายในก็ยังปรากฏตัวกันไม่น้อย หรือกระทั่งลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่ได้อยู่ในรายชื่อชุดนี้ก็ยิ่งมีเยอะ

ทุกคนล้วนมีสีหน้าเอาจริงเอาจัง ในสายตาแฝงเร้นไว้ด้วยปณิธานการรบที่พร้อมจะอยู่และตายเพื่อสำนัก ขณะที่ลำแสงของทั้งสองยอดเขาระเบิดจนถึงจุดสูงสุด รุ้งยาวมากมายหลายเส้นที่ความเร็วเหนือล้ำเกินนักพรตสร้างฐานรากพลันเยื้องกรายมาถึง ด้านในนั้นก็คือผู้อาวุโสไท่ซ่างจำนวนมากของสำนักธาราเทพ

และหลังจากที่พวกผู้อาวุโสไท่ซ่างปรากฏตัว เงาร่างสีทองอีกหลายร่างก็ได้เดินออกมาในพริบตานั้น เงาร่างสีทองเหล่านั้นมองเห็นรูปร่างไม่ชัดเจน ทว่าคลื่นบนร่างของพวกเขากลับเหนือล้ำเกินกว่าผู้อาวุโสไท่ซ่าง แม้จะสู้บุรพาจารย์ไม่ได้ ทว่าความรู้สึกราวกับมีแสงสว่างโชติช่วงไปหมื่นจั้งเช่นนั้น ทำให้นักพรตทุกคนของสำนักธาราเทพที่มองเห็นล้วนใจสั่นสะท้าน

“เงาร่างสีทองเหล่านั้น…หรือว่าจะเป็น…”

“ลำดับผู้สืบทอด!!”

ขณะที่เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงดังลอยมา เหล่าเงาร่างสีทองที่เผยกายก็กลายมาเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนทันที ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่มองออกทันควันว่าบนร่างสีทองเหล่านี้คล้ายจะแฝงเร้นไว้ด้วยปราณของสำนักธาราเทพ

ความรู้สึกที่ว่าทุกการกระทำของพวกเขาล้วนสามารถเขย่าคลอนทั้งสำนักธาราเทพได้ ทำให้ในใจของทุกคนเกิดความเคารพยำเกรงและฮึกเหิมไร้ที่สิ้นสุด

พวกเขา ก็คือลำดับผู้สืบทอด เวลานี้ไม่ได้ปรากฏกายออกมาทุกคน แต่ไม่ว่าจะเป็นลำดับผู้สืบทอดคนใดก็ล้วนเป็นบุคคลที่เป็นที่จับตามองของคนเหลือคณานับ คือสุดยอดของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในแต่ละรุ่น

ไม่นาน หลังจากที่ลำดับผู้สืบทอดเหล่านั้นเผยตัวตน หนึ่งในบุรพาจารย์ทั้งห้าของสำนักธาราเทพพลันเดินออกมา คนผู้นี้มองดูแล้วเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มคนหนึ่ง ทว่าความมากประสบการณ์ในดวงตานั้นกลับทำให้ทุกคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงการผันผ่านของกาลเวลาไร้รูปลักษณ์ยาวนาน

“ข้าผู้อาวุโสชื่อเยว่!” ผู้อาวุโสชื่อเยว่สีหน้าเข้มงวด เสียงดังสะท้อนหลังจากปรากฏตัว

“เพื่อสำนักธาราเทพ!” แม้ว่าเขาจะพูดได้เพียงครึ่งเดียว แต่ไม่นาน เสียงจากลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนของของสำนักธาราเทพพลันดังกระหึ่มขึ้นมาพร้อมกัน

“สู้!!”

ขณะที่ปณิธานในการสู้รบพุ่งสู่จุดสูงสุดนั้นเอง บุรพาจารย์ชื่อเยว่เงยหน้าหัวเราะ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เสียงตูมดังสนั่น แสงสว่างของยอดเขาทั้งสองระเบิดอย่างสมบูรณ์แบบ กลายมาเป็นพลังนำส่ง หอบเอาคนเกือบห้าพันคนของทั้งสองเขาให้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตาเดียว!

จนกระทั่งหายวับไปหมด คนของสำนักธาราเทพที่เหลืออยู่ต่างยังมิอาจถอนตัวออกจากปณิธานการรบนั้นได้ จึงพากันหันมามองยังห้ายอดเขาที่เหลือซึ่งยังไม่มีลำแสงปะทุขึ้น

สามารถจินตนาการได้ว่า เมื่อบนยอดเขามีลำแสงระเบิดออกอีกครั้ง ก็หมายความว่าการนำส่งของคนกลุ่มที่สามได้เริ่มต้นขึ้น

เวลาเดียวกันนี้ หลังจากที่การนำส่งกลุ่มที่สองสิ้นสุดลง ในหอร้อยสัตว์ การปิดด่านของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงดำเนินต่อไป มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สี่ในร่างกายเขาบัดนี้สำเร็จไปแล้วเก้าจุดแปดส่วน กำลังแปลงเป็นผลึกในช่วงสุดท้าย

หนึ่งชั่วยามต่อมา ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกโพลง นัยน์ตามีประกายแสงคมกริบวาบผ่าน ในร่างเกิดเสียงดังกึกก้อง ในที่สุดวินาทีนี้ มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่ก็ตกผลึกสำเร็จ!

แทบจะชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้นมา เถี่ยตั้นที่อยู่นอกห้องสัมผัสได้จึงรีบกระโจนเข้าใส่ประตูทันที พอมองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้นมันก็ปิติยินดีโดยพลัน เปล่งเสียงคำรามออกมาหนึ่งครั้ง

ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยรอยยิ้ม ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นเอง หลังจากเสียงคำรามด้วยความดีใจของเถี่ยตั้นดังออกไป สัตว์รบทุกตัวที่อยู่ในหอร้อยสัตว์ต่างพากันขานรับ พร้อมใจกันเงยหน้าแผดเสียงคำราม

ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่นอกหอร้อยสัตว์เอง สัตว์รบที่หลายวันมานี้มักจะวนเวียนอยู่ที่นี่เป็นประจำก็ล้วนเปล่งเสียงเห่าหอน ราวกับว่าเสียงคำรามครั้งเดียวของเถี่ยตั้นก็สามารถชักนำให้อารมณ์ของพวกมันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง

เสียงคำรามเหล่านี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ดังไปทั่วทั้งชายฝั่งทิศเหนือ ดุจดั่งกำลังเฉลิมฉลองให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน…และเสียงที่ดังก้องขึ้นมากะทันหันนี้ก็ยิ่งทำให้นักพรตทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือใจสั่น ยังดีที่มันไม่ได้ดังนานนัก ประเดี๋ยวเดียวก็หายไป ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกสะท้านสะเทือนอย่างลึกล้ำ

“ข้า…ข้าก็แค่ฝ่าทะลุขั้นเล็กๆ เท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องร่วมแสดงความยินดีขนาดนี้กระมัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา ยกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย มองไปยังเถี่ยตั้น

เถี่ยตั้นรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อยจึงรีบก้มหน้าลง

“เจ้า…เถี่ยตั้น เจ้าสามารถควบคุมสัตว์รบพวกนั้นได้?” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ใจเต้นตึกตักรัวเร็ว เอ่ยถามหนึ่งประโยค

หลังจากมองเห็นเถี่ยตั้นพยักหน้า สมองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังอื้ออึง ลมหายใจของเขาหอบหนักน้อยๆ เบิกตากว้าง เผยความไม่คาดคิด ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนั้นที่เขากลับมาสำนักธาราเทพด้วยตัวตนของเย่จั้งก็แอบสัมผัสได้แล้วว่าดูเหมือนเถี่ยตั้นจะสามารถทำให้สัตว์รบทุกตัวฟังคำสั่งได้

เพียงแต่ว่าตอนนั้นเขาไม่สะดวกสังเกตการณ์อย่างละเอียด ทว่าตอนนี้กลับมาอยู่สำนักธาราเทพแล้ว ไม่ว่าจะไพล่นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตหรือที่ได้เห็นกับตาตัวเองในวันนี้ก็ล้วนทำให้การคาดเดาของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้เมื่อได้รับคำตอบ สมองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังอึงอล ครู่ใหญ่ถึงยอมรับความจริงข้อนี้ได้

“นี่น่ะหรือคือราชันย์แห่งสัตว์?” ป๋ายเสี่ยวฉุนริษยา แต่ก็ภาคภูมิใจโดยพลัน ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกาย เขารู้สึกว่าเมื่อมีเถี่ยตั้นอยู่ในมือ นั่นไม่เท่ากับว่าสำนักธาราเทพครึ่งหนึ่งอยู่ในกำมือของตนแล้วหรอกหรือ

คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คึกคัก เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ในที่สุดเขาก็หาความรู้สึกเหมือนเมื่อครั้งที่อยู่สำนักธาราโลหิตเจอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!