Skip to content

A Will Eternal 277

บทที่ 277 ค่ายกลเสร็จสมบูรณ์!

หลังจากความเงียบที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อยักษ์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลงกายออกมาสลายหายไป เสียงอุทานฮือฮาด้วยความแตกตื่นดังเป็นทอดๆ ไปทั่วตลอดทั้งเทือกเขาลั่วเฉิน

“นั่นคืออาจารย์อาป๋าย!!”

“สวรรค์ อาจารย์อาป๋ายเพิ่งจะมาถึงไม่ใช่หรือ? เขาถึงขนาดกระตุ้นค่ายกลได้โดยตรง…”

มีทั้งคนสะท้านสะเทือน มีทั้งคนกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็มีคนไม่ยอมแพ้ มีคนอิจฉาริษยา!

มือทั้งสองข้างของซ่างกวานเทียนโย่วกำแน่นคล้ายไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด กัดฟันกรอด ปรับลมหายใจให้มั่นคง แผ่ตบะออกไปทำความคุ้นเคยกับค่ายกลทันที

ไม่เพียงเขาเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ พวกกุ่ยหยา เป่ยหันเลี่ย สวีซง กงซุนอวิ๋นก็ทำไม่ต่างกัน แต่ละคนราวกับต้องการแข่งขันกับป๋ายเสี่ยวฉุน ภายใต้การศึกษาอย่างต่อเนื่อง หลายวันหลังจากนั้นก็ทยอยมียักษ์ก่อตัวขึ้นมาตนแล้วตนเล่า สะท้านฟ้าสะเทือนดิน

คนหลายหมื่นของกลุ่มที่สี่ก็ได้ถูกจัดวางให้กระจายออกไปรวมกับค่ายกลที่มีระดับแตกต่างกันเรียบร้อยแล้ว แปดค่ายของเขาจ้งเต้ารอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนนี้ก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เต็มที ส่วนค่ายที่เก้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเอง คนแปดคนที่ร่วมประสานกับค่ายกลนี้ก็พากันทยอยมาถึง ทั้งแปดคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะพวกเขาก็คือลูกศิษย์ที่เคยได้รับบุญคุณใหญ่หลวงจากป๋ายเสี่ยวฉุนในหุบเหวกระบี่อุกกาบาต

หลังจากรู้ว่าตัวเองถูกจัดให้อยู่กับป๋ายเสี่ยวฉุน คอยประสานงานช่วยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกระตุ้นการแปลงกายของค่ายกล ทั้งแปดคนนี้ก็ฮึกเหิมเต็มกำลัง ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ

ภายใต้การร่วมมืออย่างเอาจริงเอาจังของทุกคน ความคุ้นเคยในการควบคุมยักษ์ของค่ายกลก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น หลายวันมานี้ตลอดทั้งเทือกเขาลั่วเฉิน หลังจากได้รวมนักพรตกลุ่มที่สี่เข้าไปก็แผ่พลังอำนาจมหาศาลน่าตื่นตะลึงทันที

ยักษ์แต่ละตนก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแผดเสียงคำราม เคลื่อนไหว หรือแม้แต่ร่ายเวทคาถา ก็ล้วนทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ยักษ์ค่ายกลที่เกิดจากลูกศิษย์ฝ่ายนอกหลายร้อยคนก็สามารถแสดงศักยภาพของพลังในการรบหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบได้เช่นกัน

ส่วนการจำแลงค่ายกลของลูกศิษย์ฝ่ายในก็ยิ่งเหนือล้ำเกินรวมลมปราณ เทียบเคียงได้กับนักพรตสร้างฐานราก โดยเฉพาะค่ายกลที่มีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอย่างพวกซ่างกวานเทียนโย่วอยู่ก็ยิ่งระเบิดพลังสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบ

ส่วนค่ายกลที่หนึ่งและค่ายกลที่สองของแต่ละยอดเขาก็ล้วนมาจากการจำแลงกายที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละยอดเขา พลังอำนาจที่ระเบิดออกมาจึงเทียบเคียงได้กับขั้นรวมโอสถ!

สามเขาชายฝั่งทิศใต้ สี่เขาชายฝั่งทิศเหนือล้วนเป็นเช่นเดียวกัน

เมื่อมองไกลๆ ยักษ์เหล่านี้ตนที่เตี้ยที่สุดก็ยังสูงถึงห้าสิบกว่าจั้ง เรือนร่างกึ่งโปร่งแสงในช่วงแรกเริ่มสุด สามารถมองเห็นเงาร่างของนักพรตที่นั่งอยู่ด้านใน จนกระทั่งเริ่มพร่าเลือน เงาร่างของนักพรตเหล่านั้นจึงก็ถูกปกคลุมไปทั้งหมด

ถึงท้ายที่สุด แทบจะมองไม่เห็นเงาร่างใดๆ ที่อยู่ด้านใน เห็นเพียงยักษ์มากมายหลายตนที่คำรามก้องทรงพลังอยู่ท่ามกลางฟ้าดินของเทือกเขาลั่วเฉิน!

และค่ายกลใหญ่ทั้งเก้าอันเป็นจุดศูนย์กลางของเขาจ้งเต้าก็ยิ่งจำแลงค่ายกลได้แข็งแกร่งเหนือล้ำเกินกว่ายอดเขาอื่นๆ

ทุกครั้งที่ปรากฏตัว ได้รวบรวมเอาพลังของนักพรตสร้างฐานรากหลายคนเอาไว้ ร่างจำแลงที่ก่อเกิดขึ้นแผ่คลื่นพลังการต่อสู้ไม่ใช่แค่สูสีกับรวมโอสถ แต่สามารถประจัญบานกับพลังที่แข็งแกร่งของรวมโอสถได้!

ค่ายกลที่เก้าของป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอก่อตัวขึ้นสมบูรณ์ เงาร่างของยักษ์ที่ปรากฏขึ้นก็ยิ่งแผ่ปราณวิถีฟ้าออกมาเป็นระลอก ทั้งยังมีสายฟ้าคำรามครั่นครืน กลายร่างเป็นสายฟ้าโค้งงอแลบแปลบปลาบไปรอบทิศ

และบางครั้งหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจำแลงค่ายกลออกมาได้แล้ว เขายังบินทะยานไปกลางท้องฟ้า ในร่างของยักษ์ที่สูงสองร้อยกว่าจั้งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในตำแหน่งจุดตันเถียน ส่วนคนอื่นอีกแปดคนแยกกันอยู่รอบกายเขา ทั้งเป็นหนึ่งเดียวกัน และแยกจากกัน

หนึ่งหมัดต่อยตูมออกไป เสียงกัมปนาทคลอนฟ้า เมื่อทำมุทรา กระถางใหญ่ปราณม่วงที่แปลงออกมาจากการรวบรวมพลังตบะของเขาและคนทั้งแปดก็ยิ่งสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ความแข็งแกร่งของพลังการรบสามารถต่อกรกับพลังที่แข็งแกร่งของรวมโอสถได้อย่างแท้จริง

ความรู้สึกเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยมีมาก่อน เขาเงยหน้าคำรามยาว สั่นคลอนไปแปดทิศ

จนกระทั่งผ่านไปอีกสามวัน

ช่วงเที่ยงของวันนี้ ทันใดนั้น นภากาศพลันกลิ้งซัดสาด ลำแสงที่ใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่าตอนที่นักพรตกลุ่มที่สี่มาเยือนพลันปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าแล้วเยื้องกรายลงมาโดยตรง

ผืนดินโยกไหว ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างพากันเงยหน้ามองท้องฟ้า

ไม่นาน ทุกคนซึ่งรวมป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยก็เห็นทันทีว่าลำแสงจัดจ้าบาดตานั่นพลันหดตัวเข้าหากัน แล้วกลายมาเป็น…ดวงอาทิตย์สีขาว…ที่ใหญ่โอฬารอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!!

ดวงอาทิตย์สีขาวนี้เพิ่งปรากฏ ความว่างเปล่ารอบด้านก็บิดเบือนทันที เกิดรอยปริแตกมากมายหลายเส้น คล้ายมิอาจทนรับได้

ในดวงอาทิตย์มีอีกาสีดำตัวหนึ่ง อีกาตัวนี้ดุจดั่งเป็นจุดศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ แม้ว่าจะหลับตา แต่ความรู้สึกที่มอบให้กับทุกคน กลับแข็งแกร่งจนมิอาจหาคำใดมาบรรยายได้!!

เบื้องใต้อีกาตัวนี้ค่อยๆ ปรากฏโครงร่างของ…ภูเขาหนึ่งลูก!

และนี่ก็คือภูเขาลูกที่เก้าของ…สำนักธาราเทพ!

พลานุภาพสยบเยื้องกรายมาเยือน ทำเอาเทือกเขาลั่วเฉินสั่นสะเทือน

เงาร่างของลำดับผู้สืบทอดมากมายพลันบินออกมา ทั้งยังมีผู้อาวุโสไท่ซ่างจำนวนไม่น้อยที่กระจายตัวออกไปอยู่รอบด้าน ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มองดูเหมือนไม่สูง แต่กลับทำให้คนมองรู้สึกสูงใหญ่ไร้ที่สุด เดินออกมาช้าๆ

นั่นก็คือ…บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพ!

“คารวะบุรพาจารย์!”

“คารวะบุรพาจารย์!!”

น้ำเสียงจากคนจำนวนนับไม่ถ้วนดังกึกก้องขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน ทั้งในและนอกเทือกเขาลั่วเฉิน นักพรตทุกคนของสำนักธาราเทพล้วนประสานมือคารวะ

ความดังของน้ำเสียง ดังสะเทือนไปยันแก้วหู เหนือล้ำเกินเสียงฟ้าผ่า

และยังมีเงาร่างอีกสี่ร่างที่เดินออกมาจากเทือกเขาลั่วเฉิน ยืนอยู่กลางอากาศ ซึ่งก็คือบุรพาจารย์สี่ท่านของสำนักธาราเทพที่มาถึงพร้อมกับคนสี่กลุ่มก่อนหน้านั้น

“สำนักธาราโลหิต…เคลื่อนพลออกมาเต็มกำลังแล้ว ไม่นานก็คงจะมาถึง!” สายตาของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งกวาดมองมายังพื้นดิน เอ่ยปากเนิบช้า น้ำเสียงดังเข้าไปในหูของนักพรตทุกคนที่อยู่ทั่วทุกมุมในเทือกเขาลั่วเฉิน

ทุกคน หรือแม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอง พอได้ยินประโยคนี้ต่างก็ใจหายวาบ

“สงคราม ย่อมมีคนตาย ต่อให้เป็นข้าผู้อาวุโสเองก็มีความเป็นไปได้ที่จะสิ้นชีพ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทุกคนที่ตายไปในสงครามครั้งนี้ล้วนเป็นวิญญาณวีรชนผู้กล้าที่สำนักธาราเทพไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดกาล!”

“ศึกครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับการเป็นอยู่ของสำนักธาราเทพ!”

“ศึกครั้งนี้ เป็นตัวตัดสินสันติสุขของสำนักธาราเทพในอีกพันปีข้างหน้า!”

“ศึกครั้งนี้ ต้องให้ตลอดทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรรู้ว่า สำนักธาราเทพของเรา…ต่อให้ต้องยืนสู้จนตัวตาย ก็ไม่มีทางยอมใช้ชีวิตอยู่ด้วยความอัปยศเด็ดขาด!!”

“วางค่ายกลสุดท้าย!”

“ให้สำนักธาราโลหิตที่กำลังจะมาเยือนได้เห็นพลังอำนาจและเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของสำนักธาราเทพเรา!!” เสียงของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งดังสะท้อน บัดนี้ทุกคนที่ได้ยินล้วนเลือดเดือดพล่าน คำรามเสียงแหบแห้งสะเทือนฟ้าดิน

“รบ!!”

การวางค่ายกลทั้งหมดตลอดทั้งเทือกเขาลั่วเฉิน บัดนี้หลังจากคำพูดของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งดังออกไป ฉากสุดท้ายของสนามรบแห่งนี้ถูกเปิดขึ้น ระเบิดพลังออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ

ตูมๆๆๆ!

บนท้องฟ้า ภูเขาลูกที่เก้าตั้งตระหง่าน ประหนึ่งดั่งค้ำยันนภากาศ มีภูเขาลูกนี้เป็นจุดศูนย์กลาง เวลานี้รอบด้านของมันมีอักขระขนาดยักษ์เก้าตัววนรอบ อักขระทั้งเก้าตัวนี้แตกต่างกันออกไป แต่ละตัวล้วนใหญ่พันจั้ง เมื่อวนไปรอบด้านก็ได้ดึงดูดเอาสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามา สายฟ้าเหล่านี้แลบตัดสลับกัน สาดสะท้อนแสงวูบแวบไปยังนภากาศ และแปลงออกมาเป็นอักขระขนาดเท่ากำปั้นจำนวนมากยิ่งกว่าเดิม ผลุบๆ โผล่ๆ ทั้งยังกระจายไปทั่วด้านราวกับคลื่นน้ำ เข้ามาแทนที่ฟากฟ้าของเขาลั่วเฉิน

อีกทั้งท่ามกลางอักขระและสายฟ้าเหล่านี้ยังมีเงาร่างเกือบร้อยร่างที่แผ่ปราณน่าตะลึงออกมาทั่วร่าง แต่ละคนเส้นผมขาวโพลน ซึ่งพวกเขาก็คือผู้อาวุโสไท่ซ่างของสำนักธาราเทพ!

ผู้อาวุโสไท่ซ่างเหล่านี้แผ่คลื่นตบะทั้งหมดที่มีออกมา สีหน้าเคร่งขรึม บุคลิกลักษณะราวกับเทพเซียน ทำให้สีสันของฟ้าดินเจือจาง ทั้งลมและเมฆซัดตลบ

และที่ยิ่งน่าจับตามองมากกว่าพวกเขาก็คือตำแหน่งที่เมื่อหมื่นปีก่อนจนถึงทุกวันนี้ ในสำนักธาราเทพหลงเหลืออยู่เพียงสิบเจ็ดคนอย่าง…ลำดับผู้สืบทอด และหลี่ชิงโหวก็เป็นหนึ่งในนั้น

ทั้งสิบเจ็ดคนนี้ เวลานี้กำลังยืนอยู่กลางท้องฟ้า บนร่างของแต่ละคนล้วนมีแสงดาราสาดส่องจัดจ้า เมื่อมองไกลๆ ก็ราวกับมองดวงดาวเจ็ดดวงที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

เหนือดวงดาวทั้งสิบเจ็ดดวงนี้ ก็คือบุรพาจารย์ทั้งห้าท่านของสำนักธาราเทพ…ที่อยู่บนภูเขาลูกที่เก้า รูปร่างของพวกเขาสูงใหญ่เกินจะเปรียบ เหนือล้ำไท่ซ่าง ข่มทับดวงดารา เขย่านภากาศโยกคลอนปฐพี ประหนึ่งเทพเจ้าแห่งฟ้าดิน

ในบรรดาคนเหล่านั้น ราศีของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งยิ่งเด่นชัดสะดุดดตา ฝีมือเลิศล้ำราวกับมีสามเศียรหกกร สูงส่งเทียมฟากฟ้า เสมือนว่าเขาแค่คนเดียวก็เทียบเคียงได้กับความโชติช่วงชัชวาลทั้งหมดของบุรพาจารย์สี่คนที่เหลือ

บนพื้นดิน เวลานี้ค่ายกลเปิดออกอย่างสมบูรณ์แบบ ม่านแสงค่ายกลของเทือกเขาลั่วเฉินก่อรูปขึ้นเป็นสายฟ้าจำนวนเหลือคณานับ สายฟ้าเหล่านี้แลบปลาบไต่สูงขึ้นตามม่านแสง ไม่นานก็แผ่กระจายไปสี่ทิศ เมื่อมองไกลๆ จึงเห็นได้ว่ามันรวมตัวกันขึ้นเป็นกำแพงสายฟ้า!

บนกำแพงสายฟ้ามีใบหน้าขนาดหลายร้อยจั้งเก้าใบหน้าซึ่งกำลังหลับตาปูดนูนขึ้นมา ใบหน้าทั้งเก้านี้เต็มไปด้วยพลานุภาพน่าครั่นคร้าม เมื่อมองอย่างละเอียด…ใบหน้าหนึ่งในเก้านั้น ก็คือใบหน้าของ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!!

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงักน้อยๆ ชั่วขณะที่ค่ายกลของเทือกเขาลั่วเฉินแห่งนี้เปิดออกอย่างเต็มที่ เขาก็สัมผัสได้แล้วว่าค่ายกลที่เก้าของตนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเทือกเขาลั่วเฉิน

เวลานี้มองเห็นใบหน้าของตัวเอง แม้เขาจะสะเทื้อนสะท้าน แต่กลับไม่ได้ตื่นตะลึงมากนัก

เบื้องใต้ม่านแสง บนเทือกเขาลั่วเฉิน รถศึกทุกคันถูกจัดวางเตรียมพร้อมเป็นแถวยาว มากพอหลายร้อยคัน เข็มสีนิลบนรถศึกเหล่านั้นเวลานี้กำลังสั่งสมพลังน่าหวาดกลัวบางอย่าง คล้ายสามารถระเบิดออกได้ตลอดเวลา

ยังมีหุ่นเชิดหินยักษ์อีกหลายตนที่ยืนอยู่บนเทือกเขาลั่วเฉิน ตั้งท่าเตรียมพร้อม ขอแค่คำสั่งดังขึ้น มันก็พร้อมกระโดดลงจากเขาพุ่งเข้าประหัตประหารในสนามรบทันที

รวมไปถึงสัตว์รบจำนวนมากมายก่ายกอง มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ที่กำลังคำรามดังสะท้อนไปสี่ทิศ เบียดเสียดแน่นขนัดปกคลุมฟ้าดิน สัตว์พิทักษ์ภูเขาทั้งสี่ก็อยู่ในนั้น กลายมาเป็นผู้นำของผองสัตว์

โดยเฉพาะโล่ขนาดมหึมาที่เวลานี้ได้ถูกจัดเรียงเรียบร้อยนานแล้ว โดยให้การพิทักษ์ปกปักษ์ลูกศิษย์สำนักธาราเทพทุกคนที่อยู่ในค่ายอย่างแน่นหนา

ส่วนลูกศิษย์สำนักธาราเทพที่อยู่ในค่ายกลเหล่านั้น เวลานี้ต่างก็จมจ่อมอยู่กับการโคจรค่ายกล เสียงกึกก้องดังต่อเนื่องออกมาจากทั้งเจ็ดทิศทาง เงาร่างของยักษ์ทยอยกันปรากฏตัวอยู่ระหว่างฟ้าดิน

ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของยอดเขาทั้งเจ็ดต่างก็สร้างค่ายกลหลายสิบค่าย เวลานี้ปรากฏตัวพร้อมกัน เงาร่างที่เกิดจากการสร้างของลูกศิษย์ฝ่ายนอกหลายร้อยคนมีทั้งคนยักษ์ มีทั้งสัตว์ยักษ์ เสียงคำรามแผดร้องก่อให้เกิดคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน

และค่ายกลของลูกศิษย์ฝ่ายในก็ร่ายออกมาอย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน แม้ว่าจำนวนจะไม่มากเท่าค่ายกลของฝ่ายนอก ทว่าระดับความแข็งแกร่งกลับเหนือล้ำยิ่งกว่า โดยเฉพาะค่ายของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่พอปรากฏตัว คลื่นเคลื่อนไหวก็ยิ่งดุเดือดรุนแรง

จากความต่างของชายฝั่งเหนือใต้ มีทั้งคนร่างยักษ์ มีทั้งสัตว์ร่างยักษ์

และยังมีค่ายกลใหญ่ทั้งเก้าอันเป็นจุดศูนย์กลางที่เวลานี้ระเบิดคลื่นบ้าคลั่งออกมาเช่นกัน การจำแลงค่ายกลที่เกิดจากนักพรตทุกคนในค่ายทั้งเก้า บัดนี้พุ่งทะลุสู่ท้องฟ้า กลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังอำนาจแห่งสำนักธาราเทพบนเทือกเขาลั่วเฉินแห่งนี้

อีกทั้งนักพรตสร้างฐานรากหลายร้อยคนที่กระจายกันอยู่รอบด้าน หากเปิดศึกกันเมื่อใด ก็จะมีทั้งคนที่ตรงเข้าสังหาร และมีทั้งคนที่ช่วยซ่อมแซมค่ายกลที่เสียหายตามคำสั่งที่ได้รับ

หากมีเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า หลังจากค่ายกลทั้งหมดที่จัดวางบนเทือกเขาลั่วเฉินแห่งนี้เผยตัวอย่างสมบูรณ์แบบ บนเทือกเขาลั่วเฉิน เบื้องใต้ภูเขาลูกที่เก้า กลางอากาศ เวลานี้พลันปรากฏแสงสว่างสองเส้นที่จัดจ้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สาดแสงบาดตาไร้คำพรรณนา!

ในแสงสว่างสองเส้นนี้ ต่างก็มีอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งดำรงอยู่!

ที่ปรากฏในลำแสงเส้นที่หนึ่งคือกระถางโบราณสีม่วงใบหนึ่งที่เก่าแก่จนมิอาจประเมินกาลเวลา!! เมื่อกระถางใบนี้เผยกาย ความกดดันระลอกหนึ่งเขย่าคลอนไปทั่วฟ้าดิน

ที่ปรากฏในลำแสงเส้นที่สอง…คือกระบี่หนึ่งเล่ม กระบี่ที่มีแสงสีเงินยวงจากการหลอมพลังจิตสิบครั้งเปล่งวาบ…กระบี่เขาสวรรค์!

ลายเส้นสีเงินทั้งสิบบนตัวกระบี่น่าสะพรึงกลัว ทำให้ทุกคนที่มองเห็นเส้นสีเงินเหล่านี้เกิดเสียงดังอึงอลขึ้นในจิตใจ สามารถจินตนาการได้ว่า หากกระบี่นี้ตวัดฟันลงไป ย่อมผ่าฟ้าทลายดินได้อย่างแน่นอน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!