Skip to content

A Will Eternal 279

บทที่ 279 ก็สิทธิ์ที่ข้าเป็นบุตรโลหิตเขาจงเฟิงอย่างไรล่ะ!

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ของสำนักธาราโลหิต เขามองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย ซ่งเชวีย ซ่งจวินหว่าน สวีเสี่ยวซาน เจี่ยเลี่ย เสินซ่วนจื่อ บุตรโลหิตทั้งสาม ฯลฯ…และยังมีบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง รวมไปถึงอู๋จี๋จื่อเจินเหรินที่อยู่ในเมฆโลหิตนั่นอีก

ไม่มีเพียงคนเดียว คือเซวี่ยเหมย

ทว่าตอนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สามารถครุ่นคิดเรื่องของเซวี่ยเหมยได้ เขามองสำนักธาราโลหิตที่กำลังคำรามเข้ามาใกล้ด้วยความร้อนรน มหาสมุทรโลหิตนั้นเข้ามาใกล้เทือกเขาลั่วเฉินไม่ถึงห้าพันจั้งแล้ว

เขายังถึงขั้นมองเห็นสีหน้าของคนแทบทุกคนของสำนักธาราโลหิตนอกรัศมีห้าพันจั้งด้วย มองเห็นปราณดุร้ายที่คนเหล่านี้แผ่ออกมา มองเห็นว่าแม้แต่ซ่งจวินหว่านเอง บัดนี้ก็มีไอสังหารตลบอบอวล และยังมีพวกบุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่อยู่บนเมฆสีเลือดซึ่งมีดวงตาประหนึ่งสายฟ้า แฝงไว้ด้วยความหมายมาดในการช่วงชิงความเป็นความตาย

และเวลานี้ ทางฝ่ายสำนักธาราเทพที่ม่านแสงค่ายกลระเบิดออก เสียงคำรามทุ้มต่ำมากมายดังออกมาจากปากของยักษ์ค่ายกลเหล่านั้นที่อยู่บนเทือกเขา รถศึกหลายร้อยคัน บัดนี้ส่องประกายแสงจ้าบาดตา ราวกับกำลังจะปะทุพลุ่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนยังเห็นด้วยว่าจางต้าพั่งที่อยู่ในร่างยักษ์ตนหนึ่ง แม้จะเลือนรางมองเห็นได้ไม่ชัด แต่ด้วยความเข้าใจที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อจางต้าพั่งก็พอจะมองออกถึงสีหน้าบูดเบี้ยวของเขาในเวลานี้

เวลาเดียวกันนั้น กลางอากาศของสำนักธาราเทพ สายฟ้าส่งเสียงเปรี้ยงปร้าง ระเบิดออกอย่างต่อเนื่อง อักขระเหล่านั้นเปล่งแสงระยิบระยับ ลำดับผู้สืบทอดที่กลายร่างเป็นดวงดาว เวลานี้จิตสังหารก็ลุกโหม และยังมีผู้อาวุโสไท่ซ่างเหล่านั้นที่แต่ละคนล้วนเตรียมวิชาอภินิหารมารออยู่กลางฝ่ามือ

ยิ่งไปกว่านั้นคือบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งที่อยู่กลางอากาศซึ่งกำลังยกมือขวาขึ้นช้าๆ ราวกับว่าแค่เขาสะบัดมือ สงคราม…ก็จะปะทุขึ้นทันที!

ทุกคนของสำนักธาราโลหิตที่อยู่นอกเทือกเขาลั่วเฉิน ตอนนี้ต่างก็อยู่ในภาวะเตรียมพร้อมสูงสุดไม่ต่างกัน กลางเมฆโลหิต ปฐมาจารย์ของสำนักธาราโลหิต ผู้เฒ่าที่แปลงร่างเป็นยักษ์คนนั้น เวลานี้ดวงตาโชนแสงอำมหิต กำลังจะเอ่ยปากออกคำสั่ง!

ทั้งสองฝ่ายเข้ามาใกล้กันทุกขณะ ห้าพันจั้ง สามพันจั้ง…สองพันจั้ง…หนึ่งพันจั้ง!

หากปะทะกันเมื่อไหร่ทุกอย่างก็จะระเบิดทันที!

และขณะที่มือขวาของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพกำลังจะตวัดลง ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตกำลังจะเปล่งคำพูดออกมานั้นเอง…บนเทือกเขาลั่วเฉิน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในตำแหน่งจุดตันเถียนของยักษ์ซึ่งแปลงมาจากค่ายกลที่เก้า บัดนี้ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ความร้อนรนและสับสนในใจระเบิดตูมออกมา

เขาไม่ต้องการเห็นทั้งสองสำนักเปิดศึกต่อกัน ไม่ต้องการให้มีคนตาย เป้าหมายของเขาตั้งแต่เล็กจนโตก็คือความเป็นอมตะ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่จะได้มีชีวิต เขาหวังให้ทุกคนที่เขารู้จักล้วนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

ท่ามกลางความคับขัน ท่ามกลางความบ้าคลั่ง ท่ามกลางความกระวนกระวาย ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมาหนึ่งเสียง เวลานี้เขายอมทุ่มสุดชีวิตที่มี วินาทีที่สองฝ่ายกำลังจะเปิดศึกกันนั้นเอง…เขาที่อยู่ในร่างของยักษ์ค่ายกลที่เก้า จึงบินถลาออกไปด้านนอกเพียงลำพัง!

การบินออกมาของเขาอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของทุกคน ไม่มีใครจินตนาการได้ว่าภาพนี้จะเกิดขึ้น ตอนนี้ความสนใจของทุกคนล้วนอยู่ที่สงครามซึ่งกำลังจะปะทุขึ้นทุกขณะ ทว่ากลับคิดไม่ถึงเลยว่า ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่แปลงกายเป็นรุ้งเส้นยาวจะบินพรวดออกไปจากร่างยักษ์ค่ายกลที่เก้า ปีกเบื้องหลังของเขาพัดกระพือเพิ่มความเร็ว เสียงตูมดังหนึ่งครั้งก็พุ่งออกไปนอกเทือกเขาลั่วเฉินทันที!!

ม่านแสงของเทือกเขาลั่วเฉินแค่ต่อต้านสำนักธาราโลหิตเท่านั้น ไร้ซึ่งประสิทธิผลใดๆ ต่อลูกศิษย์ของสำนักตัวเอง!

รอจนทุกคนมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็บุกออกไปนอกเทือกเขาลั่วเฉิน มาปรากฏกายอยู่กลางอากาศนอกเทือกเขาลั่วเฉินแล้ว

ภาพนี้ทำให้ทุกคนของสำนักธาราเทพอึ้งค้างกันไปเป็นแถวๆ พากันส่งเสียงฮือฮา

จางต้าพั่งเบิกตากว้าง หลังจากมองเห็นได้ชัดแล้วว่าคนที่บินออกไปคือป๋ายเสี่ยวฉุน สมองของเขาก็ดังอึงอล เขาไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอะไรไป เวลานี้จึงได้แต่ร้องอุทานเสียงหลง

“เสี่ยวฉุน เจ้าทำอะไร รีบกลับมานะ!!!”

โหวเสี่ยวเม่ยอยู่ในร่างของยักษ์ตนหนึ่ง พอมองเห็นภาพนี้เข้านางก็สั่นไปทั้งร่าง เปล่งเสียงร้อนรน น้ำเสียงแหลมดังเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจและตึงเครียดอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้

“พี่เสี่ยวฉุน ท่าน…”

เฮยซานพั่ง สวีเป่าไฉ เวลานี้ต่างก็สำลักลมหายใจ เบิกตาถลน ในสมองราวกับมีสายฟ้าฟาดผ่า โจวซินฉีที่เป็นผู้บัญชาการหลักอยู่ในร่างยักษ์ตนหนึ่งพอมองเห็นภาพนี้ ต่อให้เป็นนางก็ยังมิอาจเชื่อสายตาตัวเอง ร้องอุทานเสียงหลง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน…”

หลี่ชิงโหวที่อยู่บนท้องฟ้า เป็นหนึ่งในลำดับผู้สืบทอด ตำแหน่งของเขาสูงส่งดุจดั่งดวงดารา ทว่าวินาทีนี้พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนบินออกไป ตลอดร่างของหลี่ชิงโหวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ใกล้จะเป็นบ้าเต็มที

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าจะทำอะไร!!”

ไม่เพียงเขาเท่านั้นที่ใกล้จะคลุ้มคลั่ง แม้แต่เจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงเองก็เปล่งเสียงคำรามเดือดดาลไม่ต่างกัน ขณะเดียวกันบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งซึ่งก็อยู่บนฟากฟ้าก็ยิ่งสำลักลมหายใจ มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่นอกเทือกเขาลั่วเฉิน ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังเกิดความงุนงงไปครู่หนึ่ง

พวกกุ่ยหยา เป่ยหันเลี่ย สวีซงก็มองเซ่อเช่นกัน ซ่างกวานเทียนโย่วตัวสั่นเยือก ทั้งยังมีความปิติยินดีก่อเกิดขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดในสมองก็คือคราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนตายแน่อย่างมิต้องสงสัย!

ทั้งหมดนี้พูดแล้วยาว ทว่าในความเป็นจริง นับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบินออกมา จนกระทั่งทุกคนแตกตื่น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาชั่วพริบตาเท่านั้น ขณะที่คนไม่น้อยของสำนักธาราเทพอึ้งตะลึง หลี่ชิงโหวและบุรพาจารย์หลายคนคิดจะบินออกไปพาตัวป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมานั้นเอง

นอกเทือกเขาลั่วเฉิน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองขั้วอำนาจของสองสำนัก พลันตะโกนเสียงดัง

“พวกเจ้าอย่าเปิดศึกกัน ฟังข้าพูด!!”

คำพูดของเขาดังสะท้อนอยู่บนสมรภูมิรบ แต่กลับไม่มีใครคิดจะฟัง กองทัพใหญ่ของสำนักธาราโลหิตก็อึ้งตะลึงไปกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน แต่ไม่นานก็มีคนจำป๋ายเสี่ยวฉุนได้

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ซ่งเชวียเป็นคนแรกที่จำได้ ดวงตาเขาพลันฉายแววสังหารอย่างบ้าคลั่ง เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ถลาร่างพรวดออกมา ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย ข้าผู้แซ่ซ่งก็จะช่วยให้เจ้าสมหวัง!!”

ไม่เพียงซ่งเชวียเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ บัดนี้ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตอีกหลายคนที่พอจำป๋ายเสี่ยวฉุนได้ก็ทั้งตะลึงระคนดีใจขึ้นมาทันควัน หัวเราะเสียงดังลั่นครื้นเครง เงาร่างมากมายพุ่งถลาออกมาในพริบตา

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่โง่หรือไร ถึงได้กล้าบินออกมาคนเดียว!”

“ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้เป็นแผนลวงก็ต้องฆ่าเขาให้ได้!”

“ฮ่าๆ ในเมื่อเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้กล้าออกมาก็อย่าหวังว่าจะได้กลับเข้าไปอีก!” ในสำนักธาราโลหิต เงาร่างมากมายห้อตะบึงออกมาด้วยความรวดเร็ว อีกทั้งนอกม่านสีดำนั้น ดวงตาของบุตรโลหิตทั้งสามเผยความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ได้ปรึกษากันมาก่อนแล้วว่าจะสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนในสนามรบอย่างไร แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายสำคัญสำหรับสำนักธาราเทพมาก เกรงว่าคงยากที่จะเล่นงานได้

ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับโง่บินออกมาเอง แถมยังพูดจาไร้เดียงสาว่าไม่ต้องเปิดศึกกันอะไรนั่นอีก บุตรโลหิตทั้งสามคนจึงหัวเราะครืนใหญ่ทันควัน ร่างพุ่งถลันออกมารวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ

แม้แต่ซ่งจวินหว่านก็ยังใจสั่น บัดนี้จึงก้าวเท้าบินออกมา พวกเสินซ่วนจื่อ เจี่ยเลี่ย หลังจากที่หายตะลึงก็พุ่งพรวดออกมาเต็มกำลังเช่นกัน

“สังหารป๋ายเสี่ยวฉุน!!”

เดิมทีทั้งสองฝ่ายก็ห่างกันไม่ไกลอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อทุกคนของสำนักธาราโลหิตพากันบินออกมา พริบตาเดียวจึงเกือบจะเข้ามาใกล้ เวลาเดียวกันนั้น บนก้อนเมฆโลหิตของสำนักธาราโลหิต บุรพาจารย์ตระกูลซ่งก็ยกยิ้มเช่นกัน

“น่าสนใจ” บุรพาจารย์ตระกูลซ่งเดินออกมาหนึ่งก้าวพร้อมเสียงหัวเราะ คิดจะสังหารป๋ายเสี่ยวฉุน แต่วินาทีที่เขาเดินออกมานั้นเอง บุรพาจารย์เถี่ยมู่ของสำนักธาราเทพที่มีสีหน้าเย็นเยียบมืดทะมึนก็เคลื่อนไหว มาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศขัดขวางบุรพาจารย์ตระกูลซ่งเอาไว้ได้ก็ลงมือทันที

เมื่อเสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว อู๋จี๋จื่อจึงบินออกมา หลี่จื่อโม่แห่งสำนักธาราเทพแค่นเสียงเย็น ปรากฏกายเช่นกัน

บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพสีหน้ามืดคล้ำ ข่มกลั้นโทสะ สะบัดร่างบินออกมาคิดจะคว้าเอาตัวป๋ายเสี่ยวฉุนกลับ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้เข้าใกล้กลับถูกคนขัดขวางซะก่อน นอกเทือกเขาลั่วเฉิน ผู้ที่ตรงเข้ามาขัดขวางเขาก็คือปฐมาจารย์ของสำนักธาราโลหิต!

ระหว่างคนทั้งสองไม่พูดคำใดให้มากความ รีบลงมือทันใด เสียงตูมตามดังกึกก้อง บนเทือกเขาลั่วเฉิน ยักษ์มากมายหลายตนพุ่งถลาออกมา ซึ่งก็คือพวกโหวอวิ๋นเฟย รวมไปถึงหลี่ชิงโหวที่คิดจะออกมาช่วยป๋ายเสี่ยวฉุน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน กลับมา!!”

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าคำพูดของเขาไม่มีใครคิดจะฟังแม้แต่คนเดียว อีกทั้งสงครามก็เริ่มปะทุจากบุรพาจารย์ และบัดนี้นักพรตจำนวนมากในสำนักธาราโลหิตก็บินเข้ามาใกล้มากแล้วด้วย

เขายืนอยู่บนสนามรบ มองทุกอย่างนี้ มองคนมากมายของทั้งสองฝ่ายที่คิดจะปะทะกันอย่างจริงจัง รวมไปถึงนักพรตเหล่านั้นของสำนักธาราโลหิตที่คิดจะสังหารตน ถึงกระทั่งที่ว่าห่างออกไปไม่ถึงร้อยจั้ง เจี่ยเลี่ยไม่รู้ว่าใช้วิธีใด ความเร็วถึงได้เพิ่มขึ้นพรวดพราด แม้จะไม่ถือว่าเข้ามาใกล้ที่สุด แต่ก็อยู่ในลำดับต้นๆ ซึ่งบัดนี้กำลังระเบิดไอสังหารเหี้ยมเกรียม

“พวกเจ้าถอยกันไปให้หมด!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนรน นัยน์ตาฉายความบ้าคลั่ง ความรู้สึกยอมสู้ตายสุดชีวิตยิ่งรุนแรง หันไปตวาดเดือดดาลใส่ทุกคนของสำนักธาราโลหิตที่เข้ามาใกล้

เสียงตวาดของเขาทำให้ทุกคนของสำนักธาราโลหิตหัวเราะก๊ากทันที

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เสียแรงที่ก่อนหน้านี้ไอ้ข้าก็นึกว่าเจ้าเป็นสุดยอดศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ที่แท้เจ้ามันก็คนบ้าดีๆ นี่เอง!”

“ฮ่าๆ เจ้าบอกให้พวกเราถอย? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน แม้ว่าเจ้าจะคือสร้างฐานรากวิถีฟ้าของสำนักธาราเทพ แต่บนสนามรบแห่งนี้ อีกไม่นานเจ้าก็จะกลายเป็นศพแล้ว!”

บุตรโลหิตทั้งสามก็อยู่ในบรรดาคนเหล่านี้ด้วย พอได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ปัญญาอ่อนหรืออย่างไร…

“ตลกนัก กะอีแค่คนต่ำต้อยแห่งสำนักธาราเทพ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งพวกเรา?” เจี่ยเลี่ยแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความเหยียดหยาม ความเร็วยิ่งมากกว่าเดิม เขาไม่หวังว่าจะฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนได้ แต่คิดว่าหากตนลงมือเป็นคนแรก วันหลังหากเอาไปเล่าให้ใครฟังก็มากพอที่จะโอ้อวดได้ด้วยความภาคภูมิใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้ามืดทะมึน จ้องเขม็งไปยังทุกคนของสำนักธาราโลหิตที่เข้ามาใกล้ มือขวายกขึ้นตบลงไปบนถุงเก็บของ หยิบเอาหน้ากากของเย่จั้งขึ้นมาแล้วสวมลงไปบนหน้าทันที จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เอ่ยปากราบเรียบ

“ก็สิทธิ์ที่ข้าเป็นบุตรโลหิตเขาจงเฟิงอย่างไรล่ะ!”

ประโยคเดียวนี้กลายมาเป็นปราณดุดันสะท้านฟ้า ความเหี้ยมหาญ ความบ้าคลั่ง ความเป็นมารที่อยู่บนร่างของเขา พลันระเบิดออกตูมตามเขย่าคลอนโลกทั้งใบ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!