บทที่ 280 บุรพาจารย์ อย่ารบกันอีกเลย!
“ก็สิทธิ์ที่ข้าเป็นบุตรโลหิตเขาจงเฟิงอย่างไรล่ะ!”
วินาทีที่สองสำนักใหญ่ใกล้จะเปิดศึกกัน หรือถึงขั้นตะลุมบอนกันไปบางส่วนแล้วนั้นเอง เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันดังไปสี่ทิศ แม้ว่าน้ำเสียงจะไม่ได้ดังกังวานมากเป็นพิเศษ แต่บวกกับน้ำเสียงทะมึนทึบของป๋ายเสี่ยวฉุน และปราณเลือดในร่างที่ซัดตลบอบอวลออกมาด้านนอกนั้น ทำให้คำพูดของเขามีพลังอย่างที่ยากจะอธิบายได้!
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นเคร่งขรึม แต่วินาทีที่สวมหน้ากากของเย่จั้งลงบนใบหน้า ลักษณะท่าทางนั้นกลับเกิดขึ้นมาเองอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเขาได้กลับไปอยู่ในสำนักธาราโลหิต ความเย็นชาน่าครั่นคร้าม ปราณดุร้ายน่าสะพรึงกลัวนั่น ทำให้ตลอดทั้งโลกคล้ายจะเงียบสงัดลง
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ความหมายแฝงในคำพูดนี้อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของคนทุกคน ทำให้คนของทั้งสองสำนักที่กำลังจะประมือกันขวัญสะท้าน สมองสั่นคลอน ราวกับมีคลื่นลูกใหญ่โหมกระหน่ำ กระแทกครั่นครืนกวาดทำลายไปตลอดทั้งฟ้าดินของพวกเขา
เมื่อมองไกลๆ สำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิต หากจะเปรียบเป็นไอหมอกกลุ่มใหญ่สองกลุ่ม ถ้าเช่นนั้นสำนักธาราเทพก็คือไอหมอกสีขาว ส่วนสำนักธาราโลหิตก็คือไอหมอกสีเลือด ต่างฝ่ายต่างมีส่วนหนึ่งที่คืบคลานพัวพันเข้าด้วยกัน ทว่าตอนนี้…ไอหมอกทั้งสองกลุ่มนี้ล้วนหยุดชะงัก สายตาของทุกคน บัดนี้พร้อมใจกันหันไปมองยังร่างของ…ผู้ที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองสำนักใหญ่ สำนักธาราเทพต้องการปกป้อง สำนักธาราโลหิตต้องการดับสังหาร อย่าง…ป๋ายเสี่ยวฉุน!
โดยเฉพาะเจี่ยเลี่ยซึ่งอยู่ใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนมากที่สุดที่ยิ่งเบิกตากว้าง ในสมองของเขาราวกับมีสายฟ้าฟาดผ่า ร่างพลันสั่นเทิ้ม แม้แต่หายใจก็คล้ายจะทำไม่ได้ งุนงงอย่างสมบูรณ์แบบ สมองดังตูมตาม ในใจมีแต่คำพูดเมื่อครู่ของป๋ายเสี่ยวฉุน รวมไปถึง…สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้ ผู้ที่สวมหน้ากาก…บุตรโลหิตเขาจงเฟิง เย่จั้ง!
“เจ้า…เย่จั้ง…” เจี่ยเลี่ยสั่นไปทั้งร่าง หลังจากผ่านการประลองบุตรโลหิต ความหวาดกลัวที่เขามีต่อเย่จั้งก็ได้ไต่ไปถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ เวลานี้เขาจึงตะลึงลานอย่างสิ้นเชิง
ปราณเลือดและไอดุร้ายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ออกมาจากร่าง ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องตรวจสอบก็สัมผัสได้ทันทีว่าอีกฝ่าย…ก็คือบุตรโลหิตเขาจงเฟิง เย่จั้ง…ตัวจริงเสียงจริง!
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่ตะลึงพรึงเพริดร้องเสียงหลง เสินซ่วนจื่อที่อยู่ข้างกายเขาซึ่งเดิมทีใบหน้าเต็มไปด้วยความฮึกเหิมห้าวหาญ ต้องการสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง มาบัดนี้พอมองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสวมหน้ากากแล้วกลายร่างเป็นเย่จั้งผู้ซึ่งเป็นดั่งฝันร้ายที่ดำรงอยู่จริงในใจเขาแล้ว เสินซ่วนจื่อก็กรีดร้องเสียงแหลม
“เย่…เย่จั้ง…เป็นไปไม่ได้!!”
ไม่เพียงแต่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตทุกคนที่พุ่งมาจากทิศทางของสำนักธาราโลหิต ซึ่งก่อนหน้านั้นใบหน้าแสยะยิ้มชั่วร้ายแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร ตอนนี้ทุกคนสำลักลมหายใจ ทุกคนเบิกตากว้าง ทุกคนคล้ายกับถูกกระบองตีใส่หัว ตะลึงลานอย่างสมบูรณ์แบบ
“เจ้าๆๆ…”
“นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!!”
“สวรรค์ มารโรคห่าเย่จั้ง…ป๋ายเสี่ยวฉุน…”
“พวกเขาก็คือคนคนเดียวกัน!!”
สวีเสี่ยวซานเกือบจะกัดลิ้นตัวเองเสียแล้ว
ชีวิตนี้ของเขาไม่เคยพบพานเรื่องที่พิลึกพิลั่นอย่างนี้มาก่อน ภาพเหตุการณ์เบื้องหน้านี้ดูเหลือเชื่อเสียยิ่งกว่าการเกิดประสาทหลอนที่เขาซือเฟิงเสียอีก เขายังถึงขั้นคิดว่าตัวเองตาฝาด เกิดประสาทหลอนอีกครั้งด้วยซ้ำ เวลานี้เหม่อมองป๋ายเสี่ยวฉุน สวีเสี่ยวซ่านมองเซ่อไปทันที
และยังมีซ่งเชวียที่ก่อนหน้านี้จิตสังหารพุ่งทะยานเต็มฟ้า ทว่าวินาทีนี้ ภายใต้เหตุการณ์ที่ผลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ความคิดของเขาคล้ายจะตามไม่ทัน ยืนอยู่ตรงนั้น เบิกตากว้างอ้าปากค้าง ร่างเริ่มสั่นเทา สิ่งที่ปรากฏออกมาทางสายตาคือความทึ่มทื่ออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในครึ่งชีวิตนี้ของเขา
เขายิ่งยากจะยอมรับภาพเหตุการณ์เหล่านี้ได้ สำหรับเขาแล้ว เย่จั้งคืออริคู่แค้นของเขา
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาต เวลานี้คนทั้งสองกลับกลายมาเป็นคนคนเดียวกัน…
ตลอดทั้งสนามรบเงียบกริบลงในบัดดล แม้แต่บุรพาจารย์ของสองสำนักที่กำลังประมือกันกลางอากาศก็ยังลืมลงมือต่อกัน ต่างฝ่ายต่างหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาแน่วนิ่ง
ในสีหน้าตกตะลึงระคนแปลกใจของบุรพาจารย์ตระกูลซ่งแฝงไว้ด้วยความซับซ้อน นัยน์ตาของอู๋จี๋จื่อทั้งตกใจและสงสัย บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพ รวมไปถึงเถี่ยมู่เจินเหรินล้วนมีใบหน้าคาดคิดไม่ถึง รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลโดยสิ้นเชิง
ลำดับผู้สืบทอดและอังคุฐโลหิตเหล่านั้นต่างก็ตกอยู่ในสภาวะชะงักค้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนบุตรโลหิตสามคนที่มีข้อตกลงร่วมกับป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้ยืนอยู่กลางอากาศ รู้สึกแค่เพียงว่ามีสายฟ้าระเบิดอยู่ในสมองอย่างต่อเนื่องราวกับจะไม่มีวันหยุดลง
“เย่จั้ง…ป๋ายเสี่ยวฉุน?” บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงพึมพำ รู้สึกเสมือนฟ้าดินพลิกคว่ำคะมำหงาย
ภาพนี้ไม่เพียงแต่สะท้านสะเทือนสำนักธาราโลหิต วินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสวมหน้ากากแล้วกลายร่างเป็นเย่จั้งนั้น ทุกคนของสำนักธาราเทพที่อยู่ด้านหลังของเขาต่างก็มีอสนีบาตฟาดอยู่ข้างหู เสียงสูดลมหายใจดังขึ้นๆ ลงๆ ไปทั่วเทือกเขาลั่วเฉิน ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาและเสียงอุทานแตกตื่นเซ็งแซ่
เสียงร้องอุทานเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยความไม่อยากเชื่อ ความไม่คาดคิด ความนึกไม่ถึง!
ซ่างกวานเทียนโย่วเดิมทียังหัวเราะเสียงเย็น เตรียมมองดูป๋ายเสี่ยวฉุนพาตัวเองไปตาย ทว่าวินาทีนี้ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า แม้แต่ลมหายใจก็คล้ายจะหยุดชะงัก หัวสมองขาวโพลน
กุ่ยหยา กงซุนอวิ๋น เป่ยหันเลี่ย ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธาราเทพเหล่านี้ต่างก็เป็นเหมือนกันหมด ทุกคนล้วนสะท้านสะเทือนกับภาพเหตุการณ์นี้อย่างลึกล้ำ โดยเฉพาะโจวซินฉีที่เบิกตากว้างอย่างถึงที่สุด รู้สึกเหมือนว่าบัดนี้โลกทั้งใบเต็มไปด้วยความเหลวไหล
นางยิ่งไพล่นึกไปถึงคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เอ่ยกับโหวเสี่ยวเม่ยว่า ที่ใดที่มีป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ เย่จั้งไม่กล้าปรากฏตัว
“นี่…นี่…” โจวซินฉีรู้สึกว่าโลกใบนี้วุ่นวายอลหม่านไปหมดแล้ว
ส่วนโหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ไม่ห่างก็อึ้งตะลึงไปนาน ในสมองเล็กๆ ของนางเวลานี้มิอาจนำป๋ายเสี่ยวฉุนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจของนางมาทับซ้อนกับเย่จั้งผู้ที่นางหวาดกลัวมากที่สุดได้
อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่โหวอวิ๋นเฟย จางต้าพั่ง เฮยซานพั่ง ไม่ว่าใครก็ตาม ตอนนี้ล้วนงงงันกันหมด
หลี่ชิงโหวยิ่ง…เหมือนไม่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อน เหม่อมองเขาด้วยความอึ้งงัน
ขณะที่คนเหล่านี้กำลังครั่นคร้าม ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังทุกคนของสำนักธาราโลหิตที่อยู่เบื้องหน้า สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง น้ำเสียงแหบพร่า ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความเย็นชาไร้ที่สิ้นสุด
“เห็นข้าผู้เป็นบุตรโลหิตแล้วยังไม่รีบคารวะอีก!” คำพูดนี้ของเขาดังออกมา วิชาอมตะมิวางวายในร่างพลันโคจร พลังอำนาจระลอกหนึ่งที่มีเพียงบุตรโลหิตเท่านั้นถึงจะมีได้ระเบิดตูมตาม ขณะเดียวกันนั้นนักพรตทุกคนของเขาจงเฟิงพลันรู้สึกถึงแรงกดดันข่มทับอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้!
ความกดดันจากพลังอำนาจเช่นนี้กลายมาเป็นอานุภาพแข็งแกร่ง ระเบิดซัดโหมไปทั่วทั้งสนามรบ
เจี่ยเลี่ยตัวสั่นเยือก คุกเข่าลงเป็นคนแรก เสินซ่วนจื่อคือคนที่สอง ไม่นานลูกศิษย์ของเขาจงเฟิงสำนักธาราโลหิตที่เมื่อครู่นี้ยังบ้าคลั่งก็พร้อมใจกันคุกเข่าคำนับภายใต้ความงุนงงของทุกคนในสำนักธาราเทพ ต่อให้เป็นซ่งเชวียเอง เมื่อเผชิญกับพลานุภาพสยบของบุตรโลหิตบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังจำต้องคุกเข่าคำนับอย่างเลี่ยงไม่ได้
“คารวะบุตรโลหิตเขาจงเฟิง!”
เสียงเช่นนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานแม้แต่พวกนักพรตเขาจงเฟิงที่อยู่เบื้องหลังก็ยังพากันคุกเข่าคำนับพร้อมร่างที่สั่นสะท้าน
เมื่อมองออกไป กลุ่มของคนที่คุกเข่าคำนับยึดครองกำลังอำนาจของสำนักธาราโลหิตไปเกือบสองส่วน คนเหล่านี้ล้วนมาจาก…เขาจงเฟิง!
มีเพียงคนเดียว…ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ข่มทับ นางเองก็ไม่เลือกที่จะคุกเข่า แต่ยืนอยู่ห่างเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนไปสิบจั้ง ร่างสั่นสะท้าน นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความไม่กล้าเชื่อ แฝงไว้ด้วยความซับซ้อนและโศกเศร้าอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่กล้ามอง
นาง คือผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิง ซ่งจวินหว่าน
ปฏิกิริยาตอบสนองของนางมีส่วนที่คล้ายคลึงกับคนอื่น แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความเศร้าเสียใจ หลังจากที่เย่จั้งหายตัวไป นางไม่เคยได้พักผ่อนดีๆ มานานมากแล้ว ทั้งยังถึงขั้นใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่ตัวเองมีเพื่อนำไปตามหาเย่จั้ง หรือแม้แต่ขอร้องอ้อนวอนบุรพาจารย์ตระกูลซ่งก็ยังทำมาแล้ว อีกทั้งก่อนหน้าที่สงครามจะปะทุขึ้น เมื่อครู่นี้ที่นั่งอยู่บนกระบี่ใหญ่ นางยังคงพะวงถึงเรื่องที่เย่จั้งหายตัวไป ในใจเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มตลอดเวลา
ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่า วินาทีนี้ ตนเองจะได้เจอกับเย่จั้งบนสนามรบ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
ซ่งจวินหว่านมองเย่จั้งที่อยู่เบื้องหน้า ภายใต้ความเงียบงันของรอบด้าน นางพูดขึ้นด้วยความขมขื่น น้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าวที่ดังสะท้อนไปทั่วบริเวณนั้น ทำให้คนที่ได้ยินปวดใจ
“แท้จริงแล้ว…เจ้าคือเย่จั้ง หรือว่าป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้า…เป็นใครกันแน่!!” ซ่งจวินหว่านตัวสั่น ดวงตาแดงก่ำ พอพูดถึงประโยคสุดท้าย นางคล้ายจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่จนกลายเป็นตะโกนเสียงดังใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน สำหรับซ่งจวินหว่านแล้ว ตัวเขาเองก็รู้สึกซับซ้อนเช่นกัน มองเห็นดวงตาที่แดงก่ำและน้ำตาที่คลอขึ้นมาในดวงตาของอีกฝ่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงย้ายสายตาออกไปมองจุดห่างไกล เอ่ยปากเสียงเบา
“ข้าเป็น…ทั้งสองคน!”
ซ่งจวินหว่านร่ำไห้ทันที น้ำตาของนางกลิ้งไหลลงมาจากดวงตา หยดแล้วหยดเล่า…ร่วงหล่นลงบนพื้นดิน
“เป็นทั้งสองคน…ที่แท้ทุกอย่างนั้นล้วนเป็นเรื่องโกหก…” นางรู้สึกว่าตัวเองคือคนโง่คนหนึ่ง ในสมองมีภาพเหตุการณ์มากมายที่ตนมีร่วมกับเย่จั้ง ยิ่งย้อนความทรงจำ ใจของนางก็ยิ่งเจ็บปวด พอถึงท้ายที่สุด นางจึงกลายมาเป็นเหมือนเด็กน้อยอ่อนแอไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง หยาดน้ำตาไหลรินดุจสายฝนพร้อมร่างที่สั่นสะท้านไม่หยุด
ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน เงยหน้าขึ้นมองบุรพาจารย์สองสำนักที่อยู่บนท้องฟ้า ตะโกนพูดเสียงดัง
“ข้าคือป๋ายเสี่ยวฉุน ลำดับผู้สืบทอดที่แน่นอนของสำนักธาราเทพ ขณะเดียวกันข้าก็คือเย่จั้ง บุตรโลหิตเขาจงเฟิงแห่งสำนักธาราโลหิต บุรพาจารย์ อย่าสู้รบกันอีกเลย สงครามไม่ใช่วิธีการเดียวที่สามารถแก้ไขปัญหาได้!”
“พวกท่านต้องการจุดพลิกผันที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเชื่อใจกันได้ไม่ใช่หรือ ข้า…จะเป็นจุดพลิกผันที่ว่านั่นได้หรือไม่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวด้วยความร้อนรน เสียงดังไปครึ่งสนามรบ ทำให้นักพรตทุกคนที่ได้ยินเงียบงันกันไปอีกครั้ง
ท่ามกลางความเงียบงันของสมรภูมิรบ บุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่อยู่กลางอากาศลังเลเล็กน้อย เรื่องที่เย่จั้งก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน เขายังมิอาจยอมรับได้ในชั่วระยะเวลาอันสั้น ทว่าเขามั่นใจในจุดหนึ่ง ไม่ว่าเย่จั้งจะเป็นใคร เขาก็คือบุตรโลหิตของเขาจงเฟิง ฝึกวิชาของเขาจงเฟิง อีกทั้งต่อให้ไม่มีเรื่องพวกนี้ แม้ว่าสำนักธาราโลหิตจะให้ความสำคัญต่อบุตรโลหิตอย่างเย่จั้ง แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของสำนักเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่อนุญาตให้บุตรโลหิตคนหนึ่งยื่นมือเข้าแทรกได้
บุรพาจารย์ตระกูลซ่งกำลังจะเอ่ยปาก ทว่าฮั่นเหยียนเจินเหรินที่อยู่ข้างกันกลับไวกว่าเขา เวลานี้เสียงหัวเราะเย็นชาพลันดังสะท้อนไปทั่ว
“บุตรโลหิตเย่จั้งถูกสำนักธาราเทพบังคับจับเป็นตัวประกัน สำนักธาราเทพต่ำช้าไร้ยางอาย กล้าจี้ตัวบุตรโลหิตของสำนักเรา วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะต้องดับสำนักของเจ้า ดับลำดับผู้สืบทอดของเจ้า ดับพวกเจ้าทั้งสำนัก!! ใครก็ได้รีบมาคุ้มครองบุตรโลหิต พาเขาเข้าไปในหมอกโลหิตเดี๋ยวนี้!” นัยน์ตาของฮั่นเหยียนเจินเหรินฉายแสงเย็นยะเยียบ เอ่ยปากน้ำเสียงทึบทะมึน สะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้างหนึ่งที สงคราม…ระเบิดขึ้นอีกครั้ง!