Skip to content

A Will Eternal 282

บทที่ 282 ข้าเข้าใจแล้วจริงๆ!

บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิง บุตรโลหิตเขาซือเฟิง และยังมีบุตรโลหิตเขาอู๋หมิงเฟิง ทั้งสามคนตัวสั่นอย่างรุนแรง หน้าผากปูดโปนไปด้วยเส้นเอ็นเขียวคล้ำ พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงแรงบีบคั้นระลอกหนึ่งที่ระเบิดออกมาจากในร่าง ซึ่งปล้นชิงเอาสถานะบุตรโลหิตของพวกเขาไป

อีกทั้งการปล้นชิงนี้ยังแย่งเอาพลังการควบคุมนักพรตแต่ละยอดเขาของพวกเขาไปด้วย ทำให้อยู่ๆ คนทั้งสาม จากที่สูงส่งเกินผู้ใด กลับถูกลดตำแหน่งลงมาเป็นเพียงนักพรตธรรมดาทั่วไป

และยังมีผู้อาวุโสใหญ่ของทั้งสามยอดเขาที่แตกตื่นหวาดผวาไม่ต่างกัน

ซ่งจวินหว่านเองก็หน้าซีดขาว นัยน์ตาเผยความเหลือเชื่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนคือเย่จั้ง ข่าวนี้เดิมทีก็ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจิตใจสั่นสะท้านอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้…อาการจิตใจสั่นสะท้านของพวกเขาเหนือล้ำเกินกว่าก่อนหน้านี้มากนัก มากจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้

“เป็นไปไม่ได้!!”

“ข้าคือบุตรโลหิตเขาซือเฟิงนะ!!”

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ คนผู้นี้…เพียงแค่คนผู้นี้กดมือครั้งเดียว กลับสามารถข่มทับทุกอย่างของพวกเราได้!!”

บุตรโลหิตยังเป็นขนาดนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรตคนอื่นๆ เสินซ่วนจื่อ เจี่ยเลี่ย ซ่งเชวีย สวีเสี่ยวซ่าน ตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตล้วนสั่นสะเทือนกันไปหมด ไม่ว่าพวกเขายินดีหรือไม่ บัดนี้ ใครก็ตามที่บำเพ็ญตบะโดยอาศัยร่างของบรรพบุรุษโลหิตล้วนถูกป๋ายเสี่ยวฉุน…ข่มบังคับได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

ตลอดทั้งสนามรบ หลังจากมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยกขึ้นแล้วกดทับลงไปยังสำนักธาราโลหิต หลังจากที่น้ำวนกลางท้องฟ้าก่อรูปกลายมาเป็นมือสีเลือดขนาดยักษ์ข้างหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ!

เสียงอึกทึกดังเกริกก้อง เสียงร้องอุทานฮือฮาดังออกมาไร้ที่สิ้นสุด นักพรตทุกคนของสำนักธาราโลหิต ลูกศิษย์ฝ่ายนอก ลูกศิษย์ฝ่ายใน นักพรตของสี่ยอดเขา ผู้อาวุโสไท่ซ่าง ลามไปถึงอังคุฐโลหิต ไม่เว้นแม้กระทั่งบุรพาจารย์

วินาทีนี้ในใจของทุกคนเกิดเสียงดังกัมปนาท สีหน้าเปลี่ยนแปลงมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำว่าดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ถอดสีก็ยังไม่มากพอจะใช้บรรยาย!

ชั่วพริบตานั้น พลังอำนาจตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตลดฮวบฮาบลงอย่างน่าตกใจ จากก่อนหน้านี้ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ กลับกลายมาตกเป็นรอง อีกทั้งภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันและการข่มทับนี้ จิตใจของลูกศิษย์หลายคนจึงใกล้จะแตกสลายเต็มที แผล็บเดียวสถานการณ์ก็โกลาหลอลหม่านขึ้นมาทันทีทันใด

เมื่อมองไป ความวุ่นวายโกลาหลนี้แผ่ขยายอย่างต่อเนื่อง พัวพันกันไปเป็นทอดๆ ถึงท้ายที่สุดรูปแบบกองทัพของสำนักธาราโลหิตก็คล้ายจะล่มสลายไปเอง

และเวลานี้ ไม่รู้ว่าใครที่ส่งเสียงร้องอุทานด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดออกมาเป็นคนแรก เสียงนั้นดังไปรอบทิศ

“นายแห่งโลหิต!! นี่คือพลังของนายแห่งโลหิตในตำนาน!!”

“สวรรค์ เย่จั้ง…ป๋ายเสี่ยวฉุน…เขากลายมาเป็นนายแห่งโลหิต!!”

“มารโลหิต…” เสียงอุทานแตกตื่นดังสะท้อนไม่ขาดระยะ ยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ ทำให้ทุกคนที่ได้ยินล้วนใจสั่น ต่อให้ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เวลานี้ก็ยังรู้สึกเคว้งคว้าง ไพล่นึกถึงสภาพของตัวเองในปัจจุบัน โดยเฉพาะบุรพาจารย์หลายคนบนท้องฟ้าที่พลังอำนาจลดฮวบฮาบไม่ต่างกัน ทุกคนก็พากันหน้าถอดสี อุทานด้วยความตื่นตะลึงออกมาเช่นกัน

“มารโลหิต…เป็นเรื่องจริง!!”

“นายแห่งโลหิตลงมาจุติ เย่จั้ง…เขาได้รับการสืบทอดให้เป็นนายแห่งโลหิต!!”

“นี่…นี่จะยังสู้กันต่อได้ยังไง!!”

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้ โดยไม่ได้นัดหมาย นักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนของสำนักธาราโลหิตพร้อมใจกันหันไปมองกลางอากาศ มองผู้ที่ใช้เพียงพลังของคนคนเดียวก็กำราบได้ทั้งสำนักธาราโลหิต ป๋ายเสี่ยวฉุน!

ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่กลางอากาศ เส้นผมถูกลมพัดให้ปลิวสยาย ร่างของเขามองดูแล้วเล็กกะจิดริด แม้ตอนที่เผยตัวตนของบุตรโลหิตจะทำให้ดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะมีอิทธิพลต่อศึกความเป็นความตายของทั้งสองสำนักครั้งนี้

ทว่าตอนนี้…

ทุกอย่างกลับต่างออกไป สถานการณ์พลิกผันโดยสิ้นเชิง เมื่อคนคนหนึ่งสามารถปราบสำนักหนึ่งได้ ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใคร เมื่ออยู่ในสนามรบ เขาก็คือตัวตนที่มิอาจมองข้าม และไม่สามารถมองข้ามไปได้!

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก หันหลังให้กับสำนักธาราเทพ เผชิญหน้ากับทุกคนของสำนักธาราโลหิต น้ำเสียงแหบพร่านั้นถึงแม้จะไม่ดังนัก ทว่ากลับแผ่ไปทั่วทั้งสมรภูมิรบ

“ตอนนี้จะฟังข้าพูดได้หรือยัง…”

“สำนักธาราโลหิต หากพวกเจ้าดึงดันจะดับทำลายสำนักธาราเทพให้ได้ ถ้าเช่นนั้น…ก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้น พลังอำนาจตลอดทั้งร่างระเบิดตูมตาม ลำแสงโลหิตพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า การข่มทับที่มีต่อสำนักธาราโลหิตยิ่งรุนแรง เวลาเช่นนี้ ทุกคำที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดออกมาล้วนดุจดั่งอสนีบาต

ศพหลอมทุกตนตัวสั่นเทิ้ม พากันก้มหน้าลงอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะกระดูกไม่สลายที่นัยน์ตามีเปลวเพลิงบางอย่างโหมไหม้ แหงนหน้าคำรามหนึ่งครั้งก็บินดิ่งออกมาคุกเข่าคำนับอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน

และยังมีศพหลอมขนเขียวที่แผดเสียงคำรามเช่นกัน เส้นขนสีเขียวตลอดทั้งร่างระเบิดออก ทำให้ลูกตาดำของศพหลอมจำนวนมากรอบด้านเกิดการเปลี่ยนแปลง กลับกลายเป็นว่าหันไปเล่นงาน…สำนักธาราโลหิตแทน!

ยังไม่สิ้นสุด พวกหัวปีศาจที่บินอยู่เต็มฟ้า บัดนี้ภายใต้เสียงกรีดแหลมของหัวปีศาจตนหนึ่งที่ไม่สะดุดตา หัวปีศาจทุกตนพลันหันขวับกลับไปแสยะปากแยกเขี้ยวใส่…สำนักธาราโลหิต!

เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว ไม่เพียงแต่ยับยั้งทุกคนของสำนักธาราโลหิตได้ ที่มากกว่านั้นคือชิงเอากำลังของสำนักธาราโลหิตมาอีกครึ่ง!

บุรพาจารย์หลายคนของสำนักธาราโลหิตที่อยู่บนท้องฟ้า บัดนี้ต่างก็หน้าซีดขาว ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาของพวกเขาเผยความซับซ้อนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“เขา…คือนายแห่งโลหิต!”

ไม่ว่าจะเป็นปฐมาจารย์หรืออู๋จี๋จื่อ หรือแม้กระทั่งบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง ความซับซ้อนในดวงตาของพวกเขาก็ล้วนมิอาจพรรณนาได้ หากก่อนหน้านี้พวกเขารู้ว่าเย่จั้งคือนายแห่งโลหิต ถ้าเช่นนั้นสงครามครั้งนี้ ย่อมไม่มีทางดำเนินมาถึงจุดนี้อย่างแน่นอน

สำหรับนายแห่งโลหิต สำหรับมารแห่งโลหิตในตำนานแล้ว ท่าทีของสำนักธาราโลหิตก็ขัดแย้งกันเองเช่นกัน ทั้งหวังให้มีตัวตนอยู่จริง ทั้งไม่ต้องการให้ดำรงอยู่ หากนายแห่งโลหิตนี้เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งก็ว่าไปอย่าง พวกเขาสามารถจับคนผู้นั้นคุมขัง ให้เขาแสดงศักยภาพแค่ในด้านที่ส่งผลดีต่อสำนักธาราโลหิต ทว่าตอนนี้…นายแห่งโลหิตกลับเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน

บุรพาจารย์ตระกูลซ่งขมขื่น เงียบขรึมลง นัยน์ตาของปฐมาจารย์เผยความเลื่อนลอย ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ อู๋จี๋จื่อเงียบงัน ทว่าในดวงตาทั้งคู่กลับมีประกายแสงแปลกประหลาดวาบผ่าน และยังมีบุรพาจารย์ฮั่นเหยียนที่อยู่ข้างกันซึ่งกำลังก้มหน้า ไม่มีใครมองเห็นสีหน้าของเขา

ซ่งจวินหว่านอยู่ในกลุ่มคน มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความชอกช้ำ ยิ่งยิ้มสมเพชตัวเอง ในใจของนางคล้ายมีบาดแผลเหวอะหวะ มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนฟากฟ้า นางรู้สึกว่าตัวเองและอีกฝ่ายยิ่งไกลห่างกันเข้าไปทุกที

นางค่อยๆ ก้มหน้าลง นางอยากหลีกหนีไปให้ไกลจากที่นี่ นางไม่อยากมองเห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแล้ว

มองเห็นความเงียบงันของทุกคนในสำนักธาราโลหิต มองเห็นความซับซ้อนของบุรพาจารย์เหล่านั้นบนท้องฟ้า แล้วก็มองเห็นความหดหู่ของซ่งจวินหว่าน ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน ทว่าเขาไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว

“อย่าเข่นฆ่ากันอีกเลย ข้าสามารถเป็นตัวแทนสำนักธาราเทพ พวกเรา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเสียงแผ่วเบา ใจที่เป็นกังวลอยู่ตลอดเวลาของเขา ตอนนี้ถึงเพิ่งจะคลายลงได้ ในความรู้สึกของเขา สงครามครั้งนี้ มาถึงตอนนี้แล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะดำเนินต่อได้อีก

ทว่าคำพูดของเขายังไม่ทันสิ้นสุด ทันใดนั้นทางฝ่ายของสำนักธาราเทพก็ส่งคลื่นเสียงดังกึกก้อง คลื่นนี้…คือลางบอกว่าค่ายกลใหญ่ของเทือกเขาลั่วเฉินกำลังจะระเบิดขึ้น!

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง หันขวับกลับไปมอง เห็นว่ากลางอากาศของเทือกเขาลั่วเฉิน บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งและบุรพาจารย์คนอื่นๆ ของสำนักธาราเทพ บัดนี้ทั้งห้าคนต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาด!

โดยเฉพาะบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งที่ในดวงตายิ่งเผยประกายแสงแห่งความลึกล้ำ เขาเองก็ตื่นตะลึงไปกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงเลยว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแต่เป็นบุตรโลหิต ทั้งยังกลายมาเป็นบุคคลที่ในตำนานสำนักธาราโลหิตเรียกว่า…นายแห่งโลหิตด้วย!!

ตัวตนนี้สำคัญอย่างมาก กำราบพลังอำนาจของสำนักธาราโลหิตให้ตกเป็นรอง และเช่นเดียวกัน…เวลานี้ก็คือช่วงเวลาอันดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดซึ่งประสบพบเจอได้ยากยิ่ง!!

เมื่อโอกาสอันเลิศล้ำมาวางอยู่เบื้องหน้า จิตใจของบุรพาจารย์ทั้งห้าของสำนักธาราเทพจึงเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นห่วงป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของสำนักเช่นนี้ ต่อให้พวกเขาต้องทรยศต่อมโนธรรมในใจของตัวเอง ยังไงก็ต้องเลือกความชอบธรรมของสำนัก เวลานี้หลังจากมองหน้ากันไปมา บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งก็เงยหน้าหัวเราะ!

“ดี ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างคุณความชอบใหญ่หลวง นับแต่นี้คือลำดับผู้สืบทอด อยู่ในตำแหน่งบุรพาจารย์น้อย!”

“สำนักธาราเทพ ทุ่มสุดกำลัง…ออกโจมตี ดับทำลาย…สำนักธาราโลหิต!!” เมื่อเสียงหัวเราะของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งดังออกมา มือขวาของเขาก็ยกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง พุ่งดิ่งเข้าหาบุรพาจารย์หลายคนของสำนักธาราโลหิตพร้อมบุรพาจารย์ที่เหลืออีกสี่คน เวลาเดียวกันนั้น ค่ายกลของเทือกเขาลั่วเฉินดังสนั่นหวั่นไหว ส่องประกายแสงระยิบระยับ ยักษ์จำแลงที่อยู่ในค่ายกลหลังจากอึ้งกันไปครู่หนึ่งก็ร้องคำรามและบุกออกมา ทั้งยังมีสัตว์รบมากมายของชายฝั่งทิศเหนือที่แผดเสียงคำราม การดำรงอยู่ของพวกมันเทียบเคียงได้กับพลังสามส่วนของสำนักธารเทพ เมื่อบุกออกมาจึงเต็มทั้งแผ่นฟ้าและผืนดิน

ต้องการก็คือคว้าโอกาสอันดีครั้งนี้ ปลุกระดมกำลังทั้งสำนัก ทำร้ายสำนักธาราโลหิตให้บาดเจ็บสาหัส เพื่อสร้างฐานรากให้กับสำนักในอีกหมื่นปีข้างหน้า

สำนักธาราโลหิตเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ บัดนี้ทุกคนล้วนส่งเสียงคำรามด้วยความไม่ยินยอม พวกเขาไม่มีหนทางให้ถอยอีกแล้ว เวลานี้ในใจของทุกคนโศกเศร้าแค้นเคือง ทั้งยิ่งเกิดความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อป๋ายเสี่ยวฉุน

“เย่จั้ง ข้าเกลียดเจ้า!!”

“บุตรโลหิตอะไร อังคุฐโลหิตอะไร เจ้าจะเป็นตัวแทนของสำนักธาราเทพอะไรนั่น…ฮ่าๆ เย่จั้ง เจ้ามันไม่ใช่อะไรทั้งนั้น!!”

“เย่จั้ง ต่อให้ข้าผู้อาวุโสต้องรบจนตัวตาย กลายเป็นผีก็จะต้องตามรังควานเจ้าไปสามชาติสามภพ!!”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะสมเพช บุตรโลหิตสามคน ผู้อาวุโสไท่ซ่าง และยังมีอังคุฐโลหิตพากันระเบิดพลังในการรบที่แข็งแกร่งที่สุดของตอนนี้ออกมา บุรพาจารย์หลายคนก็กัดฟัน แหงนหน้าคำรามกร้าวด้วยความรวดร้าว

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองบุรพาจารย์เหล่านั้นของสำนักธาราเทพด้วยความอึ้งตะลึง มองสำนักธาราเทพที่ตอนนี้เลือกลงมือ นี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน ร่างของเขาโซเซซัดโซเซถอยหลังไปหลายก้าว ก้มหน้าลง หัวเราะด้วยความขมขื่น

“ข้าไร้เดียงสาเอง นึกว่ายับยั้งอีกฝ่ายได้ สงครามครั้งนี้ก็จะยุติลง ข้าผิดเอง…”

“ข้าเข้าใจแล้ว…ข้าเข้าใจแล้วจริงๆ…ข้าประเมินตำแหน่งของตัวเองสูงเกินไป ประเมินสถานะของตัวเองพลาดไป…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้น…สำนักธาราเทพ ญาติพี่น้องของข้าเอ๋ย พวกเจ้าลองมาดูการควบคุมที่แท้จริงของข้าเถอะ!”

เสียงหัวเราะนี้ยิ่งนานก็ยิ่งคลอเคล้าด้วยเสียงสะอึกสะอื้น จนถึงท้ายที่สุด เขาพลันเงยหน้าขึ้น เส้นผมสยายปลิวสะบัด เมื่อเสียงหัวเราะแห่งความร้าวรานที่แหลมคมดุจจะแบ่งแยกนภากาศดังสะท้อนออกไปสี่ทิศอย่างบ้าคลั่ง มือขวาของเขาก็ยกขึ้นไปทางสำนักธาราเทพ…

แล้วกวักเรียก!

“เถี่ยตั้น!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!