Skip to content

A Will Eternal 289

บทที่ 289 บุรพาจารย์ ข้าจะไปสนามรบ!

ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวแทบระเบิด เขาเบิกตากว้าง เหม่อมองนกตัวนั้นที่บินอยู่บนฟ้า เขารู้สึกว่าตัวเองใกล้จะคลั่ง ใกล้จะเป็นบ้าเข้าไปทุกขณะ…นกตัวนี้ เดิมทีมันก็มีสองชื่ออยู่แล้ว อยู่สำนักธาราโลหิตมันชื่อว่านกเซวี่ยหลิงจริงๆ แต่เมื่ออยู่สำนักธาราเทพมันกลับชื่อนกยวนเหว่ย

แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดชื่อไหนของมันดี โดยเฉพาะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีไอสังหาร ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้เต็มที เขาเกลียดเจ้านกตัวนี้ที่สุดเลย…

“เจ้านกสมควรตาย เจ้าๆๆ…ทำไมเจ้าต้องบินผ่านตรงนี้ด้วย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไปทั้งใจ มองซ่งจวินหว่านที่อยู่ทางซ้าย แล้วก็มองโหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ทางขวา หญิงสาวสองคนนี้เวลานี้กำลังมองมาที่ตน เขาสามารถจินตนการได้ว่าไม่ว่าตนจะพูดคำใดออกไป ต้องทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียใจอย่างสุดซึ้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนทุกข์ระทม ขณะที่กัดฟันเตรียมจะตั้งชื่อให้มันมั่วๆ ซ่งจวินหว่านก็พลันเอ่ยปาก

“เย่จั้ง หากเจ้าตั้งชื่อขึ้นมาเอง แสดงว่าเจ้ากำลังปั่นหัวพวกเรา!”

“พี่เสี่ยวฉุน แล้วท่านก็ห้ามพูดว่าไม่รู้จักด้วย ตอนที่อยู่สำนักธาราเทพ พวกเราเคยเห็นมันมาก่อน!” โหวเสี่ยวเม่ยมีท่าทีเช่นเดียวกับซ่งจวินหว่านอย่างหาได้ยากยิ่ง มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาแฝงความหมายลึกล้ำ…

“ข้า…ข้า…” เหงื่อเย็นๆ หยดลงมาจากหน้าผากป๋ายเสี่ยวฉุน เขาหมดหวังแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนดื่มยา ผู้หญิงสองคนนี้ก็เป็นแบบนี้ ตอนนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนยังพอรับมือได้อย่างถูไถ ทว่าตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางให้เขาแถต่อได้อีก

“ทำไงดี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้นมีน้ำตาขึ้นมาคลอในดวงตา แล้วก็ได้ยินเสียงซ่งจวินหว่านและโหวเสี่ยวเม่ยเอ่ยเร่งเร้าอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าผู้หญิงสองคนนี้ ไม่ได้อยากรู้สึกนิดว่านั่นคือนกอะไร เห็นได้ชัดว่าพวกนางทำไปก็เพื่อบีบให้ตนเลือก

ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงดังหนึ่งครั้ง ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ มือขวายกขึ้นชี้ไปที่นกตัวนั้น

“ได้ ข้าจะบอกพวกเจ้าเดี๋ยวนี้ว่านี่คือนกอะไร นี่ก็คือนก…” ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็รีบกัดลิ้นตัวเองอย่างแรง บีบให้ตบะในร่างทลายจนเกิดเสียงตูมหนึ่งครั้งแล้วแผ่กระจายไปทั่วร่าง พุ่งโจมตีไปยังเส้นชีพจร ในปากมีรสหวาน เลือดสดพุ่งทะลัก เบื้องหน้ามืดดำแล้วหมดสติไปทันที

ก่อนที่จะสลบไป เขายังถอนหายใจอยู่ในใจ…

ซ่งจวินหว่านและโหวเสี่ยวเม่ยอึ้งตะลึง พวกนางเห็นกับตาตัวเองว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือดออกมา เวลานี้พอประคองตัวเขาเอาไว้เลยสัมผัสได้ถึงการแตกสลายของตบะในร่างป๋ายเสี่ยวฉุนจึงร้อนใจทันที โหวเสี่ยวเม่ยกังวลจนแทบจะร้องไห้ออกมา รีบประคองป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเข้าไปในถ้ำ ซ่งจวินหว่านก็ยิ่งหยิบเอายาวิเศษจำนวนมากออกมาป้อนป๋ายเสี่ยวฉุน

เวลานี้บนเขาทั้งสองที่ห่างออกไปไม่ไกล บุรพาจารย์ตระกูลซ่งและเถี่ยมู่เจินเหริน พวกเขาล้วนเห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาตัวเอง นัยน์ตาเผยความเห็นใจ

“เจ้าเด็กแสบ วาสนาด้านความรักมีหรือจะเสพสุขได้ง่ายดายเพียงนั้น ปีนั้นข้าผู้อาวุโสก็เข้าในใจหลักการข้อนี้แล้ว จึงสะบัดปลายแขนเสื้อ ไม่ยินดีจะสัมผัสด้วยแม้แต่นิดเดียว” ขณะที่บุรพาจารย์ตระกูลซ่งทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง เถี่ยมู่เจินเหรินที่อยู่ข้างกันก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างที่หาได้ยากยิ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้น

“ความรักคือเคราะห์กรรม ปีนั้นข้าผู้อาวุโสก็ตัดเคราะห์นี้ทิ้งไปด้วยความโกรธเช่นกัน ตอนนี้มาคิดดู โฉมหน้าของสาวงามพวกนั้น ข้าก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว”

บุรพาจารย์ทั้งสองคนมองหน้ากัน รู้สึกเห็นพ้องต้องกันเป็นครั้งแรก ต่างฝ่ายต่างถอนหายใจ ส่ายหน้า ในดวงตาของพวกเขาคล้ายย้อนระลึกถึงความทรงจำในอดีต…ที่เป็นของพวกเขาเอง

หลายวันหลังจากนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้น มองไปรอบถ้ำ โดยเฉพาะตอนยืนอยู่หน้ากระจกแล้วมองตัวเองในกระจก สีหน้าที่ซีดขาวทั้งยังซีดโทรม ทำให้เขารู้สึกว่าแม้แต่ท้องฟ้าก็ยังมืดดำ…

ครู่ใหญ่เขาถึงได้พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด เตรียมจะออกไปสูดอากาศข้างนอก ให้ใจตัวเองได้สงบลงเพื่อครุ่นคิดว่าจะเอายังไงต่อไป

“เป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่ไหวนะ ข้าต้องโดนเล่นงานจนตายแน่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาว ผลักประตูใหญ่ของถ้ำให้เปิดออก ขณะที่กำลังจะเดินออกไป พลันร่างก็ต้องแข็งทื่อ

“พวกเจ้า…” หน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเหงื่อผุดขึ้นมาอีกครั้ง มองนอกถ้ำของตัวเองตอนนี้ที่ไม่รู้ว่าซ่งจวินหว่านและโหวเสี่ยวเม่ยมายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ คนหนึ่งอยู่ซ้ายคนหนึ่งอยู่ขวา…ส่งยิ้มตาหยีมาให้ตน

“เย่จั้ง พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ” นัยน์ตาซ่งจวินหว่านแฝงแววยั่วเย้า

“พี่เสี่ยวฉุน ครั้งนี้ข้าไม่ให้ท่านพูดชื่อนกอีกแล้ว” โหวเสี่ยวเม่ยใบหน้าแดงปลั่ง ตลอดทั้งร่างส่งกลิ่นอายความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

ทว่าดวงตาของพวกนางกลับคล้ายจะจ้องเขม็งที่อยู่ขาทั้งสองข้างของตน

รูขุมขนตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันระเบิดออกทันที ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว นางมารสองคนนี้เสพติดการเล่นงานตนเสียแล้ว ตอนนี้ถึงได้เล่นมาถึงระดับน่ากลัวขีดสุดขนาดที่ว่าตอนออกจากถ้ำ ตนจะก้าวเท้าซ้ายหรือก้าวเท้าขวาก่อนแล้ว…

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่านี่มันเกินจริงไปมาก นางมารสองคนนี้ไม่ใช่คนแล้ว…ร่างของเขาสั่นเทิ้ม ไม่กล้าก้าวเดินออกไป

“เอ่อ…พวกเจ้าอยู่กันครบเลยหรือ ข้า…อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกเหนื่อยมาก ไม่ออกไปแล้วล่ะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะแห้งๆ และกำลังจะก้าวถอยหลัง ทว่าวินาทีที่เขาถอยหลังนั้นเอง ไอสังหารบนร่างของซ่งจวินหว่านพลันเดือดพล่านรุนแรง โหวเสี่ยวเม่ยดวงตาแดงก่ำ คล้ายมีน้ำตาขึ้นมาคลอ มองป๋ายเสี่วฉุนด้วยท่าทางน่าสงสาร

คนหนึ่งดุดัน คนหนึ่งน้อยใจ…

ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะเป็นบ้าแล้ว พลังวิญญาณในร่างที่กว่าจะระงับลงไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ภายใต้ความเจ็บปวดของเขา ภายใต้ความจนใจของเขา ได้ถูกฝืนให้พังทลายลงอีกครั้ง เมื่อเสียงตูมดังแล้วกระจายไปทั่วร่าง เขาก็กระอักเลือดออกมาอีกหนึ่งคำ เบื้องหน้ามืดดำ แล้วหมดสติลงไปอีกครั้ง

ก่อนหน้าที่จะสลบลง ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ถอนหายใจ มีเพียงน้ำตาที่ไหลริน

สองวันหลังจากนั้น กลางดึก ป๋ายเสี่ยวฉุนนอนอยู่บนเตียง เปิดดวงตาทั้งคู่ขึ้นอย่างอ่อนล้า นัยน์ตาไร้แววชีวิตชีวา มองไปบนเพดานของถ้ำ น้ำตาไหลแหมะลงมา

“ตอนแรกที่โหวเสี่ยวเม่ยอยู่ข้างกายข้าคนเดียว ช่างเป็นผู้หญิงที่ดีนัก ข้าว่าอะไรนางก็ว่าอย่างนั้น แต่ว่าตอนนี้…”

“ตอนแรกที่ซ่งจวินหว่านอยู่เป็นเพื่อนข้าคนเดียว ก็ช่างเอาใจข้ายิ่งนัก ขอแค่ข้าเปลี่ยนท่าที นางก็ยอมให้ข้าทันทีทันใด แต่ว่าตอนนี้…”

“ตอนนี้หลังจากที่พวกนางสองคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ทำไมถึงได้น่ากลัวขนาดนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนนึกถึงความทรงจำอันดีงามตอนที่เขาได้อยู่กับพวกนางคนใดคนหนึ่งเพียงลำพัง น้ำตาก็ยิ่งไหลพราก

“ไม่ได้ หากเป็นอย่างนี้ต่อไปข้าต้องตายแน่!!”

“ต้องถูกเล่นงานจนตาย ถูกทรมานจนตาย พวกนางสติฟั่นเฟือนไปแล้ว ตอนแรกก็แข่งดื่มยา แล้วก็มานก ตอนนี้ถึงขนาดแข่งกันว่าข้าจะก้าวขาข้างไหนก่อน…ต่อไปไม่แน่อาจแข่งว่าข้าลืมตาข้างไหน ยกมือข้างไหนขึ้นก่อน…”

“จะอยู่ที่นี่ต่ออีกไม่ได้แล้ว นางมารสองคนนี้น่ากลัวเกินไป ข้ากระอักเลือดติดต่อกันมาสองครั้งแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ชีวิตน้อยๆ ของข้าคงต้องเอามาทิ้งอยู่ที่นี่แน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นสะท้าน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เวลานี้จึงกัดฟันกรอด!

“ข้าจะไปสนามรบ!!”

“บนสนามรบ ไม่แน่ว่าข้าต้องตายเสมอไป แต่อยู่ที่นี่ สักวันข้าต้องถูกบีบจนเป็นบ้าแน่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยอยากไปสนามรบมากเท่าเวลานี้มาก่อน คิดมาถึงตรงนี้ ใจของเขาถึงขนาดบินออกไปนอกเทือกเขาลั่วเฉินแล้วด้วยซ้ำ ไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว

เขาจึงลุกพรวดขึ้นทันที สีหน้าเผยความเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พลังอำนาจตลอดร่างพลันเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ลักษณะอย่างที่เคยเป็น แต่กลายมาเป็นความดุร้ายที่แฝงเร้นไว้ด้วยเลือดเหล็กของผู้กล้าหาญ นัยน์ตาเผยความเฉียบคม หลังจากใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดจัดสัมภาระเรียบร้อย เขาก็ค่อยๆ ผลักประตูใหญ่ให้เปิดออก หันไปมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง

เวลานี้ด้านนอกเป็นช่วงกลางดึก ดวงจันทร์ถูกเมฆสีดำบดบัง รอบด้านมืดสนิท เงียบสงัดอย่างมาก มีเพียงเสียงของนกและสัตว์เท่านั้นที่ดังลอยมาจากที่ห่างไกล

หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตการณ์ไปรอบด้านด้วยความระแวงภัย แน่ใจแล้วว่าซ่งจวินหว่านและโหวเสี่ยวเม่ยไม่ได้ซุ่มอยู่ในบริเวณใกล้เคียง จึงพุ่งถลาออกไปด้วยความเร็วสูงสุด ปีกด้านหลังกระพือวาบ ตลอดร่างกลายเป็นรุ้งเส้นยาว แต่กลับไม่มีเสียงดังเล็ดรอด ตรงดิ่งไปยังยอดเขาทั้งสองอันเป็นที่พำนักของบุรพาจารย์ตระกูลซ่งและเถี่ยมู่เจินเหริน

ความรวดเร็วนั้นแทบจะเป็นความเร็วสูงสุดเท่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้โดยที่ไม่ให้เกิดเสียงแล้ว เขากลัวว่าซ่งจวินหว่านและโหวเสี่ยวเม่ยจะสังเกตเห็น ไม่นานจึงเข้ามาใกล้ยอดเขาทั้งสอง ก่อนที่จะถึง ฝีเท้าของเขาพลันหยุดชะงัก สูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเผยความเด็ดเดี่ยว สีหน้าก็ยิ่งเด็ดขาด ตลอดทั้งร่างได้หลอมรวมเอาบุคลิกของทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนและเย่จั้งไว้ด้วยกัน เวลานี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ทั้งสง่างามและหาญกล้า!

เขายกเท้าขึ้นเดินด้วยท่าทางเคร่งขรึม เรือนกายคล้ายจะสูงใหญ่ขึ้นมาเยอะมาก เดินแต่ละก้าวจนไปหยุดอยู่เบื้องหน้ายอดเขาทั้งสอง เมื่อเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาก็เผยความเย็นชาดุดัน ประสานมือคารวะ

“ศิษย์ป๋ายเสี่ยวฉุน ลำดับผู้สืบทอดแห่งสำนักธาราเทพ เย่จั้งบุตรโลหิตแห่งสำนักธาราโลหิต คารวะบุรพาจารย์ทั้งสองท่าน!”

เสียงของเขาดังขึ้นมา บุรพาจารย์ตระกูลซ่งและเถี่ยมู่เจินเหรินที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาทั้งสองข้างค่อยๆ เปิดดวงตาทั้งคู่ขึ้นมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน สำหรับท่าทางเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน คนทั้งสองล้วนรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“ท่านพ่อบุญธรรม บุรพาจารย์ ในฐานะที่ข้าเป็นบุตรโลหิตเขาจงเฟิง เป็นลำดับผู้สืบทอดสำนักธาราเทพ ข้าต้องการสร้างคุณความดีให้กับสำนัก ข้าจะไปฆ่าศัตรูที่สนามรบ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากอย่างหาญกล้า ปราณดุร้ายบนร่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

บุรพาจารย์ตระกูลซ่งและเถี่ยมู่เจินเหรินสีหน้าเหยเก มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน และทันใดนั้นบุรพาจารย์ตระกูลซ่งก็เอ่ยปาก

“อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีไม่ใช่หรือ?”

“ท่านพ่อบุญธรรม เมื่อเทียบกับการสร้างคุณความดีต่อสำนักแล้ว อาการบาดเจ็บเล็กน้อยของข้าจะไปสำคัญอะไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มกว้าง คล้ายไม่สนใจอาการเจ็บของตัวเองแม้แต่นิด ความตั้งมั่นที่เผยออกมาจากนัยน์ตายิ่งดุเดือด

“พวกเราเป็นนักพรต ใครเล่าจะไม่เคยบาดเจ็บ ที่สำคัญที่สุดก็คือ แผลของข้ามีคุณค่า แผลของข้ามีความหมาย แผลของข้า มีเพื่อปกป้องสำนักของเรา!” หลังจากที่ประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา ตลอดทั้งร่างของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ หากคนที่ไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเห็นเข้า ต้องจิตใจสั่นไหว สะท้านสะเทือนไปกับคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้าของเขา เข้าใจว่านี่คือบุรุษกระดูกเหล็กที่มีใจกล้าหาญ ไม่กริ่งเกรงความตาย!

“บนสนามรบอันตรายมากนะ อาจถึงขั้นจบชีวิต เจ้าไม่กลัวหรือ?” เถี่ยมู่เจินเหรินกล่าวเนิบนาบ

ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ ตบหน้าอกตัวเองเสียงดังปักๆ อย่างไม่ใยดี

“ข้าเป็นชายชาตรี ย่อมต้องหลั่งเลือดบนสนามรบ ข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสำนัก จะทนมองเห็นสหายร่วมสำนักถูกเข่นฆ่า ทว่าตัวเองกลับอยู่อย่างสุขสบายได้อย่างไร นี่ ไม่ใช่วิธีการของข้าป๋ายเสี่ยวฉุน และยิ่งไม่ใช่วิถีทางของข้าเย่จั้ง!

บุรพาจารย์สองท่านไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้า…ข้าจะต้องไปสนามรบให้ได้!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เสียงดังทรงพลัง ยืนหยัดมั่นคง พลังอำนาจระเบิดออก

“ดี นี่ต่างหากถึงจะสมกับเป็นบุตรบุญธรรมของข้า นี่คือป้ายคำสั่งนำส่ง เจ้าถือป้ายนี้เอาไว้ พรุ่งนี้ไปที่ค่ายกลนำส่งก็จะสามารถเหยียบย่างเข้าไปยังจุดที่ตั้งค่ายของฝ่ายเรา ในขอบเขตของสำนักธาราทมิฬ!”

บุรพาจารย์ตระกูลซ่งมองเถี่ยมู่เจินเหรินหนึ่งครั้ง หลังจากคนทั้งสองประสานสายตากัน ต่างก็พยักหน้าให้กันเบาๆ จากนั้นจึงหัวเราะฮ่าๆ มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งก็ลอยออกมาหาป๋ายเสี่วฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนรับมาไว้แล้วหัวเราะอย่างสง่าผ่าเผย

“เหตุใดต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ ใจอยากสังหารศัตรูของศิษย์เดือดพล่านขึ้นมาแล้ว ใจนี้ไม่คิดรอให้ผ่านคืนนี้ไป ข้าจะมุ่งหน้าไปยังค่ายกลนำส่ง ตรงไปที่สนามรบ เพื่อสละจิตใจและร่างกายให้กับสำนักทั้งสองของข้าทันที!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้งพร้อมรอยยิ้ม แปลงร่างเป็นรุ้งเส้นยาวตรงดิ่งไปยังทิศทางที่ตั้งของค่ายกลนำส่ง เข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว ไม่นานแสงของค่ายกลก็พลันระเบิดพร่าง ท่ามกลางค่ำคืนมืดมิดจึงดูสะดุดตาเป็นพิเศษ สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ในค่ายกลได้รำไร เรือนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เส้นผมปลิวสยาย พลังอำนาจสะท้านฟ้า แฝงไว้ด้วยความยึดมั่น แฝงไว้ด้วยความดุร้าย แฝงไว้ด้วยความรักในคุณธรรมค่อยๆ พร่าเลือนลง…

บุรพาจารย์ตระกูลซ่งและเถี่ยมู่เจินเหรินหัวเราะพรืด มองหน้ากัน ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ต่างคนก็เริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่าย มองแล้วไม่ขัดหูขัดตาเหมือนตอนแรกเริ่มเท่าไหร่นัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!