บทที่ 292 ข้าจะ…หลอมยา!
ป๋ายเสี่ยวฉุนไตร่ตรอง แม้ว่าเขาจะผ่านการขัดเกลามาจากสำนักธาราโลหิต ทว่าก็ยังคงยากที่จะกลายมาเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหด ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา ตอนนี้ในตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรมีนักพรตอยู่ไม่มาก คนเหล่านั้นที่อยู่กลางวังใต้ดินเองก็มีอาการบาดเจ็บอยู่กับตัว ขอแค่เขาออกคำสั่งเพียงคำเดียว ก็สามารถทำให้ทุกคนของตระกูลนี้รวมไปถึงพรรคพวกของสำนักธาราทมิฬที่ยังหลงเหลืออยู่ดับสลายไปได้ทั้งหมดในพริบตาเดียว
ท่ามกลางการใคร่ครวญ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองทุกคนที่อยู่ในหุบเขา พลันเอ่ยปาก
“ในเมื่อพวกเจ้าเลือกที่จะติดตามพวกเราสองสำนัก เหตุใดต้องทำเช่นนี้…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวเนิบช้า เนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วพลันเปล่งแสงจัดจ้าดุจดวงตะวัน พลังควบคุมแข็งแกร่งระลอกหนึ่งระเบิดออกมาจากในเนตรทงเทียนแล้วโจมตีโครมลงไปยังวังใต้ดินล่างหุบเขาตามสายตาของเขาทันที
คนเจ็ดแปดคนของสำนักธาราทมิฬที่อยู่ในวังใต้ดินเดิมทีก็บาดเจ็บอยู่แล้ว เวลานี้ร่างของพวกเขาพลันสั่นเยือก หน้าผากของแต่ละคนมีเส้นเอ็นปูดโปน คำรามเสียงแหบแห้ง แต่กลับมิอาจควบคุมร่างกายตัวเองได้ พากันยกมือขวาขึ้นแล้วตบลงไปกลางกระหม่อมของตัวเองอย่างแรง
เสียงโพล๊ะดังสะท้อน คนเจ็ดแปดคนนี้กระอักเลือดแล้วขาดใจตายไปทันที มีเพียงผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ดิ้นรนจนหลุดรอดมาได้ เลือดสดยังคงไหลรินตรงมุมปาก พุ่งถลาออกมาจากวังใต้ดินด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวหนีทะยานออกไป
ภาพนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรในหุบเขาพากันหน้าถอดสี แต่ละคนเผยความหวาดผวาพรั่นพรึง โดยเฉพาะบุรพาจารย์ที่ยิ่งหน้าซีดขาว ร่างโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่
ผู้อาวุโสคนนั้นของสำนักธาราทมิฬยังบินออกไปได้ไม่ไกลนัก เจี่ยเลี่ยก็พุ่งพรวดไล่ตามไปทันที ไม่นานเสียงร้องโหยหวนก็ดังมาจากทิศทางที่ห่างไกล และนักเจี่ยเลี่ยก็หิ้วหัวของผู้เฒ่าคนนั้นกลับมาหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมไอดุร้ายที่แผ่ไปทั่วร่าง ตอนที่มองมายังทุกคนในหุบเขา เขายังเลียริมฝีปากคล้ายกระหายเลือด
ไม่เพียงเจี่ยเลี่ยเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ นักพรตสองสำนักคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
ตลอดทั้งหุบเขาเงียบสงัด ทุกคนของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนี้ขมขื่น ทั้งยังสิ้นหวัง
“สงครามครั้งนี้ไม่เกี่ยวว่าใครถูกใครผิด ต่างกันเพียงแค่จุดยืนเท่านั้น…เรื่องในครั้งนี้คือการเตือน ติดตามพวกเราสองสำนัก อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองทุกคนของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ตรงนี้ด้วยสายตาแน่วนิ่ง หลังจากพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เหยียบบนกระบี่โลหิตแล้วจากไปไกล ส่วนนักพรตหลายคนที่อยู่รอบด้านหลังจากที่มองตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนี้ด้วยสายตาเย็นชาแล้วก็บินจากไปเช่นกัน
จนกระทั่งแน่ใจว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปแล้วจริงๆ ทุกคนของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรก็รู้สึกราวกับกำลังฝัน ความรู้สึกที่เหมือนเพิ่งเดินออกมาจากประตูยมโลก ทำให้พวกเขาทุกคนผวาอยู่ในใจ หลังจากเงียบงันกันไปนาน ดวงตาของบุรพาจารย์สร้างฐานรากช่วงกลางผู้นั้นก็เผยความเลื่อนลอย ทว่าไม่นานก็กลายมาเป็นเด็ดเดี่ยว
“คนผู้นี้…น่าจะเป็นผู้ที่ทุกคนเอ่ยขานถึง…ป๋ายเสี่ยวฉุน สมกับที่เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ เพียงแค่สายตาเดียวก็สังหารทุกคนของสำนักธาราทมิฬได้…ทั้งยังมีมโนธรรมสูงส่ง ยอมปล่อยพวกเรา…มีทั้งพระเดช ขณะเดียวกันก็มีทั้งพระคุณ นอกจากจะไม่ทำให้คนเกิดอคติแล้ว ยังรู้สึกซาบซึ้งใจด้วย…” ผู้เฒ่าคนนี้มองคนในตระกูลที่อยู่ด้านข้าง ในนั้นมีคนไม่น้อยที่บัดนี้เผยความตื้นตันออกมา
“หึหึ…ด้วยวิธีการเช่นนี้ วันหน้าเด็กคนนี้ย่อมโบยบินทะลุฟ้าอย่างแน่นอน!” ผู้อาวุโสกัดฟันแน่น พลันยกมือขวาขึ้น แสงกระบี่เส้นหนึ่งคำรามตรงเข้าตวัดฟันคนสามคนในตระกูลที่อยู่ข้างกายเขา!
สามคนนี้ไม่ทันได้เตรียมตัวแม้แต่นิด ขณะที่ยังร้องโหยหวนหัวก็หลุดออกจากบ่าไปแล้ว
“ตระกูลหันอวิ๋นของข้า นับแต่นี้ไปขอติดตามสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิต ทั้งสามคนนี้มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับสำนักธาราทมิฬ สังหารพวกเขาตั้งแต่ตอนนี้ก็เท่ากับตัดขาดความสัมพันธ์กับสำนักธาราทมิฬ ถือเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู!”
“หากข้าไม่ได้ขัดขวางสงครามระหว่างสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิต เกรงว่าไม่นานหลังจากนั้นคงเป็นคนของสำนักธาราทมิฬที่เป็นฝ่ายได้มากวาดล้างเศษซากชั่วร้ายที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย ขณะที่กำลังใคร่ครวญก็พบว่าเมื่อนักพรตสองสำนักที่อยู่รอบด้านมองมายังตน นัยน์ตาของพวกเขาต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
ความกระตือรือร้นในดวงตาไม่เพียงแต่ยิ่งมีมาก ทั้งยังมีความเคารพยำเกรงปรากฏเพิ่มขึ้น เห็นได้ชัดว่าการจัดการกับตระกูลหันอวิ๋นและเศษซากที่เหลือของสำนักธาราทมิฬ ทำให้ในใจของนักพรตทั้งสองสำนักต่างก็เห็นด้วยไม่มากก็น้อย
แม้แต่เป่ยหันเลี่ยเองก็ยังรู้สึกเช่นนี้ ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเขาฉายแสงแปลกประหลาด ส่วนเจี่ยเลี่ยและเสินซ่วนจื่อต่างก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนแย้มยิ้ม สูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ดีว่าในที่สุดตัวเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว…เรื่องบางเรื่อง ต่อให้ตนไม่ยินดีจะทำ แต่เพื่อปกป้องญาติมิตรของตัวเอง ปกป้องสำนักของตัวเอง ยังไงก็ต้องทำ
“ไหล่ของข้าไม่กว้างพอ ไม่สามารถแบกรับโลกทั้งใบได้ ที่ข้าแบกรับได้…มีเพียงสำนักของข้า ญาติของข้า มิตรสหายของข้า…”
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยประกายแสงลึกล้ำ ตบะแผ่ออก ปราณกระบี่ส่งเสียงดังอึกทึก ความเร็วยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม คำรามไปตลอดทาง บินผ่านตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ใต้สังกัดตระกูลแล้วตระกูลเล่า ทุกที่ที่ผ่าน ฟ้าดินครั่นครืน อยู่ไกลมากก็ยังมองเห็น
ไม่ว่าจะเจอนักพรตคนใดของสำนักธาราทมิฬ ล้วนไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือเอง คนหลายร้อยคนที่อยู่รอบด้านต่างกระโจนเข้าใส่ และตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้ปฏิบัติอย่างเสมอภาคทุกตระกูล ภายใต้การแยกแยะและสังเกตการณ์ของเขา มีทั้งปฏิบัติเหมือนตระกูลหันอวิ๋น และมีทั้งใจแข็งกำจัดทิ้ง
และก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้เกิดพลานุภาพสยบ และก็มีเพียงจัดการแนวหลังให้มั่นคง ถึงจะสามารถประคับประคองสงครามในแนวหน้า ผลักดันให้ดำเนินการต่อไปได้
ทว่าการกวาดล้างเช่นนี้ หลังจากผ่านไปแล้วหลายครั้ง เนื่องจากข่าวที่แพร่ออกไป เนื่องจากตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรหลายตระกูลมีการเตรียมตัวรับมือ เรื่องการค้นหาพรรคพวกของสำนักธาราทมิฬที่หลงเหลืออยู่จึงเริ่มยากมากขึ้น นอกเสียจากว่าจะไม่แบ่งแยกถูกผิด แล้วจู่โจมอย่างรุนแรงโดยตรง ทว่าการทำเช่นนี้หากเกิดขึ้นหลายครั้งเข้า จะนำไปสู่การล่มสลายของตลอดทั้งฝ่ายหลัง เพราะยังไงซะอิทธิพลของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็มิอาจมองเป็นเรื่องเล็กได้ มิฉะนั้นที่ผ่านมากองทัพของสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพก็คงกำจัดไปได้หมดแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรบชนะสำนักธาราทมิฬไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด สำหรับสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตแล้ว การฮุบกลืนและรวมตัวกันเพื่อทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่มากขึ้นถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ
จนกระทั่งผ่านตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรสามแห่งและทุกแห่งล้วนปิดประตูไม่ต้อนรับ ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเอ่ยปากอย่างไรก็ไร้ซึ่งการตอบรับ ไม่แยแสและไม่ยี่หระ นั่นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธขึ้นมาทันที ยังดีที่ถึงแม้ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้จะไม่สนใจใยดีเขา ทว่ากลับมอบของมีค่ามาให้ส่วนหนึ่ง นั่นถึงพอทำให้ป๋ายเสี่วฉุนยอมรับได้อย่างกล้อมแกล้ม
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้ม มองดูแผ่นหยกในมือตัวเองแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น ในแผ่นหยกภารกิจนี้เอ่ยถึงตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรหกแห่ง ซึ่งตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหกแห่งนี้แทบจะมีหลักฐานเพียบพร้อมชี้ชัดว่าต้องเป็นเศษซากพรรคพวกของสำนักธาราทมิฬที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นพวกที่มีใจไม่ซื่อสัตย์ด้วย
“ไม่เข้าใจเลยว่าบุรพาจารย์พวกนั้นคิดอะไรอยู่ มีหลักฐานคาตาชัดเจนขนาดนี้ เหตุใดไม่ส่งคนมากำจัดโดยตรงไปเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันดวงตาเป็นประกาย ตบขาป้าบใหญ่
“ข้าเข้าใจแล้ว บัดซบเอ๊ย ทำไมข้าถึงได้หัวช้าขนาดนี้ นี่คือของรางวัลที่พวกบุรพาจารย์มอบให้ข้าชัดๆ นี่คือการเปิดโอกาสให้ข้าได้รีดไถนี่นา…พอข้ารีดไถเสร็จเรียบร้อย สำนักก็จะส่งคนมาจัดการทีหลัง!”
“ฮ่าๆ ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าก่อนหน้านั้นตัวเองช่างโง่เง่ายิ่งนัก ถึงได้มองมันเป็นภารกิจจริงๆ จังๆ
“พวกบุรพาจารย์นี่ก็จริงๆ เลยนะ เห็นๆ อยู่ว่าอยากมอบรางวัลให้ข้า แค่พูดตรงๆ เสียก็สิ้นเรื่อง จะทำให้ลึกลับซับซ้อนแบบนี้ไปทำไม” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจ ทั้งยังมากด้วยความคาดหวัง กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวพาคนหลายร้อยคนที่อยู่ข้างกาย ตรงดิ่งไปหาตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลถัดไป
หนึ่งวันหลังจากนั้น ยอดเขาเขียวขจีแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทุกคน ทั้งในและนอกภูเขามีแสงเปล่งประกายระยับ แอบเห็นได้ถึงค่ายกลที่เปิดออก การป้องกันแน่นหนาอย่างถึงที่สุด
“ตระกูลเสวียนกวาง ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับคำสั่ง…” พอเห็นว่าตระกูลที่อยู่ในภูเขาเบื้องหน้านี้ปิดประตูแน่นสนิทเหมือนกับตระกูลอื่นของเมื่อหลายวันก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้งานดีแล้ว ดังนั้นจึงเดินอาดๆ ออกมายืนอยู่บนกระบี่โลหิต กำลังจะพูดบอกเป็นนัย
ทว่าเขายังไม่ทันพูดจบ เสียงตูมตามสนั่นหวั่นไหวก็ดังขึ้น บนยอดเขาแห่งนั้นเวลานี้พลันปรากฏแสงที่ก่อตัวเป็นยักษ์ตนหนึ่ง เรือนกายมหึมา สูงทัดเทียมกับภูเขาลูกนี้
ดวงตาทั้งคู่ของยักษ์ตนนี้ปิดสนิทคล้ายกำลังหลับลึก ทว่ากลับมีเสียงกึกก้องดังลอยออกมา
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ตระกูลเสวียนกวางของข้าปิดภูเขาแล้ว ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า!”
หลังจากเสียงที่ราวกับอสนีบาตนี้ดังก้องไปสี่ทิศ ร่างยักษ์ตนนั้นก็หดตัวลงเล็ก สุดท้ายจึงสลายหายไป ตลอดทั้งยอดเขายังคงมีแสงสว่างพร่างพราว ทว่าไม่มีเสียงใดดังเล็ดรอดออกมาอีก คล้ายตั้งใจมั่นแล้วว่าจะปิดภูเขาจริงๆ
สำหรับการโดนตัดบทคำพูดเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่พอนึกได้ว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายจะมอบของมีค่ามาให้ เขาถึงได้สะกดกลั้นอารณ์ที่ขุ่นเคืองลงไป ไอแห้งๆ หนึ่งครั้งแล้วจึงกล่าวว่า
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าปิดภูเขา แต่ยังไงข้าก็ไม่ควรมาเสียเที่ยว เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้า…”
“ไสหัวไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันพูดจบ บนภูเขาอันเป็นที่ตั้งของตระกูลเสวียนกวางก็พลันมีเสียงตวาดเดือดดาลดังลอยมาทันที
“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายไม่ค่อยเหมือนกับหลายตระกูลก่อนหน้านี้ที่เขาเจอมานัก โดยเฉพาะการที่อีกฝ่ายถึงขนาดตัดบทคำพูดเขาถึงสองครั้ง นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธปรี๊ดขึ้นมาทันที
“พวกเจ้าพูดจาหยาบคายแบบนี้ได้ไง ข้าไม่ได้ไร้เหตุผลเสียหน่อย พวกเราบินมาไกลมากขนาดนี้ พวกเจ้า…”
“ไสหัวไป๊!!” คราวนี้น้ำเสียงบนภูเขายิ่งขุ่นแค้น คำรามดังราวเสียงฟ้าผ่า
“ย่าเจ้าสิ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันควัน ถูกขัดจังหวะติดต่อกันถึงสามครั้ง ไฟโทสะของเขาจึงถูกจุดขึ้นมาทันที โดยเฉพาะนึกถึงความน่ารังเกียจของอีกฝ่ายที่ไม่ยอมให้ตนตรวจสอบก็ยังพอว่า ไม่ให้ของมีค่าก็ยังพอทน แต่นี่กลับถึงขนาดด่ากันซึ่งๆ หน้า!
“ศิษย์หลานทุกคน ในเมื่อศัตรูเจ้าเล่ห์เพทุบายถึงเพียงนี้ พวกเราต้องเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าถึงจะถูก มิฉะนั้นภารกิจนี้คงมิอาจสำเร็จได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองทุกคนที่อยู่รอบด้านพร้อมความแค้นเคือง พวกเป่ยหันเลี่ยสามคนหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ มองหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
“ค่ายกลของตระกูลเสวียนกวางรวบรวมพละกำลังของทั้งภูเขาเอาไว้ ต่อให้พวกเราโจมตีให้แตกทลาย ในระยะเวลาสั้นๆ ก็คงยากที่จะทำได้ หากถูกบีบให้ร้อนรนอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของแนวหลัง เจ้าจะมีวิธีการใดอีกล่ะ” เป่ยหันเลี่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็กลัดกลุ้มอย่างมาก พากันหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็กลุ้มใจ รู้สึกว่าของรางวัลที่พวกบุรพาจารย์มอบให้เหตุไฉนถึงทำให้คนไม่สบายใจขนาดนี้ ขณะที่กำลังใคร่ครวญอยู่นั้น เขาก็พลันกัดฟันกรอด
“ในเมื่อพวกเขารังแกกันมากถึงเพียงนี้ ข้า…ข้าจะ…หลอมยา!” คำพูดนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา นักพรตทุกคนของสองสำนักตัวสั่นเทา ทั้งยังมีคนร้องอุทานเสียงหลง ความโกลาหลอลหม่านพลันบังเกิด ชั่วเวลาแค่พริบตาเดียว คนหลายร้อยคนก็พากันถอยห่างไปไกลหลายสิบจั้ง ทอดสายตามองไกลๆ มายังป๋ายเสี่ยวฉุน
พวกเป่ยหันเลี่ยสามคนเร็วที่สุด พอได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะหลอมยา ทุกคนก็หน้าเผือดสี ถอยกรูดเร็วจี๋