บทที่ 314 สำนักอยู่ ข้าอยู่!
บุรพาจารย์หลายคนของสำนักสยบธารมองหน้ากันไปมา ต่างก็มีสีหน้าตื่นเต้น ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตสูดลมหายใจเข้าลึก ประสานมือโน้มตัวลงคารวะ
“พวกข้าน้อมรับโองการ!”
“เกี่ยวกับการเสนอเรื่องท้ารบของพวกเจ้า สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของเราอนุญาตให้สำนักสยบธารของเจ้าดับทำลายสำนักธารฟ้า เพื่อเข้าไปแทนที่” เสียงทุ้มต่ำดังกึกก้องอีกครั้ง แต่ละคำดังเกินกว่าเสียงฟ้าผ่า ระเบิดออกไปแปดทิศ หลังจากที่พูดคำสุดท้ายจบ แสงสีทองเส้นหนึ่งก็บินออกมาจากในช่องโหว่ ตรงดิ่งเข้าหาปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิต แปลงเป็นแผ่นหยกสีทองหนึ่งแผ่นเบื้องหน้าเขา!
เวลาเดียวกันนั้น รอยโหว่กลางนภากาศก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่ายักษ์ตนนั้นไม่เคยปรากฏกายมาก่อน รอบด้านเกิดความเงียบในชั่วระยะเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตก็ชูแผ่นหยกสีทองขึ้นสูง!
วินาทีที่เขาชูแผ่นหยกนี้ขึ้น นักพรตสำนักสยบธารที่อยู่รอบด้าน รวมไปถึงคนที่เข้าร่วมงานพิธีจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนพื้นดินต่างกู่ร้องเสียงดัง!
“สยบธารต้องชนะ!”
“สยบธารต้องชนะ!”
“สยบธารต้องชนะ!!”
เสียงดังเกินเสียงฟ้าคำรณ เมื่อแผ่กระจายออกไปเป็นทอดๆ ทั่วโลกใบนี้แล้ว นักพรตสำนักสยบธาร โดยฉพาะคนของสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตต่างก็แผดเสียงคำรามแหบแห้งด้วยความห้าวหาญ แม้แต่ลูกศิษย์ของสำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถเองก็ยังได้รับอิทธิพลไปด้วย ต่างก็เกิดความมั่นใจและคาดหวังในสำนักใหม่แห่งนี้
เพราะยังไงซะ…การรวมตัวกันที่ดีที่สุด การปรับตัวเข้าหากันที่ดีที่สุด ก็คือ…สงคราม!
เมื่ออยู่ภายใต้พลังของการหลอมรวมเลือดเนื้อเพื่อการทำสงครามนี้ ถึงจะทำให้ทั้งสี่สำนักผสานกลมเกลียวเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง แปรเปลี่ยนอย่างแท้จริง ก่อเกิดเป็นความรุ่งโรจน์ชัชวาลครั้งใหม่!
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ขึ้นมารับการแต่งตั้ง!” ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของคนทั้งหลาย ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตกวาดสายตามองไปรอบด้าน สุดท้ายมาตกอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงของเขาข่มทับเสียงจอแจทั้งหมด กลายมาเป็นสิ่งเดียวที่ปรากฏอยู่ในจิตใจของคนทุกคน!
ป๋ายเสี่ยวฉุนร่างสั่นเยือก ภายใต้สิ่งแวดล้อมเช่นนี้ เลือดร้อนของเขาเดือดพล่านไปตลอดทั้งร่าง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งเพื่อทำอารมณ์ให้สงบ เดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าบุรพาจารย์ก่อกำเนิดทั้งสิบเจ็ดท่าน
“ศิษย์ป๋ายเสี่ยวฉุน คารวะบุรพาจารย์ทุกท่าน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนประสานมือคารวะ สีหน้าเคร่งขรึม ทั้งยังแผ่ไอดุร้ายอบอวล ตลอดทั้งร่างส่งเจตจำนงของผู้กล้าเลือดเหล็ก ดุจดั่งเทพเจ้าแห่งสงคราม พลังอำนาจโดดเด่นไม่เป็นรองใคร
เหลี่ยมมุมบนใบหน้าของเขาเด่นชัด คล้ายมีความเย็นชาเลือดเย็นแฝงไว้ภายใน สายตาลึกล้ำประหนึ่งมีดวงดาราบนจักรวาลเคลื่อนโคจรอยู่ในนั้น โดยเฉพาะพลังของปราณเลือดที่ยิ่งซัดตลบออกไปทั่วด้าน ราวกับกลายมาเป็นเกราะเหล็กสีเลือด ผ้าคลุมสีเลือด!
บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนในนาทีนี้มองไม่เห็นความขี้ขลาดใดๆ มองไม่ออกถึงความเกเรแม้แต่นิด เขาในสายตาของทุกคน ตั้งตระหง่านดุจขุนเขา ลึกล้ำดุจมหาสมุทร!
ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นสะท้านไปทั้งจิตวิญญาณทันที โดยเฉพาะนักพรตเหล่านั้นที่เพิ่งเคยเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นครั้งแรก แต่ละคนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ นัยน์ตาเผยความเคารพยำเกรง พวกเขาได้ยินชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนี้มานานแล้ว ทั้งยังได้ยินว่าก็เป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุน…ที่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตะวันออกตอนล่าง!
ตอนนี้ เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง นักพรตเหล่านั้นที่ไม่เคยเจอป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อนจึงพากันรู้สึกได้ถึงความสุขุมน่ากริ่งเกรงอย่างที่ไม่มีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนใดเทียบเคียงได้จากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจพวกเขามีความคิดอย่างเดียวว่า นี่ก็คือ…ผู้ไร้เทียมทานสมคำเลื่องลือ!
“เขาก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน?! สมแล้วกับที่เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก่อนหน้านั้นก็เคยได้ยินข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับเขา มีคนบอกว่าคนผู้นี้ปรีชาฌานองอาจห้าวหาญ เกิดมาก็มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา ดุจดั่งดวงดาราบนท้องฟ้า เปล่งประกายแสงระยิบระยับไร้ที่สิ้นสุด! ทว่าก็มีคนไม่น้อยที่บอกว่าคนผู้นี้ขี้ขลาดกลัวตาย ต่ำช้าไร้ยางอาย…”
“บุคคลเช่นนี้ย่อมมีคนริษยาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ข่าวไม่ดีเกี่ยวกับคนผู้นี้ที่ข้าเคยได้ยินมาดูท่าคงเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง”
ทว่าพวกคนที่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุน สำนักธาราโลหิตยังดีหน่อย แต่พวกคนของสำนักธาราเทพกลับมีคนไม่น้อยที่เบิกตาถลนราวกับไม่เคยรู้จักเขามาก่อน จางต้าพั่งสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ โหวอวิ๋นเฟยอมยิ้มส่ายหัว พวกสวีเป่าไฉก็ยิ่งทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง รู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนได้ฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงสีหน้าท่าทางจนชำนาญถึงขั้นสุดยอดไปแล้ว
ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจ เบิกบานถึงขีดสุด ในสมองล้วนเต็มไปด้วยจินตนาการภาพถึงความโอ่อ่าและมีหน้ามีตาหลังจากที่ตัวเองกลายเป็นบุรพาจารย์น้อย ในใจยิ่งมากไปด้วยความรอคอย ทว่าภายนอกกลับไม่แสดงออกแม้แต่นิด สีหน้าเคร่งขรึมราวกับนักรบเลือดเหล็ก ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความเย็นชาเฉยเมย วางมาดอย่างที่เคยแสดงออกตอนเป็นเย่จั้ง ดึงดูดเสียงไชโยกู่ร้องจากคนเหลือคณานับ ขณะเดียวกันก็ทำให้บุรพาจารย์ทั้งสิบเจ็ดท่านพากันทำหน้าตาเหยเก ถอนหายใจอยู่ในใจ พวกเขากลัวว่าบนงานพิธียิ่งใหญ่อลังการนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจะแสดงท่าทางเช่นเดียวกับที่ทำในตำหนักใหญ่วันนั้น…
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ตำแหน่งบุรพาจารย์น้อยของสำนักสยบธาร เป็นตัวแทนของภาระบนบ่าที่ยากลำบากและหนักอึ้ง นับแต่นี้ไป ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าล้วนเป็นจุดศูนย์กลางของสำนัก ชีวิตของเจ้า ความรุ่งโรจน์ของเจ้า ทุกอย่างของเจ้า…ล้วนมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสำนักอย่างที่มิอาจตัดขาดได้!”
“สำนักรุ่งโรจน์ เจ้าก็รุ่งโรจน์ สำนักอัปยศ เจ้าก็อัปยศ! ในทางตรงกันข้ามก็เป็นเช่นเดียวกัน!”
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เจ้า…บ้านของเจ้า รากฐานของเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า…ล้วนดำรงอยู่ไปพร้อมกับสำนัก!”
“หากมีวันหนึ่ง สำนักไม่อยู่แล้ว เจ้าต้องสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ หากมีวันหนึ่ง สำนักรุ่งโรจน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่นเดียวกัน เจ้าก็มีหน้าที่รับผิดชอบปกป้องสำนัก ไม่ให้สำนักสยบธารแตกแยก ไม่ให้สำนักสยบธารหลงทางไปจากเจตจำนงเดิม!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้า…พร้อมหรือยัง บ่าของเจ้าสามารถแบกรับหน้าที่นี้หรือไม่ ตอบข้ามา!” ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำเสียงดังกระจายไปสี่ทิศ ก่อให้เกิดเสียงอากาศระเบิดเป็นทอดๆ ทำให้ทุกคนที่ได้ยินล้วนจิตใจสะท้านไหว
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือก บัดนี้เขาเก็บเอาความลำพองใจทั้งหมด เก็บเอาความคิดเกี่ยวกับการโอ้อวดตัวและความมีหน้ามีตาทั้งหมดกลับคืนมา เขายืนเงียบงันอยู่ตรงนั้น เผยความเอาจริงเอาจังอย่างแท้จริงออกมาอย่างที่เห็นได้น้อยครั้งนัก
เขาพลันค้นพบว่า ตำแหน่งบุรพาจารย์น้อยนี่ไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของความมีเกียรติน่านับถือ แต่นี่คือภาระที่หนักอึ้ง นับแต่บัดนี้ไป เขาและสำนักสยบธาร…ไม่สามารถแยกออกจากกัน และตัดขาดกันไม่ได้ไปตลอดชีวิต
ที่นี่…จะกลายมาเป็นบ้านของเขา และก็คือสถานที่ที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตนี้ของเขา นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความเลื่อนลอยเล็กน้อย เขาคิดถึงเรื่องราวมากมาย นึกถึงเขาเม่าเอ๋อร์บนเทือกเขาตงหลิน นึกถึงญาติพี่น้องร่วมหมู่บ้าน นึกถึงพ่อแม่ที่จับมือตัวเองก่อนจะจากโลกนี้ไป นึกถึงภาพที่ตัวเองจุดธูปครั้งแล้วครั้งเล่า นึกถึงทุกสิ่งในสำนักธาราเทพ นึกถึงทุกอย่างในสำนักธาราโลหิต
เขาหันกลับไปมองหลี่ชิงโหวที่อยู่ในบรรดาลำดับผู้สืบทอดหนึ่งครั้งโดยไม่รู้ตัว ในใจหลี่ชิงโหวยามนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง เขาภูมิใจที่ป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งตัวเองพาขึ้นเขามา ในที่สุดก็…เติบโตแล้ว ทั้งยังเดินมาสู่จุดสูงอย่างตอนนี้ด้วย หลังจากที่สัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหันมามองตัวเอง บนใบหน้าของหลี่ชิงโหวจึงเผยรอยยิ้มปลื้มปิติ
มองเห็นรอยยิ้มของหลี่ชิงโหว ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง นัยน์ตาเผยความเด็ดเดี่ยว ประสานมือคำนับปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิต
“ข้า…พร้อมแล้ว” เพียงสามคำ เขาพูดช้ามาก เพราะว่าสามคำนี้หนักอึ้งเกินไป ทว่าเขาก็ยัง…พูดออกมาจนจบ วินาทีที่พูดจบ สายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนไม่ได้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกมีหน้ามีตา แต่กลับรู้สึกว่านับแต่บัดนี้ไป บนไหล่ของตัวเองมีภาระหน้าที่ที่ตัวเองต้องแบกรับเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน!
ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตมองนิ่งมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ด้วยอายุของเขา ด้วยตบะของเขา เขามองออกว่าคำตอบของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ออกมาจากใจจริง หลังจากที่พยักหน้าน้อยๆ เขาก็หันไปมองบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพ หลังจากที่คนทั้งสองมองตากัน ต่างก็มองออกถึงความเด็ดเดี่ยวและมั่นคงในสายตาของอีกฝ่าย
“นับแต่นี้ไป แต่งตั้งป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นบุรพาจารย์น้อยของ…สำนักสยบธาร!” ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตไร้ซึ่งความลังเลใดๆ หลังจากที่เขาเอ่ยปาก ตลอดทั้งฟ้าดิน นักพรตสำนักสยบธารทุกคนล้วนร่างสั่นเทิ้ม พากันหันมาประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียง
“คารวะ บุรพาจารย์น้อย!”
การคำนับครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์ฝ่ายในลูกศิษย์ฝ่ายนอก ยังมีลูกศิษย์สร้างฐานราก นักพรตยาอายุวัฒนะ ตำแหน่งบุรพาจารย์น้อยนี้ เป็นตัวแทนว่าตลอดทั้งในสำนัก เป็นรองแค่บุรพาจารย์ อยู่เหนือลำดับผู้สืบทอด!
เวลานี้พวกซ่งเชวียก็ทำได้เพียงก้มหน้า ซ่างกวานเทียนโย่วกำหมัดแน่น ในใจขมปร่า ก้มหน้าลงเช่นกัน
เสียงตูมตามดังสะท้อนไปสี่ทิศ ก่อเกิดเป็นเสียงอสนีบาตดังไม่ขาดสาย บนพื้นดิน ทุกคนที่เข้าร่วมงานพิธีล้วนคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คารวะบุรพาจารย์น้อยสำนักสยบธาร!”
เสียงยิ่งดังสนั่น ดังเกินทุกอย่าง เสียงสะท้อนไร้ที่สิ้นสุดระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่ขยายไปทั่วตลอดทั้งฟ้าดินแห่งนี้อย่างดุเดือด ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้นน้อยๆ เขาก้มหน้าลงมองทุกอย่างนี้ คลื่นอารมณ์ในใจกระเพื่อมไหว ในใจมีถ้อยคำนับพันนับหมื่น แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
สุดท้ายความคิดมากมายกลับหลงเหลือเพียงแค่ประโยคเดียว ไม่ได้พูดออกมา ทว่ากลายเป็นตราประทับที่นาบลงไปกลางใจของเขา เป็นตราประทับที่มิอาจลบเลือน และไม่ยินยอมให้ลบเลือนไปชั่วชีวิต
“สำนักอยู่ ข้าอยู่!”
ประโยคนี้เขาพึมพำอยู่ในใจ ต่อให้ไม่ได้เอื้อนเอ่ย ทว่าท่าทางของเขา เสียงหัวใจของเขา สีหน้าของเขาล้วนอยู่ในสายตาของบุรพาจารย์ก่อกำเนิดสำนักสยบธาร สายตาของคนเหล่านี้แตกต่างกันออกไป มีทั้งปลดปลง มีทั้งย้อนนึกความทรงจำ มีทั้งให้กำลังใจ
เวลาเดียวกันนั้น บนหลังคาที่พักวิเศษแห่งหนึ่งในเมืองคูน้ำ ลิงเฒ่านั่งอยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองทุกภาพเหตุการณ์บนท้องฟ้า ใบหน้าเผยรอยยิ้มเมตตาปราณี
“เจ้าหนูป๋าย สำนัก…จะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน!” ลิงเฒ่าพึมพำเสียงเบา ด้านข้างของเขามีกระต่ายตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ กระต่ายตัวนี้เวลานี้ก็เบิกตาค้าง เหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
——
*ชี้แจงสำหรับชื่อของสำนัก – เนื่องจากผู้อ่านเสนอความเห็นเกี่ยวกับชื่อสำนัก”สยบลำธาร” มาค่อนข้างเยอะ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ชอบชื่อนี้และเสนอให้ชื่อ”สยบธารา” กันเป็นส่วนมาก ผู้แปลจึงขอชี้แจงดังต่อไปนี้นะคะ
1. เดิมทีผู้แปล แปลไว้ว่า”สยบธาร” แต่เนื่องจากมีผู้อ่านท้วงว่ามันห้วนไปฟังดูไม่เพราะจึงเปลี่ยนมาเป็น”สยบลำธาร”
2. ที่ผู้แปลไม่แปลว่า”สยบธารา” เนื่องจากชื่อสำนักนี้เป็นชื่อของแม่น้ำตอนกลาง ซึ่งสำนักแม่น้ำตอนกลางที่มีอยู่ มีคำว่า”ธาร” เช่น สำนักธารฟ้า สำนักธารดารา ฯลฯ ส่วนสำนักตอนล่างที่แยกย่อยมาอีกทีจึงตั้งใจใช้เป็นคำว่า”ธารา” ธาราเทพ ธาราโลหิต ฯลฯ เพื่อให้เชื่อมโยงกับสำนักตอนกลางที่เป็นต้นสังกัด (ในที่นี้คนแปลมิได้ขี้เกียจแปลแต่อย่างใด แต่จุดประสงค์เพราะต้องการให้มีความสอดคล้องกันและใช้คำให้ง่ายที่สุดอย่างที่ผู้อ่านต้องการ เพราะเคยแปลว่าสินธุ นที ผู้อ่านก็บอกว่าลิเกไป -.-” )
3. ในส่วนของการแปลชื่อสถานที่ มีทั้งผู้อ่านที่ต้องการให้ทับศัพท์จีนและมีทั้งให้แปลเป็นไทย ตรงส่วนนี้ผู้แปลทำการตกลงกับทางทีมงานไว้ตั้งแต่ช่วงเริ่มแปลแล้วว่าจะแปลเป็นชื่อไทยแค่ชื่อของสำนักเท่านั้น ส่วนสถานที่อื่นๆ เช่นชื่อภูเขาจะใช้ทับศัพท์จีน เช่นเขาจงเฟิง เขาจื่อติ่ง เทือกเขาลั่วเฉิน ฯลฯ ซึ่งคราวก่อนมีผู้อ่านเสนอมาว่าจำชื่อจีนไม่ได้อยากให้แปลเป็นไทย เนื่องจากเหตุผลข้างต้นผู้แปลจึงตั้งใจว่าหากต่อไปมีชื่อสถานที่แห่งใหม่จะยังคงใช้ทับศัพท์เช่นเดิมแต่จะใส่เชิงอรรถเป็นคำแปลภาษาไทยเพื่อความพึงพอใจของทุกฝ่าย ^^
4. จากการอ่านความคิดเห็นของทุกคนได้ข้อสรุปว่า ไม่ชอบชื่อ”สยบลำธาร” มันไม่ยิ่งใหญ่ ฟังดูไม่เพราะ ผู้แปลจึงขอใช้เป็นชื่อ”สยบธาร” ดังเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับสำนักตอนกลางอื่นๆ เช่นสำนักธารฟ้า สำนักธารดาราตามเหตุผลข้างต้นที่อธิบายไป ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้แปลพยายามแปลให้ถูกต้องครบความตามต้นฉบับโดยที่ตอบสนองความต้องการของผู้อ่านมากที่สุด ซึ่งอาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจใครหลายๆ คน จึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้และขอขอบคุณสำหรับคำติชมและการติดตามด้วยค่ะ: ผู้แปล-ลดาอนัน