บทที่ 315 ความลับของสองสำนัก!
งานพิธีสถาปนาของสำนักสยบธารได้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในงานพิธีครั้งนี้กลายมาเป็นหัวข้อสนทนาที่คนจำนวนมากของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตะวันออกตอนล่างหยิบยกมาพูดกันอย่างสนุกสนาน
ไม่ว่าจะเป็นโองการของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา หรือการแต่งตั้งป๋ายเสี่ยวฉุน และยังมีความแข็งแกร่งของสำนักสยบธาร ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ทุกคนมิอาจลืมเลือนได้
และด่านเมืองคูน้ำอันเป็นที่ตั้งของสำนักชั่วคราวก็ได้ค่อยๆ หมดความคึกคักอย่างที่เคยเป็น นักพรตสำนักสยบธารจำนวนมากทยอยกันถอนทัพออกไป
การตอบรับคำร้องของสำนักสยบธารจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เท่ากับเป็นการจุดสงครามครั้งใหม่ขึ้นมา สำหรับสงครามครั้งนี้ สี่สำนักใหญ่ในสำนักสยบธารล้วนให้ความสำคัญ ให้ความสนใจอย่างมาก หลายคนถึงขั้นรอคอยให้ได้เจอกับสงครามแบบนี้สักครั้งในชีวิตด้วยซ้ำ!
นี่คือศึกของสำนัก นี่คือสงครามที่ตอนล่างจะเลื่อนขั้นเป็นตอนกลาง ศึกครั้งนี้…สำคัญอย่างยิ่งยวด!
การเตรียมตัวมากมายจำเป็นต้องตระเตรียมให้พร้อม ความคิดของบุรพาจารย์ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันมานานแล้ว สงครามครั้งนี้ต้องทุ่มเทสุดพละกำลังโดยไม่สนว่าจะสูญเสียมากเท่าไหร่!
สำนักธาราโอสถและสำนักธาราทมิฬต่างก็กลับไปยังเขตพื้นที่ของตัวเอง พวกเขาจะต้องพกพาเอาทุกอย่างที่สามารถพกพาได้ไปด้วยทั้งหมด รวมไปถึงพลังแฝง รวมไปถึงทุกอย่าง…
ตามการนัดหมาย อีกสองเดือนให้หลังพวกเขาจะมุ่งหน้าไปยังสำนักธาราโลหิต เดินทางโดยแม่น้ำทงเทียนอันเป็นที่ตั้งของสำนักธาราโลหิต…ทวนกระแสธารา มุ่งดิ่งไปยังสำนักธารฟ้า!
ก่อนหน้าที่แต่ละสำนักจะถอนทัพออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนในฐานะที่เป็นบุรพาจารย์น้อยต้องเข้ามีส่วนร่วมกับเรื่องราวมากมายในสำนักสยบธาร ซึ่งค่ำคืนนี้ บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพก็ได้เรียกป๋ายเสี่ยวฉุนไปพูดคุยด้วย
ในตำหนักใหญ่ ผู้ที่เข้าร่วมการพูดคุยครั้งนี้คือบุรพาจารย์ก่อกำเนิดสี่คนของสำนักธาราเทพ โดยยกเว้นเถี่ยมู่เจินเหริน และยังมีเจิ้งหย่วนตงที่นั่งอยู่ด้านข้าง อีกฝั่งหนึ่งคือหลี่ชิงโหว
ก่อนหน้าที่บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพจะเอ่ยปาก เขาโบกมือปิดผนึกสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นหนา ทำให้คำพูดที่จะดังในห้องไม่เล็ดรอดออกไปข้างนอกแม้แต่นิด และก็ไม่มีคนนอกสัมผัสได้ถึงการพูดคุยกันครั้งนี้ ระดับความระมัดระวังถึงขั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึง เขาไม่เพียงแต่ลงมือด้วยตัวเอง แม้แต่บุรพาจารย์คนอื่นๆ ก็ยังลงมือด้วย
โดยเฉพาะท้ายที่สุดคล้ายยังไม่วางใจ บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งยังถึงขนาดหยิบเอาเข็มทิศออกมา หลังจากที่เปิดใช้ เข็มทิศนั้นก็เปล่งประกายแสงสีขาวดำ ปกคลุมไปสี่ทิศ ทำการปิดผนึกในขั้นสุดท้าย
เห็นเข็มทิศนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพสยบที่น่าหวาดกลัวระลอกหนึ่งทันที เข็มทิศที่มองดูแล้วธรรมดาแถมยังผุพังชิ้นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกว่ามันเทียบเคียงได้กับพลังแฝงของสำนักด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าเข็มทิศนี้เสียหายอย่างหนัก คล้ายว่าหลงเหลืออยู่เพียงแค่พลังปิดผนึกมิติเท่านั้น ไม่หลงเหลืออานุภาพอื่นๆ อีก
“มีเข็มทิศปราบเซียนนี้ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตคนฟ้าก็ไม่สามารถสัมผัสถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ” ทำทุกอย่างนี้เสร็จบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งก็ผ่อนลมหายใจ ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเขากลายมาเป็นเคร่งเครียด
“เสี่ยวฉุน เรื่องที่ข้าผู้อาวุโสจะพูดกับเจ้าต่อไปนี้ เจ้าต้องจำไว้ให้แม่นยำ ออกไปจากที่นี่แล้วห้ามนำไปพูดกับใครเด็ดขาด มิฉะนั้นจะนำมาซึ่งภัยพิบัติใหญ่หลวง!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย เขาคิดกับตัวเองว่าถ้าเป็นอย่างนี้ก็สู้ไม่ต้องให้ตนรับฟังจะดีกว่า หากวันไหนปากเร็วพลั้งพูดออกไปก็มิใช่ว่าชีวิตน้อยๆ นี่ต้องหายไปด้วยหรอกหรือ ขณะที่กำลังสองจิตสองใจ บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพก็ค่อยๆ เอ่ยเนิบช้า
“เดิมทีไม่คิดจะพูดกับเจ้า ทว่าในเมื่อตัวเจ้าเป็นบุรพาจารย์น้อยของสำนักสยบธาร เรื่องบางเรื่องหากไม่บอกเจ้า วันหน้าเมื่อเกิดปัญหาจะกลับกลายเป็นว่าทำให้เจ้าเดือดร้อน”
ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้เพียงตั้งใจฟัง สูดลมหายใจเข้าลึก มองบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งตาปริบๆ
“สำนักธาราเทพของเรา…ไม่ใช่คนของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตะวันออก!” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งไม่ได้สนใจสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองไปไกล นัยน์ตาคล้ายกำลังย้อนระลึกความทรงจำ
“ภูมิหลังของพวกเราคือโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำสายเหนือ เคยเป็นสำนักต้นแม่น้ำ ชื่อว่า…หันเหมิน!”
“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนจิตใจสั่นไหว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าพอบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งเปิดปาก จะเอ่ยถ้อยคำแบบนี้ออกมา ไม่คิดว่าสำนักธาราเทพจะมีความเป็นมาเช่นนี้ ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนงงงัน โดยเฉพาะหันเหมินสองคำนี้ทำให้เขานึกถึงคัมภีร์โอสถหันเหมิน
“หันเหมินในอดีตคือสำนักต้นแม่น้ำสายเหนือ เท่าเทียมกับสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เพราะกบฎครั้งหนึ่ง หันเหมินแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ ถูกพวกคนถ่อยฉกฉวยยึดครอง บรรพบุรุษจำต้องข่มกลั้นความอัปยศหนีเอาชีวิตรอด ภายใต้สถานการณ์ที่คนบาดเจ็บล้มประดาตายกันนับไม่ถ้วน สุดท้ายจึงมาถึงโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตะวันออก และตั้งรกรากใหม่อีกครั้ง…อยู่ที่นี่!”
“ผู้ที่หนีมาถึงที่นี่มีเพียงสองคน คนหนึ่งคือ…ท่านอาจารย์ของข้า อีกคนก็คือเจินหลิง[1]ของยุคหันเหมิน!”
“สำนักธาราเทพค่อยๆ กลายเป็นหนึ่งในสี่สำนักของแม่น้ำตะวันออกตอนกลางเพราะการช่วยเหลืออย่างลับๆ ของท่านอาจารย์ และเจินหลิงท่านนั้นของหันเหมินก็คือพลังแฝงที่แท้จริง…ของสำนักธาราเทพเรา!” เสียงของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งดังสะท้อน บุรพาจารย์คนอื่นๆ ต่างเงียบงัน เจิ้งหย่วนตงสีหน้าเคร่งขรึม หลี่ชิงโหวเผยความตกตะลึงออกมาทางดวงตา เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้มาก่อน
“เพียงแต่ว่าปีนั้นเจินหลิงบาดเจ็บหนักเกินไป ทำได้เพียงกลายร่างเป็นซากศพที่หลับสนิท หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยตื่นขึ้นมาก่อน หากต้องการให้นางตื่นขึ้นมา มีเพียงยาทวนธาราเท่านั้นถึงจะทำให้นางตื่นขึ้นมาได้ครู่หนึ่ง เพื่อช่วยคลี่คลายวิกฤตทุกอย่าง”
“และในความเป็นจริงแล้ว นี่ก็คือไพ่ใบสุดท้ายแท้จริงที่ทำให้พวกเรายอมเปิดศึกกับสำนักธาราโลหิตในตอนแรก เพียงแต่ว่าพวกเรามียาทวนธาราแค่เม็ดเดียว ไม่ถึงช่วงคับขันจริงๆ จะเอามาใช้ไม่ได้เด็ดขาด!” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งจ้องนิ่งมายังป๋ายเสี่ยวฉุน น้ำเสียงเนิบช้านั้นแฝงไว้ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างโชกโชน
เวลานี้ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดคลื่นลูกใหญ่ ลมหายใจของเขาถี่รัวยุ่งเหยิง เริ่มประจักษ์แจ้ง
“หลายปีมานี้ ไม่ว่าพวกเราจะใช้วิธีการมากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถหลอมออกมาได้ พวกเราจึงต้องการให้…หลังจากที่เจ้ากลับสำนักธาราเทพไปแล้ว จะแวะไปคารวะเจินหลิง ขณะเดียวกันก็คิดหาวิธีหลอมยาทวนธาราออกมาให้ได้…ก่อนสงครามแม่น้ำตอนกลางจะเกิดขึ้น!”
“หากเจ้าหลอมยาได้สำเร็จ ล้วนถือเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อทั้งสายของสำนักธาราเทพและสำนักสยบธาร!!” นัยน์ตาของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งเผยความคาดหวัง ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ในสมองมีเสียงดังอื้ออึง เรื่องที่อีกฝ่ายพูดมา เขารู้สึกเหลือเชื่อ ทว่าหลังจากที่ย้อนนึกถึงตำรับยาทวนธาราแล้วก็พอจะครุ่นคิดได้ถึงอะไรบางอย่าง
ยาทวนธารา ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาวิจัยก็รู้สึกว่ายานี้แปลกประหลาด ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้วในที่สุดก็เข้าใจ ที่แท้ยานี้มีขึ้นเพื่อให้เจินหลิงนั่นใช้โดยเฉพาะ
“คัมภีร์โอสถหันเหมิน…ยาทวนธารา” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งก็พยักหน้า
“ของสองอย่างนี้ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสำนักเป็นคนมอบให้เจ้า”
“ลิงตัวนั้น?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดโพล่งขึ้นมา พอพูดประโยคนี้จบจึงเห็นว่าบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งลังเลเล็กน้อยแล้วจึงพยักหน้า นั่นจึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจเรื่องราวหลายอย่างขึ้นมาโดยพลัน
นี่เป็นเรื่องใหญ่เกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนจำเป็นต้องใช้เวลาในการย่อยข้อมูล จนกระทั่งออกไปจากตำหนักใหญ่ กลับมาถึงที่พักวิเศษ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกไม่อยากเชื่อ เขาหยิบเอาคัมภีร์โอสถหันเหมินออกมา หยิบเอาตำรับยาทวนธาราออกมา หลังจากที่อ่านอย่างละเอียดแล้วก็เงียบงันลงไป
“ยาทวนธารา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา เขาพลันรู้สึกใคร่รู้ และอยากไปเห็นอย่างมากว่าเจินหลิงที่บุรพาจารย์พูดถึง แท้จริงแล้ว…รูปร่างเป็นอย่างไรกันแน่
วันต่อมา จากการที่โอสถทมิฬสองสำนักทยอยกันถอนทัพจากไป ทุกคนของสำนักธาราโลหิตก็เลือกที่จะเตรียมตัวกลับไปยังสำนักธาราโลหิตเช่นกัน ที่นั่นพวกเขามีเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ
ก่อนจะจากไป ปฐมาจารย์ของสำนักธาราโลหิตมาหาป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังย่อยข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของสำนักธาราเทพ เอ่ยปากพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจอีกครั้ง
“เสี่ยวฉุน เจ้ารู้ความเป็นมาของบรรพบุรุษโลหิตสำนักธาราโลหิตของเราหรือไม่?” หลังจากที่ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตร่ายค่ายกลปิดผนึกที่พักวิเศษแห่งนี้แล้วก็หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน กล่าวด้วยความเคร่งขรึม
“หา? ความเป็นมาอะไรหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง เขารู้สึกว่าสำนักธาราโลหิตนี่ไม่ต่างกับสำนักธาราเทพเลยสักนิด ทำไมถึงได้มีความลับเยอะขนาดนี้ แถมทั้งสองฝ่ายต่างก็เหมือนว่ามีภูมิหลังยิ่งใหญ่อย่างมาก ทว่าความลับเหล่านี้กลับมาบอกให้ตนรู้ทั้งหมด…น่าปวดหัวยิ่งนัก…เวลานี้จึงได้แต่เหม่อมองปฐมาจารย์
“อ้อ ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้ ข้านึกว่าเจ้าได้รับการสืบทอดแล้วจะรู้เรื่องบางส่วน…” ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตถอนหายใจหนึ่งครั้ง ประโยคนี้ดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงทำได้เพียงยิ้มเจื่อน
“ความเป็นมาของบรรพบุรุษโลหิตคือปริศนาอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ละไว้ก่อนยังไม่ต้องไปสนใจ สายธาราโลหิตของเราศึกษาบรรพบุรุษโลหิตมาหลายปี จนได้ข้อสรุปหนึ่งอย่างก็คือในร่างของบรรพบุรุษโลหิตมีการสืบทอดของนายแห่งโลหิตอยู่ ดังนั้นถึงได้มีคำเล่าลือกันออกไป ซึ่งตอนนี้ก็ได้พิสูจน์ให้รู้แล้วว่าการศึกษาของคนแต่ละรุ่นในสำนักธาราโลหิตนั้นถูกต้อง”
“แต่เจ้าไม่รู้ว่าข้อสรุปที่เราได้ยังมีอีกข้อหนึ่ง…นั่นก็คือร่างของบรรพบุรุษโลหิต ใช่ว่าจะเคลื่อนไหวไม่ได้!!” ขณะที่ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตเอ่ยเนิบช้า ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ เบิกถลนจนกลมดิก
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันหนึ่งที่ร่างของบรรพบุรุษโลหิตสามารถควบคุมได้ พอนึกถึงตอนที่ตัวเองได้รับการสืบทอดแล้วสัมผัสได้ถึงความใหญ่โตมโหฬารของเรือนกายบรรพบุรุษโลหิต เขาก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่
“ร่างของบรรพบุรุษโลหิตยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด จมลึกอยู่ใต้แม่น้ำทงเทียน ทว่าเจ้าเองก็เห็นแล้วว่าบนยอดเขาทั้งห้านิ้วของเรามีค่ายกลอยู่ เป้าหมายที่แท้จริงของค่ายกลนี้ ก็เพื่อว่า…วันหนึ่ง สำนักธาราโลหิตของเราจะสามารถควบคุมร่างกายของบรรพบุรุษโลหิตได้!” ปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตพูดต่อ ได้ยินมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นึกถึงค่ายกลที่ตัวเองได้เห็นบนเขาจงเฟิง และปีนั้นอู๋จี๋จื่อกับเซวี่ยเหมยก็เคยควบคุมค่ายกลเพื่อส่งผลกระทบต่อปราณเลือดด้วย
อีกทั้งหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายเป็นบุตรโลหิต เขาเองก็เคยสัมผัสได้ว่าการดำรงอยู่ของค่ายกลคล้ายกลายมาเป็นเสื้อผ้าอีกชั้นหนึ่งของตัวเอง ใช้อาภรณ์บังคับเรือนกาย…
คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเริ่มเข้าใจความคิดของสำนักธาราโลหิต
“เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ยากเกินไป สำนักธาราโลหิตของเราเตรียมตัวกันมานานมากเหลือเกินแล้ว ในร่างของบรรพบุรุษโลหิตเองก็มีการจัดวางค่ายกลเอาไว้ ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังมิอาจทำได้ถึงจุดนี้ เพราะว่า…พวกเรายังขาดแกนกลาง!”
“ประโยชน์ของแกนกลางนี้ก็คือรวบรวมปราณเลือดของลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตไว้ด้วยกัน แล้วแปลงมาเป็นพลังไปควบคุมเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิต แกนกลางที่ว่านี้ จากการศึกษาและอนุมานของพวกเรา มีเพียงนายแห่งโลหิตเท่านั้นถึงจะทำได้ และก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น…ที่สามารถทำได้!”
“ข้าผู้อาวุโสหวังว่า…เจ้าจะกลับไปที่สำนักธาราโลหิตสักรอบ ร่วมมือกับนักพรตทุกคนของสำนักธาราโลหิต เข้าไปควบคุมในร่างของบรรพบุรุษโลหิต…และใช้ร่างนี้ทวนกระแสธารา ฆ่าเข้าไปยังสำนักธารฟ้า!”
“หากทำสำเร็จ เรื่องที่จะเข้าแทนที่สำนักธารฟ้า สำนักสยบธารของเราก็จะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย!” ดวงตาของปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตโชนแสงคมกล้า นี่ก็คือความปรารถนาตลอดทั้งชีวิตของเขา
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พยักหน้า สำหรับเรื่องการควบคุมร่างของบรรพบุรุษโลหิต เขาเองก็รอคอยมากเช่นกัน ปฐมาจารย์ของสำนักธาราโลหิตอมยิ้มน้อยๆ หลังจากมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้งก็นัดหมายเวลากับป๋ายเสี่ยวฉุน จากนั้นถึงได้พาทุกคนของสำนักธาราโลหิตไปจากเมืองคูน้ำ เตรียมกลับไปยังสำนักธาราโลหิต
ป๋ายเสี่ยวฉุนรออีกหลายวัน จนกระทั่งทุกคนของสำนักธาราเทพก็เริ่มถอนทัพกลับไปเช่นกัน เขาจึงติดตามคนกลุ่มใหญ่เดินออกจากเมืองคูน้ำ นั่นถึงได้แน่ใจว่าไม่มีใครจะมาพูดความลับกับตัวเองอีกแล้ว
“ความลับอะไรมากมายขนาดนั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ และก็รู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย เพราะเห็นได้ชัดว่าในสายตาของคนอื่น ตนเป็นคนที่คนอื่นอยากแบ่งปันความลับให้รับรู้
——
[1] เจินหลิง (真灵)แปลว่าจิตวิญญาณที่แท้จริง เป็นคำเรียกไม่ต่างจากเจินเหรินที่หมายถึงเต๋าผู้บรรลุมรรคผล หรือหมายถึงคนที่กลายเป็นเซียน