บทที่ 317 ข้าก็คือเจ้าเต่าน้อย!
พลังชีวิตนี้มากล้นจนเกินคาดคิด วินาทีที่แผ่ซ่านออกมาทำให้พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนมีหญ้าต้นเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนงอกขึ้นมา ต้นหญ้าเล็กๆ สีเขียวเหล่านั้นแผ่ขยายออกไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวในรัศมีหลายร้อยจั้งก็คล้ายกลายมาเป็นโลกแห่งต้นหญ้า ทั้งยังมีดอกไม้เล็กๆ ผลิบานออกมาไม่น้อย
พลังชีวิตที่เข้มข้นอย่างถึงที่สุดกำลังระเบิดออกมาอย่างมีชีวิตชีวา น่าเสียดายที่ดำรงอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง รีบเก็บยาทวนธารานี้กลับไปวางไว้ในกล่องไม้กล่องหนึ่ง เมื่อกล่องไม้นั้นปิดลง พลังชีวิตจึงหายไปโดยพลัน
ไม่นานต้นหญ้ารอบด้านก็เริ่มแห้งเหี่ยว และเวลาแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจ ต้นหญ้าเล็กๆ ทั้งหมดก็หายวับไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง…
เขาไม่เคยเห็นยาแบบนี้มาก่อน แตกต่างไปจากยาทั้งหมดที่เขาหลอมออกมาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง พลังชีวิตเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ ทั้งยังถึงขั้นหวาดกลัว
“ยาทวนธารานี้จะเปิดนานไม่ได้ การเปิดครั้งหนึ่งจะสูญเสียฤทธิ์ของยาไปเส้นหนึ่ง…” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งขี้เหนียวอย่างมาก มองไปทางป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเสียดายเล็กน้อย
“ยาเม็ดนี้คือยาทวนธาราสิบลมหายใจ ว่ากันว่ายาเม็ดนี้หากหลอมได้ถึงขั้นสูงสุดก็จะออกมาเป็นยาทวนธารานิรันดร์กาล สามารถทำให้เจินหลิงฟื้นตื่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
“เสี่ยวฉุน ข้อเรียกร้องทุกอย่างในการหลอมยาทวนธารา เจ้าเสนอมาได้เลย ตลอดทั้งสำนักล้วนพร้อมช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มกำลัง!” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวด้วยความเคร่งขรึม
หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ย้อนนึกถึงเจินหลิงที่ตัวเองได้เห็น รวมไปถึงพลังน่าหวาดกลัวของยาเมื่อครู่นี้ ในใจเขาไร้ซึ่งความมั่นใจใดๆ หลังจากฝืนพยักหน้ารับ ภายใต้สายตามองส่งของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ จากไปไกลด้วยอาการคิดหนัก
เมื่อกลับมาถึงถ้ำในเขาจ้งเต้า ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิ ครุ่นคิดอย่างละเอียด ด้านหนึ่งก็เพราะความสำคัญที่ยานี้มีต่อสำนัก อีกด้านหนึ่งก็เพราะเมื่อได้มองเห็นความน่าหวาดกลัวของยานั้นกับตาตัวเอง จึงไปกระตุ้นความสนใจอย่างรุนแรงของป๋ายเสี่ยวฉุน
“พลังชีวิตของยาแค่เม็ดเดียว กลับมากมหาศาลได้ถึงเพียงนั้น…ทำได้อย่างไรกันแน่นะ? อีกอย่างที่สำคัญที่สุดคือสัมผัสถึงพืชหญ้าไม่ได้เลยสักนิดเดียว…ราวกับว่ายาเม็ดนี้ ไม่ได้…ใช้พืชหญ้าหลอมจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญ ก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยทดลองหลอมยาทวนธารามาก่อน รู้ว่ายานี่จำเป็นต้องใช้น้ำของแม่น้ำทงเทียนมาหลอมรวมเข้าในร่างกาย ใช้ร่างกายเป็นเตาหลอม
“แต่หากไม่มีพืชหญ้า ลำพังเพียงแค่น้ำของแม่น้ำทงเทียนอย่างเดียว จะสร้างพลังชีวิตที่น่าหวาดกลัวขนาดนั้นได้อย่างไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วมุ่น ครุ่นคิดต่อเนื่องท่ามกลางความเงียบงัน
หนึ่งวันผ่านไป ดวงตาทั้งคู่ของเขาเผยความเหนื่อยล้า หยิบเอาตำรับยาของยาทวนธาราออกมา หลังจากอ่านโดยละเอียดแล้วจึงหยิบเอาคัมภีร์โอสถหันเหมินออกมาอีกครั้ง สุดท้ายจึงกัดฟันกรอดด วางพวกมันลง แล้วหยิบเอาซากปราการโอสถที่ได้มาจากในเมืองคูน้ำ
“คิดจะหลอมยาทวนธารา ด้วยความรู้วิถีโอสถของข้าในตอนนี้ยังไม่พอ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพรูลมหายใจยาวหนึ่งครั้ง จ้องมองนิ่งไปยังซากปราการโอสถ ทำความเข้าใจกับเงาของวิถีโอสถในซากปราการเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ ไม่นานดวงตาของเขาจึงค่อยๆ เผยความเลื่อนลอย จิตวิญญาณทั้งหมดจมจ่อมอยู่ในปราการโอสถ
เวลาผันผ่าน ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งเดือนมานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่านไม่ออกไปไหน พยายามประจักษ์แจ้งกับวิถีโอสถอย่างต่อเนื่อง ส่วนลำดับผู้สืบทอดและบุรพาจารย์ต่างก็ยุ่งวุ่นวายกับการสร้างเรือรบทงเทียน นักพรตของกองทัพใหญ่เองก็ทยอยกันกลับมา แม้แต่เถี่ยมู่เจินเหรินและโหวเสี่ยวเม่ยก็ยังกลับมาแล้ว
สำนักธาราเทพกลับคืนสู่ความครึกครื้นอีกครั้ง ทุกคนล้วนกำลังเตรียมตัว คันไม้คันมือพร้อมเผชิญกับสงครามสำนักธารฟ้าตอนกลาง
วันนี้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันชะงักค้าง ความเลื่อนลอยในดวงตาจางหายไป เผยให้เห็นประกายแสงคมกล้า ขณะเดียวกันเขาก็หยิบเอาคัมภีร์โอสถหันเหมินออกมา พออ่านอีกครั้งจึงรู้สึกได้ถึงความแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
หลายจุดที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจ รู้สึกพร่าเลือนไม่ชัดเจน เวลานี้พอมองไปก็พลันเข้าใจความหมายแฝงของมันขึ้นมาทันที ดวงตาทั้งคู่ของเขายิ่งสุกใส หลายวันต่อมา เมื่อเขาวางคัมภีร์โอสถหันเหมิน หลับตาลง หลังจากครุ่นคิดอยู่นานมาก ดวงตาทั้งคู่ก็เบิกโพลงขึ้น
“ข้าต้องการน้ำของแม่น้ำทงเทียน!” เขาพึมพำเสียงเบา หยิบเอาแผ่นหยกออกมาแจ้งความประสงค์กับทางสำนัก
พวกบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งมองดูแล้วเหมือนยุ่งวุ่นวายกับการสร้างเรือรบ ทว่าก็แอบสังเกตป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ตลอดเวลาอย่างลับๆ เวลานี้พอได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการน้ำของแม่น้ำทงเทียน เถี่ยมู่เจินเหรินจึงลงมือไปเอาน้ำของแม่น้ำทงเทียนมาด้วยตัวเองหนึ่งถังแล้วส่งเข้าไปในถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองน้ำของแม่น้ำทงเทียนที่อยู่ด้านหน้า นัยน์ตาเผยความคาดหวังพร้อมทดลอง มือขวาของเขายกขึ้นชี้ แม่น้ำหนึ่งหยดพลันลอยมาอยู่ด้านหน้าเขาทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตาโพลง สูดสวบหนึ่งครั้ง แม่น้ำทงเทียนหยดนั้นก็ถูกกลืนเข้าไปปาก ขยายครั่นครืนอยู่ในร่างกาย
“ใช้เรือนกายเป็นเตาหลอม หลอมรวมพลังชีวิตเข้าไปในแม่น้ำทงเทียน ทำให้พลังชีวิตนี้เพิ่มมหาศาล กลายมาเป็นยาวิเศษ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหลับตาทั้งคู่ลง ควบคุมแม่น้ำทงเทียนหยดนั้นที่อยู่ในร่างกาย พยายามหลอมรวมพลังชีวิตของตัวเองเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งวันหลังจากนั้น เสียงกึกก้องดังออกมาจากในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนผมเผ้ายุ่งเหยิง ตลอดทั้งถ้ำเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นโฉ่ ทว่าเขาไม่ยอมแพ้ เอาแม่น้ำทงเทียนออกมาอีกหนึ่งหยดและทดลองอีกครั้ง
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ครึ่งเดือนมานี้ในถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวลอยมาเป็นระยะ อีกทั้งกลิ่นเหม็นยังแผ่ออกมาข้างนอกตลบอบอวลไปทั่วเขาจ้งเต้า ทว่าคราวนี้…ไม่มีใครบริภาษออกมาสักคำ เพราะบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งได้ออกมาอธิบายแทนป๋ายเสี่ยวฉุนให้ทุกคนฟังแล้วว่า ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหลอมยาเม็ดหนึ่งที่สำคัญมาก…ให้กับสำนัก!
“พลังชีวิตไม่พอ ไม่พอ!!” เมื่อไม่ได้นอนหลับพักผ่อนมาตลอดครึ่งเดือน ตลอดทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงผอมลงไปหนึ่งรอบใหญ่ เส้นผมยุ่งสยาย ดวงตาทั้งคู่บวมแดง มองดูราวกับคนบ้า น้ำของแม่น้ำทงเทียนหนึ่งถังนั้นก็ถูกเขาใช้ไปแล้วเกินครึ่ง แต่กลับยังคงล้มเหลว ไม่สามารถหลอมออกมาได้
สาเหตุหลักที่เขาไม่สามารถหลอมออกมาได้ก็เพราะพลังชีวิตไม่มากพอ ป๋ายเสี่ยวฉุนลองคำนวณอย่างคร่าวๆ ต่อให้เอาพลังชีวิตของตัวเองหลอมรวมเข้าไปก็ยังเทียบไม่ได้แม้แต่หนึ่งในแสนส่วนของยาทวนธาราเม็ดนั้น
“ถ้าเป็นอย่างนี้ ต่อให้นักพรตทั้งสำนักมอบชีวิตมาให้ก็ยังต้องใช้นักพรตมากถึงหนึ่งแสนคนถึงจะพอเทียบเคียงกับระดับของยาทวนธาราสิบลมหายใจได้…”
“หรือไม่ก็สร้างฐานรากแสนคน ยาอายุวัฒนะหนึ่งหมื่นคน หรือบุรพาจารย์ก่อกำเนิดหนึ่งพันคน…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว วิธีการหลอมยาเช่นนี้แม้ว่าในทางทฤษฏีจะสามารถทำได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับทำไม่ได้แม้แต่นิด อย่าว่าแต่สำนักธาราเทพเลย ต่อให้เป็นสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่เป็นสำนักต้นน้ำก็ยังทำไม่ได้
“หรือทิศทางของข้าผิดไป…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา ขมวดคิ้วมุ่น แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ออก พอถึงท้ายที่สุดจึงทำได้เพียงไปหาบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่ง ยอมถอดใจด้วยความขมขื่น
แม้บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งจะถอนหายใจอยู่ในใจ ทว่าพอเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกสงสารอย่างมาก เขาเข้าใจดี หากยาทวนธาราหลอมออกมาได้ง่ายขนาดนั้น ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่ยากลำบากถึงขนาดที่ว่าหลายปีมานี้ สำนักธาราเทพไม่มีคนสักรุ่นที่ทำสำเร็จ
“ไม่เป็นไร เรื่องแบบนี้บังคับกันไม่ได้…เสี่ยวฉุน อีกสามวันให้หลัง ข้าผู้อาวุโสกับบุรพาจารย์คนอื่นจะพาลำดับผู้สืบทอดทั้งหมดเข้าไปในหุบเหวลึก เพื่อไปเอากระดูกสัตว์คนฟ้าที่ปีนั้นข้าเคยเห็นแต่กลับไม่สามารถนำกลับมาได้ เจ้าก็ไปด้วยกันเถอะ ในหุบเหวลึกคือพื้นที่ลับแห่งหนึ่งที่สำนักธาราเทพของเราค้นพบเมื่อหลายปีก่อน”
“ที่นั่นมีหลายพื้นที่ที่แม้แต่สำนักธาราเทพของเราก็ยังไม่เคยเดินผ่านมาก่อน แม้จะมีอันตรายที่แน่นอน แต่ก็มีโชควาสนาอยู่เหมือนกัน บางทีก่อนหน้าที่จะเปิดศึก พวกเจ้าอาจได้รับโชคของใครของมัน” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งเอ่ยปลอบใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ในใจก็กลัดกลุ้มไม่น้อยเหมือนกัน การถูกโจมตีด้านการหลอมยาแบบนี้ ทำให้อารมณ์เขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ตอนที่กลับมานั่งฝึกบำเพ็ญตบะในถ้ำจึงยังคงครุ่นคิดเรื่องของยาทวนธาราอยู่ไม่คลาย
แม้ว่าโหวเสี่ยวเม่ยกลับมาแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่านางรู้ว่าเวลานี้ไม่เหมาะสมจะรบกวนป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่ได้ปรากฏตัว พวกจางต้าพั่งเองก็เช่นเดียวกัน เวลาสามวัน ภายใต้การฟื้นตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างกายรวมไปถึงตบะของเขาจึงค่อยๆ คืนสู่สภาวะสูงสุด ส่วนความกลัดกลุ้มที่มีต่อการหลอมยาทวนธาราก็ถูกเขาวางลงไว้ชั่วคราว
สามวันต่อมา เมื่อแผ่นหยกในถุงเก็บของของเขาสั่นสะเทือน ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้น หยิบเอาแผ่นหยกออกมาดู จึงได้ยินเสียงของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งซึ่งบอกให้เขาไปรวมตัวกันที่หอร้อยสัตว์ของชายฝั่งทิศเหนือ
“ข้าทำเต็มที่แล้ว ยาทวนธารา ไม่ใช่ยาที่ข้าจะหลอมออกมาได้ตอนนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากถ้ำ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พึมพำเสียงเบา มองประตูสำนักที่คุ้นเคย เขาเดินออกไปหนึ่งก้าวแล้วกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวตรงดิ่งไปยังชายฝั่งทิศเหนือ
ระหว่างทางพอนักพรตสำนักธาราเทพหลายคนมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคารพยำเกรงทันที พากันคารวะ มองเห็นว่าตัวเองได้รับการยอมรับขนาดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เอามือไพล่หลังโดยไม่รู้ตัว วางมาดของผู้อาวุโส พยักหน้าอมยิ้มน้อยๆ
โดยเฉพาะเหล่าลูกศิษย์หญิงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของสาวแรกรุ่น เรือนกายอุดมสมบูรณ์มีชีวิตชีวา มีหลายคนที่พอเห็นตนถึงกับหน้าแดงแปร๊ด สายตาที่แอบเหลือบมองมายังตนนั้น ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งมีความสุขมากกว่าเดิม ในใจกลับคืนมาเป็นปกติอย่างสมบูรณ์แบบ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เก็บมาดของผู้อาวุโสกลับมา วางท่าที่ตัวเองคิดว่ามีเสน่ห์มากที่สุด คลี่ยิ้มอบอุ่น เดินเชิดหน้ารับลมด้วยความสง่างาม ได้ยินเสียงหัวใจที่ดังรัวเร็วดังลอยมาจากข้างหลัง ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งผลิบานลิงโลด
“ฮ่าๆ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่มีเสน่ห์ไร้ขีดจำกัดซะจริง เฮ้อ ต้องโทษข้าที่ล่อลวงใจคนมากเกินไป” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังเคลิบเคลิ้มก็เหลือบมองไปเห็นโจวซินฉี สองคนมองสบตากัน รอยยิ้มของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะคลี่ออกมา โจวซินฉีกลับขมวดคิ้วฉับ บินผ่านข้างกายเขาไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ศิษย์หลานซินฉีหยุดก่อน” ป๋ายเสี่ยวฉุนหรี่ตา รู้สึกว่าบางทีตนและโจวซินฉีอาจมีความเข้าใจผิดอะไรบางอย่างต่อกัน ดังนั้นจึงรีบพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม
โจวซินฉีชะงักฝีเท้า มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ไม่ทราบว่าบุรพาจารย์น้อยมีธุระอันใดหรือ”
“มีประโยคหนึ่ง ข้าอยากบอกกับเจ้ามานานมากแล้ว เสียดายที่ไม่เคยมีโอกาส วันนี้ ข้าจะบอกกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมาว่า…แท้จริงแล้ว ข้าก็คือ…เจ้าเต่าน้อย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง ทำท่าเศร้าใจ เชิดคางขึ้น เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ในใจคิดไปเรียบร้อยแล้วว่าเดี๋ยวพอโจวซินฉีตื่นตะลึง ตัวเองควรจะทำท่าผ่อนคลายสักหน่อย
“ทราบแล้ว” โจวซินฉีสีหน้าเป็นปกติ หมุนกายสะบัดร่างกลายเป็นรุ้งยาวจากไปไกล
“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง เหม่อมองแผ่นหลังของโจวซินฉี รู้สึกงุนงงเล็กน้อย โจวซินฉีมีท่าทีนิ่งเฉยเกินไป นี่ไม่ค่อยเหมือนกับที่เขาคิดไว้เท่าไหร่นัก
ยังไม่ทันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะตั้งตัวได้ทัน ในถุงเก็บของของเขาก็มีเสียงหัวเราะก๊ากของเจ้าเต่าน้อยดังลอยมา
“เจ้าคือเจ้าเต่าน้อย? ฮ่าๆ ช่างเถอะๆ ในเมื่อเจ้าเคารพเลื่อมใสนายท่านเต่าขนาดนี้ ต่อไปนายท่านเต่าจะไม่ด่าเจ้าแล้วก็ได้”