บทที่ 323 รวมตัวกับสำนักธาราโลหิต!
หลังจากที่ทุกคนกลับมา การสร้างเรือรบทงเทียนก็ได้ดำเนินมาถึงช่วงท้าย ไม่นานทุกคนของสำนักธาราเทพก็ร่วมแรงร่วมใจกันประกอบกระดูกสัตว์คนฟ้าเข้าไปบนเรือรบทงเทียนได้สำเร็จ!
เรือรบทงเทียนสามลำมีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ลำที่ใหญ่สุดมีขนาดถึงหนึ่งแสนจั้ง อานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกร เพียงแค่วางไว้เฉยๆ ก็ราวกับภูเขาลูกใหญ่หนึ่งลูก ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนของสำนักธาราเทพที่มองเห็นต่างจิตใจสั่นสะท้าน คล้ายเผชิญหน้ากับพลานุภาพสยบ!
อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงลักษณะภายนอกเท่านั้น บนเรือรบทงเทียนลำที่ใหญ่ที่สุดนี้ยังมีปราณที่ทำให้คนตัวสั่นตลบอบอวลไปทั่ว ปราณนี้…เหนือล้ำเกินกว่าบุรพาจารย์ก่อกำเนิด ราวกับว่าอยู่กันคนละโลก นั่นก็คือ…ปราณของคนฟ้า!
เหนือก่อกำเนิดก็คือขอบเขตคนฟ้า เรือรบที่สร้างขึ้นมาจากกระดูกสัตว์ร้ายระดับคนฟ้า ต่อให้ไม่สามารถสำแดงศักยภาพของคนฟ้าออกมาได้อย่างแท้จริง แต่กลับมากพอที่จะสะท้านสะเทือนไปสี่ทิศ ทำให้การเดินทางบนแม่น้ำทงเทียนปลอดภัยขึ้นมาก บวกกับที่มีโองการของสำนักอันตมรรคฟ้าดาราอันเป็นสำนักต้นน้ำอยู่ด้วย จึงมากพอที่จะทำให้ความเสี่ยงจากการเดินทางไกลแสนยากลำบากครั้งนี้ลดน้อยลงจนเหลือต่ำสุด
อีกทั้งเรือรบสะท้านฟ้าขนาดแสนจั้งนี้ก็ยังใหญ่พอที่จะบรรจุนักพรตทุกคนของสำนักธาราเทพที่ไปออกรบ!
เรือลำที่สองแม้ว่าจะเล็กกว่าเล็กน้อย แต่ก็ใหญ่ถึงเจ็ดหมื่นจั้ง ตระการตาน่าตะลึงไม่ต่างกัน เรือลำนี้สร้างขึ้นเพื่อสำนักธาราทมิฬโดยเฉพาะ ส่วนเรือลำสุดท้ายนั้นเล็กที่สุด แม้ว่าจะใหญ่แค่สามหมื่นจั้งกว่า ทว่าวัสดุที่ใช้สร้างกลับเหมือนกัน ปราณของคนฟ้ายังคงอบอวลไปทั่วเช่นเดียวกัน สำหรับสำนักธาราโอสถแล้ว เรือลำนี้มากพอที่จะบรรจุพวกเขาทุกคนได้
ส่วนสำนักธาราโลหิต…ตอนที่อยู่ในเมืองคูน้ำ ช่วงที่บุรพาจารย์ของทั้งสี่สายได้ปรึกษากัน สำนักธาราโลหิตไม่ได้ขอให้สำนักธาราเทพสร้างเรือทงเทียนให้ ราวกับว่าพวกเขามีวิธีการของตัวเองในการเดินทางทวนกระแสธารา
เมื่อเรือทั้งสามลำนี้ปรากฏขึ้นในสำนักธาราเทพ จึงสร้างความแตกตื่นให้กับลูกศิษย์ทุกคน แทบจะทุกคนล้วนเข้าใจว่า…อันดับต่อไปก็คือ ศึกที่สำคัญมากที่สุด กำลังจะเกิดขึ้น!
ทวนกระแสธาร ดับทำลายส่วนที่เหลืออยู่ของสำนักธารฟ้า แล้วเข้าไปแทนที่!
แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ยินดีให้ทุกคนที่อยู่ข้างกายต้องตายไป ทว่าเขาไม่ใช่เทพเจ้า เขายังไม่สามารถรักทุกคนได้เท่าเทียมกันจนเอาใจของตัวเองไปวางไว้ให้กับคนที่ตัวเองไม่รู้จัก ที่เขาใส่ใจมีเพียง…ญาติของตัวเอง มิตรของตัวเองเท่านั้น!
ครึ่งเดือนต่อมา เมื่อเสียงของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งดังสะท้อน เมื่อระฆังของสำนักธาราเทพดังกังวาน นักพรตทุกคนของสายธาราเทพ ใครก็ตามที่อยู่ในรายชื่อผู้ออกรบ ล้วนเหยียบย่างเข้าไปในเรือรบทั้งสิ้น!
“สำนักสยบธาร ลูกศิษย์สายธาราเทพที่ออกรบทุกคนจงขึ้นเรือ เป้าหมาย…สายธาราโลหิตบนแม่น้ำทงเทียน!”
เสียงดังก้องไปทั่ว ตลอดทั้งสายธาราเทพล้วนเคลื่อนพล แต่กลับไร้ซึ่งความวุ่นวาย ภายใต้การจัดการของเจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงและผู้นำของแต่ละยอดเขา ลูกศิษย์และสัตว์รบทุกตัวล้วนเดินขึ้นเรือรบอย่างเป็นระเบียบ
และยังมีอาวุธล้ำค่ารวมไปถึงพลังแฝงของสำนักธาราเทพที่ต่างก็ถูกเอาออกมาส่งลงไว้ในเรือรบ ตลอดทั้งสำนักธาราเทพแทบจะว่างเปล่า มีเพียงลูกศิษย์ฝ่ายนอกส่วนหนึ่งที่อยู่ต่อเพื่อเฝ้าสำนัก ขณะเดียวกันก็ได้เปิดค่ายกลใหญ่ทิ้งเอาไว้ด้วย
เรือสามลำ อีกสองลำที่เหลือล้วนถูกเก็บไว้ มีเพียงลำที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้นที่ค่อยๆ พร่าเลือนไปกลางอากาศท่ามกลางพลังนำส่งครั่นครืนของภูเขาลูกที่เก้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่บนเรือรบ มองประตูสำนักธาราเทพที่อยู่เบื้องล่าง นัยน์ตาของเขาค่อยๆ เผยความลึกล้ำ โหวเสี่ยวเม่ยยืนอยู่ข้างกายเขา คล้ายรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยจึงยืนอยู่ใกล้มาก
เสียงตูมตามดังสะท้อน ฟ้าดินสั่นสะเทือนเลือนลั่น เรือรบทงเทียน…หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย!
มาปรากฏตัวอีกครั้งอยู่นอกเทือกเขาลั่วเฉิน ที่นี่คือจุดสิ้นสุดของค่ายกลนำส่ง ซึ่งด้านหน้าก็จะเข้าสู่ขอบเขตของสำนักธาราโลหิต แทบจะวินาทีเดียวกันกับที่เรือรบทงเทียนนี้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ คนนำทางที่สายของธาราโลหิตจัดเตรียมไว้ให้รออยู่ที่นี่ก็เดินขึ้นหน้ามาคารวะอย่างพร้อมเพรียงกันทันที ขณะเดียวกันก็สะท้านสะเทือนไปกับพลังอำนาจอันน่าเกรงขามของเรือรบทงเทียนจนลมหายใจไม่มั่นคง
อย่าว่าแต่พวกเขา ทุกสิ่งมีชีวิตในฟ้าดินบริเวณใกล้เคียงต่างก็ใจสั่นสะท้าน พลานุภาพสยบของสัตว์คนฟ้าที่มาจากเรือรบทงเทียนนั้นทำให้รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงัด
มีลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิตนำทาง เรือรบทงเทียนลอยครั่นครืนไปตลอดทาง ชนฝ่าทุกสิ่งกีดขวางบนความว่างเปล่า กรีดผ่าอากาศเป็นเส้นยาว มุ่งหน้าเข้าหาที่ตั้งของสายธาราโลหิต
ได้กลับคืนสู่ที่เดิม ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนหัวเรือมองนิ่งลงมายังพื้นดิน ความปลดปลงในใจเพิ่มมากมาย ความเร็วเช่นนี้ของเรือรบ เร็วยิ่งกว่าบุรพาจารย์ขั้นก่อกำเนิดถึงหนึ่งส่วน ใช้เวลาไม่ถึงสามชั่วยามก็มองเห็นแม่น้ำทงเทียนที่ห่างออกไปไกลได้รำไร และยังมองเห็น…ยอดเขาที่เกิดจากมือยักษ์ของบรรพบุรุษโลหิตซึ่งยื่นออกมาจากแม่น้ำทงเทียนด้วย!
นักพรตสายธาราเทพ ส่วนใหญ่ล้วนไม่เคยมีใครเห็นหน้าตาประตูที่ตั้งของสำนักธาราโลหิต แม้จะเคยได้ยินมาบ้าง ทว่าตอนนี้เมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเอง ความรู้สึกครั่นคร้ามนั้นจึงรุนแรงถึงขีดสุด
“นั่นมันมือ…ข้างหนึ่ง!!”
“สวรรค์ นั่นคือมือที่ยื่นออกมาจากในแม่น้ำทงเทียน เพียงแค่มือข้างเดียวก็สามารถกลายมาเป็นห้ายอดเขา ร่างกายของยักษ์ตนนี้ต้องใหญ่ขนาดไหนกัน…”
“นี่น่ะหรือคือสำนักธาราโลหิต…”
ท่ามกลางความฮือฮาของทุกคน เรือรบทงเทียนค่อยๆ เข้าไปใกล้ เวลานี้สายของธาราทมิฬและธาราโอสถเนื่องจากไม่จำเป็นต้องสร้างเรือรบทงเทียน จึงมาถึงนานแล้ว ซึ่งถูกจัดให้ตั้งค่ายอยู่ข้างประตูของสำนักธาราโลหิต เดิมทีบรรยากาศคึกคักครื้นเครง ทว่าตอนนี้เนื่องจากการมาถึงของเรือรบทงเทียน เนื่องจากบนพื้นดินมีเงาขนาดยักษ์เยื้องกรายเข้ามาใกล้ พวกเขาทุกคนต่างก็สำลักลมหายใจ
แม้แต่นักพรตสายธาราโลหิตเองก็ยังเป็นเช่นนี้
ขณะเดียวกันกับที่สายธาราเทพฮือฮาไปกับสำนักของพวกเขา พวกเขาเองก็แตกตื่นกับเรือรบของสำนักธาราเทพเช่นกัน แม้แต่บุรพาจารย์ของทั้งสามสายก็ยังตกตะลึงจนพากันออกมาข้างนอก หลังจากมองเห็นเรือรบทงเทียนนี้แล้ว นัยน์ตาของพวกเขาก็ฉายประกายแสงคมกล้า
“ใช้กระดูกสัตว์คนฟ้าเป็นกระดูกงูของเรือรบทงเทียนลำนี้!!”
“สายธาราเทพ…ช่างซุกซ่อนเก่งยิ่งนัก ในบรรดาสี่สายใหญ่ ธาราเทพชอบใช้วิธีซุกซ่อนอำพรางมากที่สุดเลยล่ะ!”
ขณะที่ทุกคนตะลึงพรึงเพริดอยู่นั้น เรือรบทงเทียนใหญ่แสนจั้งก็มาปรากฏอยู่เหนือท้องฟ้าสายธาราโลหิต แล้วค่อยๆ ร่วงลงมา สุดท้ายเสียงตูมดังหนึ่งครั้งก็กระแทกลงบนแม่น้ำทงเทียนโดยตรง น้ำของแม่น้ำกระเพื่อมก่อเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่ ขณะเดียวกันน้ำสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็สาดกระเซ็นออกไปรอบด้าน ภายใต้การจับจ้องด้วยความตื่นเต้นของทุกคน ในที่สุดเรือรบทงเทียนก็ลอยอยู่บนแม่น้ำทงเทียนอย่างมั่นคง!
ไม่ถูกกัดกร่อน ไม่มีจุดไหนที่ปรับสภาพไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ทั้งยังถึงขั้นที่ว่าเมื่อพลานุภาพสยบของคนฟ้ากระจายออกไป สัตว์ดุร้ายที่อยู่ในแม่น้ำบางส่วนก็ยังพากันหลีกลี้ออกห่างด้วย…
รอบด้านเงียบสนิทก่อนเป็นอันดับแรก ทว่าหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงไชโยโห่ร้องที่ระเบิดออกดังลั่น สายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายสุกใส ทว่าบุรพาจารย์ชื่อหุนแห่งสำนักธาราทมิฬกลับแค่นเสียงเย็นด้วยความไม่พอใจหนึ่งครั้ง
“หันจง วัสดุที่พวกเราให้ไปมากพอจะสร้างเรือรบทงเทียนถึงห้าลำขึ้นไป!”
“ชื่อหุน เหตุใดถึงใจร้อนเช่นนี้ เรือของสายธาราทมิฬและสายธาราโอสถ ข้าผู้แซ่หันได้เตรียมไว้ให้แล้ว” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของธาราเทพหัวเราะฮ่าๆ เมื่อโบกมือ เรือรบลำที่สองก็ปรากฏพรวดขึ้น หลังจากลอยอยู่บนแม่น้ำทงเทียนแล้ว เรือลำที่สามก็ถูกเอาออกมาเช่นกัน
นั่นถึงได้ทำให้บุรพาจารย์ชื่อหุนเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า มองเรือรบทงเทียนขนาดเจ็ดหมื่นจั้งกว่าลำนั้น นัยน์ตาฉายประกายร้อนแรง ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องวัสดุที่ให้เกินไปอีก เพราะมูลค่าของกระดูกสัตว์คนฟ้าเหนือล้ำมากเกินกว่าวัสดุทุกชิ้น
บุรพาจารย์หลายคนของสำนักธาราโอสถ เวลานี้แม้จะจนใจ ทว่ามองเรือรบที่ใหญ่สามหมื่นกว่าจั้งลำนั้นก็ยังถือว่าพอใจ เพราะยังไงซะสำนักใหญ่ทั้งสี่สาย ธาราโอสถก็ถือว่าอ่อนแอมากที่สุด
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองทุกอย่างนี้ มองการรวมตัวกันของสี่สายใหญ่ที่นี่ มองสำนักธาราโลหิตที่ตัวเองคุ้นเคย ในใจเขาก็รู้สึกพึงพอใจ ทั้งยังมากด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง
“ภายใต้การช่วยเหลือของข้า สี่สำนักใหญ่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ…และชื่อสำนักสยบธารนี้ แม้ว่าจะธรรมดาไปหน่อย ทว่าข้าก็เป็นคนตั้งเอง!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนภาคภูมิใจในตัวเองอย่างมาก ขณะที่กำลังสูดลมหายใจเข้าลึกก็มองเห็นซ่งจวินหว่านที่ยืนอยู่บนเขาจงเฟิง
ซ่งจวินหว่านมองป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมอมยิ้มน้อยๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะโบกมือทักทาย ทว่าแขนที่ยกขึ้นพลันชะงักค้าง โหวเสี่ยวเม่ยดึงแขนของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ด้วยท่าทางทองไม่รู้ร้อน ถลึงตาใส่ซ่งจวินหว่านก่อนหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ชี้ไปบนฟ้าด้วยท่าทางร่าเริง พูดด้วยเสียงอันดัง
“พี่เสี่ยวฉุนท่านรีบดูเร็วเข้า นั่นนกยวนเหว่ยไง…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว หลังจากมองเห็นนกที่อยู่บนท้องฟ้าเขาก็ตัวสั่นเทิ้ม…
เวลานี้เฉินม่านเหยายืนอยู่หลังบุรพาจารย์สายธาราโอสถ มองมาที่เรือรบ และก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาของนางเปล่งประกายแสงน้อยๆ อย่างยากที่จะสังเกตเห็นได้ ขณะที่กำลังจะถอนสายตากลับ ขนตลอดทั้งร่างก็พลันลุกชัน…นางพบว่ามีสายตาหนึ่งซึ่งเวลานี้กวาดตามองนางมาจากบนเรือรบสายธาราเทพ
สายตานี้ไม่ได้มาจากป๋ายเสี่ยวฉุน แต่มาจากลูกศิษย์คนหนึ่งของสายธาราเทพ คนผู้นั้นคือหญิงสาวที่รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตางดงามหมดจด ซึ่งแฝงไว้ด้วยบุคลิกที่…มีเสน่ห์!
หญิงสาวผู้นั้นสวมชุดคลุมยาวสีเขียวปกปิดเรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งอุดมสมบูรณ์ นางมีสีหน้าที่ทำให้คนมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร กวาดตามองเฉินม่านเหยาด้วย…สีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง
สายตานี้ทำให้เฉินม่านเหยารู้สึกเย็นสะท้านตั้งแต่ในไปจนนอกร่าง ทั้งยังมีความรู้สึกหวาดกลัวตามสัญชาตญาณเกิดขึ้นมาจนนางทำตัวไม่ถูก หัวใจเต้นตึกตักรัวเร็ว รีบก้มหน้าลงพร้อมใจที่สั่นสะท้าน
“หญิงสาวผู้นี้คือใคร…เหตุใดสายตาของนางถึงได้น่ากลัวขนาดนี้!!”