บทที่ 326 เป้าหมาย แม่น้ำตอนกลาง!!
ชีวิตนี้ของนักพรตสี่สายสำนักสยบธารล้วนมิอาจลืมภาพที่เห็นเบื้องหน้านี้ได้ ภาพเหตุการณ์นี้กลายมาเป็นตราประทับที่นาบตรึงลงไปในสมองของพวกเขาอย่างสมบูรณ์แบบ หรือถึงกระทั่งกลายเป็นความนิจนิรันดร์ในจิตวิญญาณของพวกเขา!
มือที่ใหญ่ราวกับภูเขาข้างนั้นของบรรพบุรุษโลหิต บัดนี้ได้กดลงไปบนพื้นดินเพื่อค้ำยันตัวขึ้นสูง ขณะเดียวกันก็มีแขนครึ่งท่อน…ที่ค่อยๆ ยกสูงขึ้นมาจากในแม่น้ำทงเทียน!
ผิวน้ำสั่นไหว คลื่นยักษ์ถาโถมขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่อให้เป็นเรือรบทงเทียนขนาดเจ็ดหมื่นจั้งของสำนักธาราทมิฬ เวลานี้ก็ยังโยกคลอนอย่างรุนแรง ส่วนของสำนักธาราโอสถก็ยิ่งจำเป็นต้องให้บุรพาจารย์หลายคนช่วยกันประคับประคอง
บัดนี้ในสมองของทุกคนคล้ายเปลี่ยนมาเป็นว่างเปล่า พวกเขาเหม่อมองแขนครึ่งท่อนที่โผล่พ้นออกมาจากในแม่น้ำทงเทียน มองท่อนแขนตรงช่วงฝ่ามือที่กดลงไปบนพื้นดิน
ท่ามกลางความเงียบงัน ท่ามกลางความเด็ดเดี่ยวในประกายแสงสายตาที่อยู่ในแม่น้ำทงเทียน เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมและเมฆพัดตลบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงพลังที่ไร้คำพรรณาซึ่งระเบิดออกมาจากบนแขนในวินาทีนี้ พลังนี้ส่งผ่านไปทั่วทั้งแขน ขณะเดียวกันแขนข้างนั้นก็ใช้พื้นดินประคองตัว แล้วกดลงไปบนพื้นอย่างแรงอีกครั้ง
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ศีรษะขนาดใหญ่ยักษ์ราวกับเกาะเกาะหนึ่งจึงค่อยๆ เงยขึ้นมาจากใต้น้ำช้าๆ!
หลังจากที่เงยขึ้น น้ำในแม่น้ำก็ระเบิดอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เรือรบทงเทียนขนาดหนึ่งแสนจั้งของสำนักธาราเทพสั่นสะเทือน ท่ามกลางคลื่นลูกใหญ่นั้น เรือรบทั้งสามลำต่างก็ถูกผลักกระเด็นออกไปอย่างแรงโดยที่มิอาจควบคุมได้ ก่อให้เกิดเสียงสูดลมหายใจด้วยความตะลึงพรึงเพริดจากคนจำนวนนับไม่ถ้วน
ต่อให้เป็นกงซุนหว่านเอ๋อร์เองเวลานี้ก็ยังเบิกตากว้าง ลมหายใจหยุดชะงัก สีหน้าเช่นนี้หาได้ยากยิ่งบนใบหน้าของนาง
ไม่นาน เมื่อศีรษะนั้นยกขึ้นสูงอีกเล็กน้อย จึงเผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่ง…ที่ทำให้จิตวิญญาณของทุกคนสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง และก็ค่อยๆ เผยให้เห็นจมูก จนกระทั่งหลังจากที่เผยให้เห็นริมฝีปาก เสียงคำรามที่ทำให้นภากาศสั่นไหวก็หลุดออกมาจากปากของยักษ์ตนนี้
หลังจากที่เสียงคำรามราวฟ้าคำรณดังก้อง แขนของบรรพบุรุษโลหิตก็ค้ำยันลงไปบนพื้นอย่างแรงอีกครั้ง เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดิน คราวนี้สิ่งที่เผยออกมาให้เห็นคือลำคอของบรรพบุรุษโลหิต!
เวลาเดียวกันนั้น ยังไม่ทันที่ทุกคนจะตั้งตัวได้ แม่น้ำทงเทียนก็ระเบิดกระจัดกระจาย วินาทีที่น้ำของแม่น้ำทงเทียนพวยพุ่งขึ้นสูงนับร้อยจั้ง แขนอีกข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากในแม่น้ำทงเทียน แล้ววางลงบนพื้นดินของชายฝั่งตรงกันข้าม
แผ่นดินสั่นคลอน รอยปริแตกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดังครั่นครืน ผืนดินบางพื้นที่ถึงขั้นพังถล่มลงมาทันที คล้ายว่าเมื่ออยู่เบื้องล่างมือข้างนี้ของบรรพบุรุษโลหิต ต่อให้พื้นดินที่แข็งแกร่งทนทานก็ยังเปลี่ยนมาเป็นอ่อนยวบยาบ
เมื่อมือทั้งสองข้างนั้นค้ำยันพื้นแผ่นดินพร้อมกัน ท้องฟ้าก็คล้ายจะมืดสลัวลงเล็กน้อย เงาร่างยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าที่ทำให้คนทุกคนแทบลืมหายใจ ค่อยๆ…ลุกขึ้นยืนขึ้นบนแม่น้ำทงเทียนแห่งนี้!!
ศีรษะ ลำคอ ไหล่ หน้าอก ร่างท่อนบน…ระดับความสูงของร่างนี้ไต่ระดับขึ้นสูงอย่างไร้ขีดจำกัด ร้อยจั้ง พันจั้ง หมื่นจั้ง…จนถึงท้ายที่สุด เพียงแค่ส่วนที่เผยออกมาจากแม่น้ำทงเทียนก็สูงมากพอหลายหมื่นจั้ง
ไหล่กว้างนั้นแคบกว่าแม่น้ำทงเทียนหน่อยเดียวเท่านั้น กล้ามเนื้อแต่ละชุ่นที่แข็งแกร่งบึกบึนล้วนเปล่งพลานุภาพสยบที่ทำให้คนหวาดกลัว และส่วนของเอวที่สอบลงไปก็ยิ่งกลายเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวที่ใหญ่โตเกินจริง…
ล่างเอวลงไปกลับจมอยู่ในแม่น้ำทงเทียน หากมีคนมองทะลุลอดใต้น้ำ จะเห็นได้ว่าร่างกายท่อนล่างของบรรพบุรุษโลหิตได้เหยียบอยู่บนก้นของแม่น้ำแล้ว!
แม่น้ำทงเทียน สำหรับนักพรตแล้วถือว่าลึกมาก ทว่าสำหรับบรรพบุรุษโลหิต ไม่ถือว่าลึก!
วินาทีที่ลุกขึ้นยืนจริงๆ นั้น จะพูดว่านี่คือบรรพบุรุษโลหิต ก็สู้พูดว่าร่างกายคือบรรพบุรุษโลหิต ทว่าจิตกลับเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน และก็เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ควบคุมทุกอย่างนี้ เขามองท้องฟ้า วินาทีนี้ในสายตาของเขา ตลอดทั้งฟ้าดินล้วนเปลี่ยนมาเป็นเล็กกระจิดริด ในสายตาของเขา ภูเขาเป็นราวกับของเล่นชิ้นหนึ่ง ในสายตาของเขา แม่น้ำทงเทียน เป็นดั่งกระแสน้ำเล็กๆ ที่ไหลริน
ต้นไม้เหล่านั้นก็ยิ่งเป็นราวกับต้นหญ้า ส่วนนักพรต…ก็ประหนึ่งมดตัวน้อยๆ
ความรู้สึกเช่นนี้ยากจะพรรณนา พอเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็ราวกับว่าสามารถเอื้อมคว้าดวงดาวมาครองได้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เต็มเปี่ยมอยู่ในจิตวิญญาณของเขา ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าคำรามยาวอย่างอดไม่อยู่!
เสียงคำรามนี้สะเทือนไปยังเก้าชั้นฟ้า แผ่ดังไปทั่วตลอดทั้งเกาะ ขณะที่มันดังขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง นกและสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนหวาดกลัว สัตว์ร้ายเหลือคณานับตัวสั่น น้ำของแม่น้ำทงเทียนระเบิดออก หรือถึงกระทั่งที่ว่าบนแม่น้ำทงเทียนอีกสายหนึ่ง จระเข้สีทองที่อยู่ในแม่น้ำยังเงยหน้าขึ้นฉับพลัน สีหน้าเผยความสะท้านสะเทือน
และยังมีสัตว์ตัวใหญ่น่ากริ่งเกรงอีกมากมายที่เวลานี้ต่างก็ร่างสั่นเยือกอย่างพร้อมเพรียงกัน
“บรรพบุรุษ…โลหิต!” หันจงบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพเวลานี้หนังหัวระเบิด ร่างก็ยิ่งสั่นสะท้าน หลี่จื่อโม่ เถี่ยมู่เจินเหรินที่อยู่ข้างกายเขา แต่ละคนใบหน้าซีดขาว สีหน้าเผยความเหลือเชื่อ
“นี่ถึงกับ…เคลื่อนไหวได้แล้วจริงๆ…”
“สายธาราโลหิตช่างใช้วิธีการที่ใหญ่โตยิ่งนัก นี่คงหมายจะใช้ร่างของบรรพบุรุษโลหิต เดินทวนกระแสธาราขึ้นไป!!”
บุรพาจารย์ชื่อหุนอึ้งงันไปทันที เจินเหรินก่อกำเนิดของสายธาราทมิฬต่างก็มองภาพนี้อย่างไม่อยากเชื่อสายตา
สำนักธาราโอสถก็ไม่ต่างกัน สายตาของทุกคนล้วนมารวมกันอยู่บนเงาร่างใหญ่ยักษ์ที่บดบังนภากาศ บดบังดวงอาทิตย์!
ขนาดบุรพาจารย์ยังเป็นขนาดนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยาอายุวัฒนะและสร้างฐานรากเลย นักพรตสี่สายล้วนฮือฮา และที่ฮึกเหิมมากที่สุดกลับเป็นนักพรตสำนักธาราโลหิต พวกเขาแต่ละคนตื่นเต้น คุกเข่าคำนับให้กับบรรพบุรุษโลหิต พร้อมเปล่งเสียงตะโกนกู่ก้อง
“คารวะบรรพบุรุษโลหิต!!”
“คารวะบรรพบุรุษโลหิต!!” คลื่นเสียงนี้ดังก้องไม่หยุด พลังอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกร!
ขณะที่ทุกคนรู้สึกครั่นคร้าม บนเรือทงเทียนของสำนักธาราเทพ กงซุนหว่านเอ๋อร์มองเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิต สีหน้าของนางประหลาดมาก คล้ายสับสน หัวคิ้วขมวดมุ่นราวกับกำลังย้อนนึกถึงอะไรบางอย่าง แต่กลับคิดไม่ออก
สุดท้ายนางหันไปมองดวงตาของบรรพบุรุษโลหิต ในดวงตาทั้งคู่นั้น นางราวกับมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน แสงรุบรู่ในดวงตาของนางจึงคล้ายจะเพิ่มมากขึ้น
และยังมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เวลานี้สีหน้าก็แปลกประหลาดมากเช่นกัน คล้ายทั้งเคารพยำเกรง และทั้งมากด้วยความหวาดกลัว และยิ่งมีความเหลือเชื่อที่ลึกล้ำเกินกว่าคนอื่นๆ
หญิงสาวผู้นี้ก็คือสตรีของสำนักธาราโอสถที่มีใบหน้างดงามมากพอทำให้บุรุษทุกคนวู่วามหวั่นไหว…เฉินม่านเหยา
และยิ่งไม่มีใครหรือแม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังไม่สังเกตเห็นว่า วินาทีที่เขาควบคุมให้ร่างของบรรพบุรุษโลหิตลุกขึ้นยืน บนท้องฟ้า มีเงาพร่าเลือนร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
เงาร่างนี้สวมชุดคลุมยาวสีดำ มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แยกแยะได้เพียงเลือนรางว่านั่นคือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่บนร่างอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
เขามองร่างของบรรพบุรุษโลหิตเงียบๆ นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความซับซ้อน และมากด้วยการย้อนนึกความทรงจำ
หากป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นคนผู้นี้อย่างชัดเจน เขาก็จะจำได้ทันทีว่า ผู้เฒ่าคนนี้…ก็คือคนที่ช่วยชีวิตเขาในเทือกเขาลั่วเฉินของปีนั้น…คนเฝ้าสุสาน!!
เนิ่นนาน คนเฝ้าสุสานผู้นี้ถึงได้ถอนหายใจเบาๆ เมื่อหมุนตัวกลับเงาร่างก็หายวับไป…
เวลาเดียวกันนั้น เมื่อบรรพบุรุษโลหิตลุกขึ้นยืน น้ำของแม่น้ำที่ถูกดึงขึ้นสูงจึงพลันร่วงลงมา มีทั้งที่ไหลไปตามเรือนกาย มีทั้งที่กลายเป็นฝนทงเทียน บุรพาจารย์ทั้งสามสายเห็นเช่นนั้นก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วลงมือเต็มกำลัง นั่นถึงได้ขับไล่น้ำของแม่น้ำทงเทียนเหล่านั้นออกไป มิฉะนั้น ลำพังเพียงแค่อานุภาพของน้ำนั่นก็สามารถทำให้นักพรตจำนวนไม่น้อยตายเพราะถูกกัดกร่อนได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนสายตาที่มองไปไกลกลับมา ตอนนี้เขายังปรับตัวเข้ากับเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิตไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก ดังนั้นก่อนหน้านี้ถึงได้ทำให้น้ำของแม่น้ำทงเทียนปริมาณมากสาดกระเซ็นไปทั่ว หลังจากเห็นว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือล้มตาย เขาถึงได้ผ่อนลมหายใจ เวลาเดียวกันนั้นเขาก็สัมผัสได้ด้วยว่าขณะที่ควบคุมร่างบรรพบุรุษโลหิต ร่างกายแท้จริงของเขาก็กำลังบำรุงตัวเองอย่างต่อเนื่องไปด้วย
และร่างอสูรก็ค่อยๆ ไต่ระดับเพิ่มสูงมากขึ้น!
“น่าเสียดายที่บรรพบุรุษโลหิตตายไปแล้ว แม้ว่าจะสามารถควบคุมเรือนกายของเขาได้ แต่กลับยากที่จะแสดงพลังแท้จริงอย่างตอนที่เขามีชีวิตอยู่ ทำได้เพียงแสดงพลังของกล้ามเนื้อออกมาแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น” หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรับสัมผัสกับเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิตจึงพลันประจักษ์แจ้งขึ้นมา
ทว่าต่อให้นั่นจะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนเดียว แต่ในความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุน หมัดเดียวของตัวเอง ต่อให้เป็นบุรพาจารย์ก่อกำเนิดก็ยังมิอาจทนรับได้…เพราะพลังนั้นได้เกินขอบเขตของก่อกำเนิดไปแล้ว!
ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังและเจตจำนงของนักพรตสำนักธาราโลหิตในร่างบรรพบุรุษโลหิต สัมผัสได้ถึงจิตสำนึกของเสินซ่วนจื่อปฐมาจารย์ธาราโลหิต มือข้างนั้นของเขาที่เคยเป็นที่ตั้งของสำนักธาราโลหิตจึงพลันยกขึ้น แล้วกดลงไปบนพื้นดินที่เคยเป็นที่ตั้งของสำนักธาราโลหิตโดยตรง
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ผืนดินสั่นสะเทือน เมื่อรอยปริแยกจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้น เสียงแหบพร่าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แพร่กระจายไปสี่ทิศ
“สายธาราโลหิต จงเข้ามาในเรือนกายของข้า!”
ลูกศิษย์เหล่านั้นของสำนักธาราโลหิต แต่ละคนบินออกมาข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น พากันมุดลอดเข้าไปในรอยปริบนแขน จนกระทั่งนักพรตทุกคนของสำนักธาราโลหิตเข้าไปข้างในกันหมดแล้ว แขนของบรรพบุรุษโลหิตที่ป๋ายเสี่ยวฉุนควบคุมจึงค่อยๆ ยกขึ้น ชี้ไปข้างหน้าด้วยนัยน์ตาโชนแสงคมกล้า!
“สำนักสยบธาร…กองทัพทั้งหมด เคลื่อนพล!!”
วินาทีที่เสียงดังเกินอสนีบาตระเบิดไปแปดทิศ ร่างกายของบรรพบุรุษโลหิตที่ป๋ายเสี่ยวฉุนควบคุม ขาทั้งคู่ที่อยู่ในแม่น้ำก็ก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น น้ำในแม่น้ำซัดสาดกระเซ็น ร่างของยักษ์เคลื่อนกายไปข้างหน้า!
หันจงบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพสูดลมหายใจเข้าลึก เมื่อโบกมือทั้งสำนักธาราเทพก็เคลื่อนพล ไม่นานเรือรบทงเทียนขนาดหนึ่งแสนจั้งก็ระเบิดพลังอันน่าตะลึง ติดตามไปด้านหลังบรรพบุรุษโลหิต แล่นฉิวผ่ากระแสน้ำคำรามไปเบื้องหน้า
สายธาราทมิฬ สายธาราโอสถต่างก็เป็นเช่นเดียวกัน เวลานี้เรือรบของพวกเขาถูกเปิดใช้อย่างเต็มกำลัง ไม่นานก็ตามไปด้านหลัง ตรงดิ่งไปยังแม่น้ำทงเทียนตอนกลาง!
เมื่อมองไกลๆ เบื้องใต้แสงอาทิตย์ในยามสายัณห์ ยักษ์เป็นผู้นำขบวนอยู่ด้านหน้า และมีเรือรบอีกสามลำตามหลัง เดินทางทวนกระแสธาร ความแข็งแกร่งของพลังอำนาจนั้นเขย่าคลอนนภากาศและพื้นปฐพี ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมและเมฆซัดโหมตลบอบอวล!
สัตว์ทุกตัวที่อยู่ในแม่น้ำทงเทียนมิกล้าขวางกั้นแม้แต่นิด ทุกตัวพากันหลีกทางไม่บังอาจเข้ามาใกล้!
………………………….
จบภาคที่ 2