Skip to content

A Will Eternal 345

บทที่ 345 สิ่งสกปรก…

ฟ้าดินมืดสนิท เมื่อเงาชุดขาวนั้นปรากฏตัว อากาศรอบด้านก็พลันเปลี่ยนมาเป็นเย็นเยียบ ทึมทึบน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก เห็นเพียงเลือนรางว่าเงาชุดขาวนี้เหมือนจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง

ผมยาวของนางปลิวไสว เดินอยู่บนสมรภูมิรบท่ามกลางราตรีมืดมิดนี้

ทุกที่ที่ผ่าน บนพื้นล้วนเกิดเป็นผนึกน้ำแข็ง ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดแห้งเหี่ยวลงในพริบตาคล้ายถูกดูดพลังชีวิตออกไป ทว่าหลังจากที่ดูดเอาพลังชีวิตไปแล้ว ร่างของหญิงสาวชุดขาวผู้นี้กลับยิ่งชัดเจนมากขึ้น

ไม่นานนางก็มาหยุดอยู่ข้างศพของนักพรตสำนักธารฟ้าศพหนึ่ง เมื่อก้มหน้าลง ปากของนางก็เปล่งเสียงหัวเราะคิกคัก สูดลมเบาๆ หนึ่งครั้ง เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าศพนั้นพลัน…ซูบเหี่ยว แล้วกลายมาเป็นโครงกระดูกแห้งๆ อย่างรวดเร็ว ราวกับไม่ได้เพิ่งตายเมื่อไม่กี่วัน แต่ตายมาแล้วหลายปีอย่างไรอย่างนั้น

ยังไม่หยุด หญิงสาวผู้นี้เดินหน้าต่อ เมื่อนางเดินผ่านที่ใด ศพทุกศพบนสนามรบแห่งนี้ก็จะกลายมาเป็นซากโครงกระดูกในชั่วระยะเวลาสั้นๆ และร่างของหญิงสาวก็ยิ่งแจ่มชัด จนกระทั่งท้ายที่สุด นางหมุนคอน้อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศไกล แล้วสะบัดร่างลอยฉิวไปยังเขตที่มีศพของนักพรตสำนักธารฟ้าจำนวนมากวางกองอยู่

สถานที่แห่งนี้เป็นเขตของสำนักธาราโลหิต เดิมทีมีไว้เพื่อใช้เป็นพื้นที่หลอมศพ รอบด้านก็มีค่ายกลปิดผนึกเอาไว้ ทว่าตราผนึกนี้สำหรับหญิงสาวแล้วกลับเหมือนไม่ได้ดำรงอยู่ นางลอยผ่านไป มองศพบนพื้นที่มีนับหมื่นศพ นัยน์ตาของนางฉายแสงแปลกประหลาด จากนั้นก็ทำการสูดอีกครั้ง…

การสูดครั้งนี้ทำให้ศพทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้นแห้งเหี่ยวทันที พริบตาเดียวศพนับหมื่นก็กลายมาเป็นซากกระดูก เพียงแค่มีลมพัดโชย โครงกระดูกจำนวนไม่น้อยยังกลายเป็นขี้เถ้าปลิวหายไปด้วย…

และบัดนี้ร่างของหญิงสาวก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ปากของนางปล่อยลมออกมาคล้ายเสียงเรอเวลากินอิ่ม เมื่อผินหน้ามาน้อยๆ เมฆดำบนท้องฟ้าเริ่มจางหาย แสงจันทร์เส้นหนึ่งสาดกระทบลงมาบนซีกหน้าของนาง ทำให้มองเห็นรูปโฉมของนางได้แจ่มแจ้งมากขึ้น

นางก็คือ…กงซุนหว่านเอ๋อร์!

“ถือว่าพออิ่มเสียที น่าเสียดายที่ล้วนเป็นวิญญาณตายแล้ว อยากกินวิญญาณของคนเป็นๆ จังเลย” กงซุนหว่านเอ๋อร์ปิดปากหัวเราะ หมุนตัวหนึ่งครั้งร่างของนางก็หายวับไปท่ามกลางความว่างเปล่า

เมื่อนางหายตัวไป เมฆดำบนท้องฟ้าก็สลายไปด้วย แสงจันทร์เผยตัวออกมาอีกครั้ง เมื่อสาดแสงลงมากระทบโดนโครงกระดูกเหล่านั้น แม้แต่แสงจันทร์ก็ยังดูซีดเซียว…

คืนนี้การปรากฏตัวของกงซุนหว่านเอ๋อร์ไม่มีใครสัมผัสถึง ต่อให้เป็นพวกบุรพาจารย์ก่อกำเนิดเองก็ยังไม่ระแคะระคายแม้แต่นิด…

ป๋ายเสี่ยวฉุนจามฟืด รู้สึกหนาวขึ้นมาน้อยๆ จึงตื่นจากการเข้าฌาน มองไปรอบด้าน ไม่เห็นมีอะไรก็ไม่คิดมาก นั่งทำสมาธิต่อ

จนกระทั่งเช้าวันที่สองมาถึง พอลูกศิษย์ที่รับผิดชอบจัดการศพหลอมมองเห็นซากกระดูกแห้งเหี่ยวไร้เลือดเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วนในเขตที่วางศพเอาไว้ ต่างก็อ้าปากกว้างตาค้าง จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องอุทานด้วยความตะลึงระคนแปลกใจ ซึ่งเรื่องนี้สร้างความฮือฮาให้กับทุกคนในสำนักสยบธาร

“นี่มัน…นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

“สวรรค์ ศพของที่นี่กลายมาเป็นซากแห้งหมดแล้ว…”

“เลือดเนื้อก็หายไปหมด…แถมยังเหมือนตายมานานแล้ว เมื่อวานที่ข้าเห็นยังไม่ใช่แบบนี้เลย!”

ไม่นานหลังจากคนมากมายพบว่าแม้แต่ศพที่อยู่บนสนามรบซึ่งยังไม่ทันได้ถูกเก็บกวาดก็กลายมาเป็นซากแห้งไปด้วย จึงนำมาซึ่งความอึกทึกครึกโครม ทั้งยังสะเทือนไปถึงบุรพาจารย์สี่สายที่กำลังปรึกษาเรื่องกฏระเบียบในสำนัก

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเอะอะโวยวายด้านนอก เขารีบลืมตาขึ้นแล้วบินออกมาตรวจสอบ ยืนอยู่กลางอากาศ ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบด้าน มองปราดเดียวก็เห็นศพเหล่านั้นที่อยู่บนสมรภูมิรบ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจเล็กน้อย ความพิลึกพิลั่นของศพพวกนั้นทำให้ทุกคนซึ่งรวมถึงเขาด้วยต่างก็อดเกิดลางสังหรณ์ร้ายไม่ได้

และเวลานี้เอง บนเขาสยบธารที่กำลังปลูกสร้างซ่อมแซมก็มีรุ้งยาวสิบกว่าเส้นคำรามออกมา ในนั้นก็คือบุรพาจารย์สี่สาย พวกเขาแต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม ตรงดิ่งเข้ามายังพื้นที่ศพหลอมของสายธาราโลหิต

ด้านหลังของพวกเขายังมีนักพรตรวมโอสถจำนวนไม่น้อยตามมาด้วย

พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นอย่างนั้นก็รีบบินออกไป ไม่นานคนกลุ่มหนึ่งที่มีนับร้อยคนก็มาถึงพื้นที่ศพหลอมของสายธาราโลหิต

ที่แห่งนี้ถูกล้อมไว้ด้วยนักพรตจำนวนมากอยู่นานแล้ว พวกเขาต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์ มองเห็นพวกบุรพาจารย์มาถึง ทุกคนจึงเก็บเสียง ทว่าสีหน้าตะลึงระคนสงสัยของพวกเขากลับทำให้มองออกว่าเรื่องเมื่อคืนนี้มีอิทธิพลต่อพวกเขาไม่น้อย

เพราะยังไงซะ…เรื่องที่อยู่ๆ ศพซึ่งมีเลือดเนื้อกลับกลายมาเป็นซากแห้งราวกับถูกดูดเอาพลังชีวิตไปแบบนี้ ก็ง่ายต่อการทำให้ทุกคนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในแม่น้ำตอนกลางคิดวุ่นวายไปไกล

บุรพาจารย์สี่สายเร่งรุดเดินทางมายังพื้นที่ที่วางศพหลอมเอาไว้ หลังจากทุกคนมาถึงก็รีบกระจายกันไปตรวจสอบรอบด้านทันที ไม่นานนักพรตก่อกำเนิดเหล่านี้ก็ทยอยกันหน้าเปลี่ยนสี

โดยเฉพาะหันจงธาราเทพ เฟิงเสินจื่อธาราโลหิต และชื่อหุนแห่งธาราทมิฬ สามคนนี้คือก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบที่แข็งแกร่งที่สุด เวลานี้สีหน้าของพวกเขาเคร่งเครียดถึงขีดสุด ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ พอสัมผัสได้ถึงปราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในที่แห่งนี้ สีของคนทั้งสามก็มืดคล้ำดำทะมึน หลังจากมองหน้ากันไปมา เฟิงเสินจื่อธาราโลหิตจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“เนื่องจากต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าถูกถอนรากออกมา เป็นเหตุให้ปราณใต้ดินหลุดรั่วออกมาด้วย นั่นจึงทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ ทุกคนไม่จำเป็นต้องตื่นตกใจ พวกข้าผู้อาวุโสจะวางค่ายกลปิดผนึกปราณใต้ดินนี้เอง”

ไม่เพียงเฟิงเสินจื่อเท่านั้นที่พูดเช่นนี้ พวกหันจงและชื่อหุนเองก็เอ่ยในทำนองเดียวกัน ใช้ความน่าเชื่อถือของพวกเขามาลดทอนความกระวนกระวายใจของพวกลูกศิษย์ ซึ่งก็มีหลายคนที่ผ่อนลมหายใจอย่างคลายใจ

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างกายของนักพรตก่อกำเนิดเหล่านี้ พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ด้วยตาของตัวเอง เขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เขาเองก็ลองสัมผัสกับปราณของที่นี่เหมือนกัน ทว่าแค่ลองรับสัมผัสเล็กน้อย เขาก็รู้สึกเย็นเยือกไปทั้งร่าง ราวกับว่ามีไอความเย็นมากมายหลายเส้นหมายจะมุดลอดเข้ามาในกายเพื่อคว้าจับพลังชีวิตของเขาเอาไว้

เขาไม่เชื่อคำพูดของพวกบุรพาจารย์ หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยจึงหันไปมองทางบุรพาจารย์หันจงแห่งธาราเทพ หันจงมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง ห้ามปรามไม่ให้เขาเอ่ยอะไร

เรื่องนี้จึงถูกยับยั้งได้อย่างรวดเร็ว แต่ละสายล้วนมีคนออกมาพูดชักนำเกลี้ยกล่อม บวกกับที่ทุกวันนี้มีเรื่องมากมายให้ต้องทำ อีกอย่างก็ไม่มีคนเป็นๆ เสียชีวิต เรื่องนี้จึงค่อยๆ ถูกระงับลงไปได้ในที่สุด แม้ทุกคนจะยังคลางแคลงใจ ทว่ากลับไม่ได้ซักไซ้เอาความต่อ

มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนและนักพรตรวมโอสถทุกคนเท่านั้นที่เที่ยงของวันนี้ได้เข้าร่วมการหารืออย่างลับๆ กับบุรพาจารย์สี่สายบนภูเขาสยบธาร

“เรื่องน่าจะเกิดขึ้นเมื่อคืนวาน ทว่าที่ประหลาดก็คือเมื่อคืนวานพวกข้ากลับสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่นิด…”

“สิ่งที่ศพเหล่านั้นสูญเสียไปคือเลือดเนื้อ ต่อให้เป็นเลือดเนื้อที่ไม่มีพลังชีวิตทว่ากลับมีพลังที่พิเศษบางอย่างดำรงอยู่ และที่สำคัญที่สุดก็คือ…เดิมทีศพเหล่านี้มีปราณความตายตลบอบอวล ทว่าก่อนหน้านี้…พวกข้าผู้อาวุโสกลับหาปราณความตายจากศพพวกนั้นไม่เจอแม้แต่เส้นเดียว!”

“ปราณที่หลงเหลืออยู่ในบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยความมืดมนน่าสะพรึงกลัว คล้ายพลังของจิ่วโยว!”

“หวังว่าพวกข้าผู้อาวุโสจะวิเคราะห์ไม่ผิด…ในสำนักสยบธารของเราน่าจะมีวิญญาณดวงหนึ่ง…ที่น่ากลัวอย่างถึงที่สุด และไม่ควรดำรงอยู่ในโลกใบนี้ปะปนเข้ามาอยู่กับเรา!

เพราะว่ามีเพียงวิญญาณของผู้ที่ตายแล้วเท่านั้นถึงจำเป็นต้องใช้ปราณความตายมาหล่อเลี้ยงตัวเอง หากแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งยังจำเป็นต้องใช้พลังชีวิตของคนเป็นด้วย!” เฟิงเสินจื่อสายธาราโลหิตกวาดสายตามองไปยังนักพรตรวมโอสถทุกคน เอ่ยปากเนิบช้า เจินเหรินก่อกำเนิดคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างกายเขาต่างก็เงียบงันไม่พูดจา

ประโยคนี้ดังออกมา นักพรตรวมโอสถของสำนักสยบธารก็พากันสูดลมเย็นๆ เข้าไปเฮือกใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งหน้าซีดเผือดในพริบตา เขาเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของเฟิงเสินจื่อได้ทันที

“ผี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น ขนลุกขนพองไปทั้งร่าง

“แต่พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวลมาก ที่บอกพวกเจ้าก็เพื่อให้พวกเจ้าระวังตัวไว้หน่อย และพวกข้าผู้อาวุโสก็จะวางค่ายกลแหฟ้าตาข่ายดินเอาไว้ด้วย ขอแค่วิญญาณนี้กล้าปรากฏตัวอีกครั้ง วิญญาณของมันก็จะแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีในทันที!”

บุรพาจารย์ชื่อหุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า นัยน์ตาฉายประกายประหลาด กวาดตามองไปบนร่างของนักพรตรวมโอสถทุกคน ตอนที่มองมาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนมาเป็นเหยเกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอาการตัวสั่นของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาจะร้องก็ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออก

ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญหาย จนกระทั่งออกมาจากภูเขาสยบธารแล้ว ในสมองของเขาก็ยังมีแต่ความคิดเหลวไหลวุ่นวายเต็มไปหมด โดยเฉพาะนึกถึงเมื่อคืนที่ตัวเองฟื้นตื่นขึ้นมาจากการนั่งทำสมาธิเพราะความหนาว เขาก็ขนลุกขนชันไปทั้งร่าง

“หรือว่าเมื่อคืน สิ่งสกปรกนั้นมาหาข้า!!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกมาถึงตรงนี้ก็แทบจะกรีดร้องออกมา ไม่กล้าไปยังยังจุดที่เขาเล็งไว้สำหรับการหลอมยาของเมื่อวานนี้อีก แต่กลับมาที่ภูเขาสยบธาร ที่นี่อยู่ใกล้บุรพาจารย์ เขาถึงวางใจขึ้นมาเล็กน้อย

บนภูเขาสยบธารแห่งนี้ เขาอาศัยฐานะบุรพาจารย์น้อยของตัวเองยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่ง หลังจากลงมือขุดถ้ำง่ายๆ ขึ้นมาหนึ่งแห่งก็ไพล่นึกไปถึงสิ่งสกปรกนั้นอีกครั้ง ยังคงรู้สึกหวาดผวาไม่คลาย

ดังนั้นจึงกัดฟันออกไปตามหาลูกศิษย์ของสำนักธาราทมิฬให้มาวางค่ายกล

ถ้ำของคนอื่นค่ายกลเดียวก็พอแล้ว ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวนี่นา ดังนั้นจึงไปตามหาผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการวางค่ายกลของสายธาราทมิฬมาสิบกว่าคน ให้พวกเขาช่วยตนวางค่ายกลติดต่อกันสิบกว่าค่าย และพื้นที่ด้านในเกินครึ่งยังวางวัตถุขจัดสิ่งที่เป็นเสนียดจัญไรเอาไว้ด้วย…เพื่อปกป้องคุ้มกันถ้ำอย่างแน่นหนา

ผู้แข็งแกร่งด้านการวางค่ายกลของสำนักธาราทมิฬสิบกว่าคนนั้น แต่ละคนจากไปด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังรู้สึกไม่วางใจ ดังนั้นจึงกัดฟันออกไปเอาคะแนนคุณความดีของตัวเองแลกยันต์จำนวนมากกลับมา ซึ่งต่างก็เป็นยันต์ขจัดภัย ยันต์ป้องกันความชั่วร้าย จากนั้นก็ติดไปทั่วทั้งร่าง ทำให้ตลอดร่างมีแต่ยันต์ มองดูแล้วเหมือนบ๊ะจ่างลูกหนึ่ง…นั่นถึงได้วางใจลง

“หึหึ เจ้าสิ่งสกปรกนั้นน่าจะไม่กล้ามาหาเรื่องข้าแล้ว ที่นี่อยู่ใกล้กับบุรพาจารย์มาก ทั้งในถ้ำข้าก็มีค่ายกลหลายชั้น บนร่างยังมียันต์อีกนับไม่ถ้วน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าวิญญาณผีนั่นจะยังกล้ามาอีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด แล้วจึงเดินวางมาดกลับไปที่ถ้ำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!