บทที่ 348 จุดอ่อนของกระต่าย…
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างลึกล้ำ พลังยาอายุวัฒนะวิถีฟ้าในร่างกายแผ่กระจายไปทั่ว แม้แต่ร่างวัชระมิวางวายก็ยังปรากฏออกมาด้วย ความเร็วนั้นเมื่อพุ่งพรวดออกไปก็เกิดเสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว ทว่ายังเร็วสู้เจ้ากระต่ายไม่ได้ กระต่ายตัวนี้เจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างมาก ทุกเท้าที่ถีบออกมาล้วนเล็งมายังจุดที่เจ็บปวดที่สุดบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
ทำให้เสียงร้องโหยหวนของป๋ายเสี่ยวฉุนดังไม่ขาดระยะ เขาอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก คิดจะหยิบอาวุธล้ำค่าสามอย่างที่เพิ่งได้รับออกมา ทว่ายังไม่ทันได้หยิบ เจ้ากระต่ายตัวนี้ก็ระเบิดความเร็วในการไล่กวด กลายร่างเป็นเงาพร่าเลือนต่อเนื่องกัน ถีบเตะจนป๋ายเสี่ยวฉุนได้แต่ร้องคร่ำครวญไม่หยุด
ที่เหลือเกินที่สุดก็คือ เจ้ากระต่ายตัวนี้ยังเลือกถีบเข้ามาที่หน้าของเขาด้วย…
ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะเป็นบ้าเต็มที เขาพบว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้ไม่คิดจะให้เขาได้เอาของวิเศษออกมาสักนิด ที่มานี่ก็เพื่อรังแกและแก้แค้นตนชัดๆ
“เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้นะ เจ้าพูดเลียนแบบคนอื่นเองแท้ๆ เจ้าๆๆ…เจ้ารังแกคนอื่น!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะร้องแต่ไม่มีน้ำตาให้ไหล กระต่ายที่อยู่ด้านหลังก็คำรามแค้นเคืองเช่นกัน
“เจ้าคิดว่าข้าอยากพูดตามนักหรือไง บัดซบเอ๊ย เจ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ก็ยังว่าไปอย่าง เจ้าๆๆ…ต้องโทษเจ้านั่นแหละ!!”
กระต่ายเดือดดาล รัวเท้าเตะใส่ร่างป๋ายเสี่ยวฉุนจนนับไม่ทัน
“เพราะเจ้านั่นแหละ โดยเฉพาะคราวก่อน เจ้าดันพูดออกมาแค่ครึ่งประโยค เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกือบจะบีบให้ข้าผู้อาวุโสเป็นบ้าไปแล้ว!!”
“จะบอกอะไรให้นะเจ้าเด็กป๋าย คราวหน้าหากจะให้ข้าผู้อาวุโสพูดตามอีก เจ้าต้องพูดให้จบประโยค!!” กระต่ายยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ความถี่ของเท้าที่ถีบเตะจึงยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดร้าวไปทั้งตัว ถึงท้ายที่สุดเขาก็โมโหขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน อยู่ๆ เลยตะโกนกร้าวเสียงดัง
“ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนแล้ว!!”
“ใครก็ได้มาช่วยข้าที ข้าคือบุรพาจารย์น้อยของสำนักสยบธาร ข้าเคยหลั่งเลือดเพื่อสำนักสยบธาร!”
“บุรพาจารย์ช่วยข้าด้วย!!” ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะตะเบ็งเสียงแผดดังแค่ไหน เจินเหรินก่อกำเนิดเหล่านั้นก็ไม่ส่งเสียงออกมาให้ได้ยินแม้แต่แอะเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยิ่งอึดอัดคับข้องใจเข้าไปใหญ่
“เจ้ากระต่าย เจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว!!”
“ข้าจะพูดครึ่งประโยคแล้วจะทำไม ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะพูดแค่ครึ่งประโยค ปล่อยให้เจ้าพูดตาม ชีวิตน้อยๆ ของข้าก็หายไปแล้วน่ะสิ!”
“ข้าจะพูดครึ่งประโยค ต่อไปข้าก็จะพูดแค่ครึ่งประโยค!”
“ข้าจะพูดเดี๋ยวนี้แหละ…ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน ด้านหลังคืออะไรต่อ เจ้าบอกข้ามาสิ รีบพูดมาสิ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วอะไรต่อ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ถูกบีบจนร้อนรนไปหมด เวลานี้จึงคำรามขึ้นมาเสียงดัง
ทว่าเขาเพิ่งจะพูดประโยคนี้จบ กระต่ายตัวนั้นที่ไล่ตามมาพลันตัวสั่นเยือก ดวงตาเผยความเลื่อนลอย ชะงักกึกอยู่กลางอากาศ ปากก็คำรามเสียงดังเช่นกัน
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน…”
พอมันคำรามแบบนี้ ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ตะลึง ลูกศิษย์รอบด้านที่ก่อนหน้านี้ถูกดึงดูดให้มาดูเรื่องสนุกก็อึ้งงันไปเหมือนกัน ทุกคนพร้อมใจกันหันมามองกระต่าย ต่างก็เห็นว่าสภาพของกระต่ายตอนนี้เหมือนจะผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
มือทั้งคู่ของมันที่ไพล่หลังเอาไว้เวลานี้ได้ถูกเอาลงมาแล้ว ไม่ได้ยืนสองขาอีกต่อไป แต่กลับมามีสภาพเหมือนกระต่ายจริงๆ เท้าทั้งสี่เหยียบพื้น หูตั้งตรง พูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา
“เจ้าพูดสิ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วอะไรต่อ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลมหายใจถี่กระชั้น ในใจกระตุกวาบ ไม่หนีอีกต่อไป แต่ตะโกนดังลั่น
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน…” กระต่ายร้อนใจ ตะเบ็งเสียงดังเหมือนกัน
“เจ้าพูดสิ รีบพูดสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น ขยับเข้าไปใกล้อีกหลายก้าว ฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด เขาแอบรู้สึกว่าตัวเองหาจุดอ่อนของกระต่ายตัวนี้เจอแล้ว ดังนั้นจึงยิ่งเอ่ยเร่งเร้ามากกว่าเดิม
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุน…” ดวงตาแดงก่ำของกระต่ายแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด ขนตลอดร่างลุกชันเหมือนร้อนใจจนลนลาน สุดท้ายพอถูกป๋ายเสี่ยวฉุนบีบให้พูดไม่หยุดจึงคล้ายจะสติแตก ร้องคำรามดังราวฟ้าผ่าหนึ่งครั้งก็หมุนตัวเผ่นหนีไป ปากก็ระเบิดเรื่องมากมายออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับบุรพาจารย์ชื่อหุนที่หลุดออกมาเยอะสุด ทำเอาคนรอบด้านที่ได้ยินสำลักลมหายใจ ชื่อหุนเองก็ทนไม่ไหวจนต้องปรากฏตัวออกมาไล่กวดเจ้ากระต่าย ทว่ากระต่ายตัวนี้รวดเร็วยิ่งกว่า พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา
เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงเพิ่งจะเข้าใจว่าที่แท้กระต่ายตัวนี้ประสาทไม่ปกติ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ตอนที่ดีจะเป็นเหมือนคนแก่คนหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าคราวก่อนตนสร้างบาดแผลไว้ให้มันอย่างลึกล้ำ เป็นเหตุให้อีกฝ่ายสติแตกทันทีที่ตนเอ่ยถามประโยคนั้นประโยคเดียว…
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ฮ่าๆ แค่กระต่ายตัวน้อยริอาจมาต่อกรกับข้าป๋ายเสี่ยวฉุน ดูสิว่าต่อไปเจ้าจะยังกล้ามาหาเรื่องข้าอีกไหม!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่อนลมหายใจ ลำพองใจอยู่กับตัวเอง ขณะที่กำลังจะคุยโวสักสองสามคำ พลันมองเห็นว่าบุรพาจารย์ชื่อหุนที่อยู่ห่างไปไกลซึ่งเวลานี้ไม่ได้ไล่ตามกระต่ายแล้วหันขวับมาถลึงตาดุดันใส่ตน
พอนึกถึงเรื่องที่กระต่ายแฉออกมาเมื่อครู่นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวหด รีบบินกลับเข้าไปที่ถ้ำของตัวเองอย่างว่องไว นั่นถึงพอคลายใจลงได้ พึมพำกับตัวเองเบาๆ
“จะโทษข้าไม่ได้นะ ใครใช้ให้เมื่อครู่พวกเจ้าไม่ยอมออกมาห้ามปรามมันล่ะ เอาแต่ดูดายปล่อยให้เจ้ากระต่ายนั่นทุบตีบุรพาจารย์น้อยของพวกเจ้าอยู่ได้!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนนวดคลึงใบหน้าของตัวเอง ไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองไม่ควรออกไปข้างนอกบ่อยๆ จะดีกว่า เพราะยังไงซะตลอดทางที่เจ้ากระต่ายนั่นหนีไปก็ไม่รู้ว่ามันโพล่งเรื่องอะไรออกมาบ้าง
“แล้วก็เถี่ยตั้นอีกตัว เจ้าหมอนี่ไม่รู้ว่าหายไปไหน ไม่เห็นมันมาหลายวันแล้ว ต้องไปเกี้ยวสัตว์ตัวเมียอยู่แน่ๆ เลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงล้ำลึกบางอย่างระหว่างตนและเถี่ยตั้น หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรจึงไม่ได้คิดมาก
“ช่างเถอะๆ หลังจากที่ข้าสร้างยาอายุวัฒนะวิถีฟ้าก็ไม่ได้บำรุงด้วยความอบอุ่นดีๆ เลย ถ้าอย่างนั้นก็ฉวยโอกาสนี้ปิดด่านไปแล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจได้เด็ดเดี่ยว พอสูดลมหายใจเข้าลึกก็ปิดผนึกถ้ำ เริ่มปิดด่านบำเพ็ญตบะ
หนึ่งเดือนต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้น เวลาหนึ่งเดือนมานี้ตบะของเขามั่นคงขึ้นไม่น้อย ทั้งยังมีการพัฒนาไปบางส่วน เวลานี้ยกมือขวาขึ้นตบลงบนถุงเก็บของ ในมือจึงมีแผ่นหยกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแผ่นทันที
แผ่นหยกนี้เป็นสีดำ มองดูแล้วธรรมดาไม่สะดุดตา ทว่าเมื่อถืออยู่ในมือกลับรู้สึกเย็นเยียบ ซึ่งก็คือวิชาที่หันจงมอบให้แก่เขา…
ใช้พลังจิตกวาดมองหนึ่งครั้ง สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
“คาถาหันเหมิน[1]เลี้ยงความคิด!”
“การฝึกวิชานี้จำเป็นต้องใช้แม่น้ำทงเทียนเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้เอามากิน แต่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของมัน…แบ่งออกเป็นสองชนิดคือเย็นและความคิด…
ใช้เวทคาถารวมความเย็น ใช้ความเย็นหล่อเลี้ยงความคิด…”
“หากฝึกสำเร็จ แค่ความคิดเดียว เย็นเยือกไปแปดทิศ…แล้วความคิดล่ะคืออะไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างมาก ขณะที่พึมพำเสียงเบาก็อ่านแผ่นหยกต่อ ยิ่งอ่านยิ่งตะลึง พอมาถึงท้ายที่สุดเมื่อเขาวางแผ่นหยกลง ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถี่กระชั้นรุนแรง
“ความคิดก็คือพลังมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากพลังควบคุมบรรลุถึงขีดสุดแล้ว…หรือสามารถพูดได้ว่าเมื่อพลังควบคุมและจิตสำนึกรวมเข้าด้วยกันแล้วถึงจะกลายมาเป็นพลัง!”
“ลมปราณม่วงควบคุมกระถาง หล่อเลี้ยงพลังควบคุม ลมปราณม่วงทงเทียน รวบรวมพลังควบคุมมาอยู่ในเนตรอาคม เป็นการผสานรวมพลังควบคุมและจิตสำนึกในขั้นต้น ทว่าหันเหมินเลี้ยงความคิดนี้จะเป็นการผสานรวมพลังควบคุมและจิตสำนึกเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบแล้วกระตุ้นออกมา ก่อเกิดเป็นพลังความคิดที่แท้จริง ครั้นแล้วจึงหล่อเลี้ยงบำรุง…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กำแผ่นหยกนั้นเอาไว้แน่น เวลานี้เขาประจักษ์แจ้งแล้วว่าวิชาของสำนักธาราเทพแท้จริงแล้วก็คือก็การขยับเพิ่มระดับไปทีละชั้น และเป้าหมายของทั้งหมดนี้ก็เพื่อคำว่าความคิดคำเดียว!
“หากฝึกอย่างนี้ต่อไป มหาเวทควบคุมคนของข้าต้องสำเร็จได้แน่นอน!”
“หรือแม้แต่การรวบรวมแรงดูดแรงผลัก ก็ยังสามารถสำเร็จได้…โดยผ่านทางความคิด!”
“ความคิด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ มองไปยังหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งในถ้ำ พยายามไม่ร่ายเวทคาถาอะไรออกมา เพียงแค่ใช้จิตสำนึกของตัวเองจินตนาการว่าหินก้อนนี้ลอยขึ้น
และขณะที่ความคิดของเขาพุ่งขึ้นสูง ทันใดนั้นหินก้อนนี้ก็พลันสั่นไหวรุนแรง แม้จะไม่ได้ลอยขึ้น เพียงแค่สั่นสะเทือนเท่านั้น ทว่าก็ยังทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง เขามั่นใจอย่างมากว่าตอนนี้ตนไม่ได้ใช้เวทคาถาใดๆ ไม่ได้โคจรตบะแม้แต่นิด ทั้งหมดทั้งมวลนี้ใช้เพียงแค่จิตสำนึกเท่านั้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้สะกดกลั้นความตื่นเต้นในใจลงไป ครุ่นคิดว่าตัวเองควรจะทำถังใหญ่ที่สามารถบรรจุน้ำแม่น้ำทงเทียนได้สักใบหนึ่ง เพื่อสะดวกในการบำเพ็ญตบะ หลังจากนั้นเขาก็วางแผ่นหยกลง แล้วก็คิดไปถึงวิชาอมตะมิวางวายอีกครั้ง ดังนั้นจึงหลับตาทั้งคู่ลง ในสมองย้อนนึกถึงบทที่สามของบทมิวางวายที่เขาได้รับสืบทอดมาตอนอยู่ในร่างของบรรพบุรุษโลหิต…
เอ็นคงกระพัน!
เส้นเอ็นคือต้นกำเนิดของความเร็ว พลังของเส้นเอ็นสามารถทำให้คนคนหนึ่งยืดหยุ่นได้ถึงขีดสุด เผยความเร็วออกมาได้ถึงจุดสูงสุด และขณะเดียวกัน ความเร็ว…ก็สามารถเพิ่มพละกำลัง หมัดหนึ่งที่ต่อยออกไปด้วยความเร็วปกติ กับหมัดหนึ่งที่ปล่อยด้วยความเร็วน่าตะลึง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
และความมหัศจรรย์ของเอ็นคงกระพันนี้ก็คือภายใต้ความเร็วสูงสุด พลังกล้ามเนื้อจะไม่เพียงแต่ระเบิดออกมา ยังแฝงเร้นไว้ด้วยวิชาอภินิหารลึกลับบางอย่างของบทมิวางวาย วิชาอภินิหารนี้…ทุกครั้งที่ปล่อยหมัดปล่อยเท้าแตะต่อยโจมตี จะก่อให้เกิดการยับยั้ง!
การยับยั้งนี้สามารถปิดผนึกทุกอย่างได้!
สามารถพูดได้ว่าสองบทแรกของวิชามิวางวายคือบทที่ทำให้แค่พลังกล้ามเนื้อของคนไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดเท่านั้น ทว่าบทหลัง…นอกจากกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งแล้วยังมีการเปลี่ยนแปลงของวิชาอภินิหารที่ลึกลับมากมายด้วย
“ผนึกมิวางวาย!” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย นี่คือวิชาอภินิหารจากบทที่สามของบทมิวางวาย เหมือนกับตรวนสลายลำคอ และชนาเขย่าภูเขา!
ทว่าเอ็นคงกระพันนี้ไม่เหมือนกับสองบทแรก มันไม่มีการแบ่งระดับชั้น มีเพียงว่าตลอดทั้งร่างหลอมรวมออกมาได้มากน้อยแค่ไหน!
แบ่งเป็นแขนขาทั้งสี่ ลำตัว และศีรษะ!
หากสามารถทยอยหลอมรวมทุกสัดส่วนได้หมดก็ถือว่าฝึกสำเร็จ!
——
[1] หันเหมิน (寒门)แปลว่าประตูเย็น