บทที่ 349 จดหมายรักหนึ่งฉบับ…
หลังจากศึกษาคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดและเอ็นคงกระพันอย่างละเอียดแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต็มไปด้วยความรอคอยต่อวันข้างหน้า โดยเฉพาะเวลานี้สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่มากมหาศาลของตัวเอง แม้เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองมีอายุขัยมากน้อยแค่ไหน แต่พอคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องมีพันปีขึ้นไป เขาก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีก
สำหรับความน่าเบื่อในการฝึกบำเพ็ญตบะ เขาเองก็ไม่ได้หงุดหงิดรำคาญ แต่ทำใจให้สงบ ขณะเดียวกันกับที่ศึกษาคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดก็ทดลองฝึกเอ็นคงกระพันไปด้วย
เกี่ยวกับเอ็นคงกระพัน ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่นานมาก แล้วจึงเลือกฝึกนิ้วโป้งเท้าซ้ายของตัวเองก่อน
“เริ่มฝึกจากนิ้วเท้าไปทีละนิ้วถึงจะมั่นคงมากที่สุด!”
หลังจากที่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีภาพที่ตัวเองยกเท้าขึ้นมาแล้วแทงนิ้วเท้าข้างหนึ่งโจมตีคนที่มีเจตนาไม่ดีต่อตน จนคนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสร้องโหยหวน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเลือกไม่ผิด
“คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะเลือกนิ้วมือ นิ้วมือมีประโยชน์ตรงไหนกัน ไม่พูดเรื่องที่มันเป็นจุดที่ทุกคนต้องป้องกัน พอวิกฤตคับขันมาเยือนก็เผ่นหนีด้วยนิ้วมือไม่ได้นี่นา แต่ถ้านิ้วเท้าก็จะต่างออกไป ไม่เพียงแต่สามารถโจมตีโดยที่คนอื่นคาดไม่ถึง แถมถ้าออกแรงกดลงกับพื้นดิน ยังสามารถเพิ่มความเร็วในการหลบหนีได้ด้วย ขอแค่ชีวิตน้อยๆ ยังอยู่ อะไรก็อยู่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก จึงอดทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังไม่ได้ อยากจะส่องกระจกชื่นชมตัวเองเสียหน่อย ทว่ามองหาไปรอบด้านกลับพบว่าในถ้ำของตัวเองดันไม่มีกระจกทองแดงอยู่สักชิ้น
“อะไรกันเนี่ย ทำไมถึงไม่มีกระจก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดความเซ็งขึ้นมาทันที พลันนึกได้ว่าตอนที่สังหารหญิงสาวของสำนักธารฟ้าก่อนหน้านั้น ได้เก็บของของอีกฝ่ายมาไว้ในถุงเก็บของของตัวเองด้วย และเคยกวาดจิตสัมผัสดู จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีกระจกอยู่หนึ่งบาน
ดังนั้นจึงรีบเปิดถุงเก็บของออก พลิกหากระจกทรงกลมขนาดเท่าฝ่ามือบานนั้น ส่วนเจ้าเต่าน้อยนั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนหาอยู่นานมากก็ยังหาไม่เจอ จึงเลิกสนใจ เขาชินกับความลึกลับซับซ้อนของเจ้าเต่าน้อยมานานมากแล้ว
เวลานี้ถือกระจกอยู่ในมือ ป๋ายเสี่ยวฉุนศึกษาอยู่ครู่หนึ่งอารมณ์ก็พลันเบิกบาน กระจกนี่ไม่ใช่วัตถุธรรมดา ถือเป็นอาวุธที่ไม่เลวชิ้นหนึ่ง แม้จะเทียบกับอาวุธล้ำค่าสามชิ้นนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ ทว่ามันก็มีความพิเศษของตัวเอง ทั้งยังสามารถสร้างร่างจำแลงขึ้นมาได้หนึ่งร่างด้วย
เพียงแต่ว่าร่างจำแลงนี้ไม่มีพลังในการต่อสู้ มีประโยชน์เพียงทำให้สับสนเท่านั้น ครานั้นที่หญิงสาวถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเอาชนะอย่างต่อเนื่อง เมื่อร่างที่แท้จริงของนางอยู่ภายใต้เนตรทงเทียนไม่สามารถหลีกหนีไปไหนได้ จึงไม่ได้เอามันออกมาใช้
“ก็ถือว่าไม่เลวนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลิกกระจกเล่นอยู่ในมือไปมา ผ่านไปครู่ใหญ่อยู่ๆ เขาก็ร้องอุทานเบาๆ หนึ่งครั้ง หลังจากมองกระจกที่อยู่ในมืออย่างละเอียด ดวงตาที่สามกลางหว่างคิ้ว เนตรทงเทียนพลันเบิกโพลง
แสงสีม่วงปกคลุมไปทั่วถ้ำทันใด หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องมองนิ่งอยู่พักหนึ่งก็ปิดดวงตาที่สามลง เขาทำท่าครุ่นคิด
“วัตถุชิ้นนี้ เกรงว่าแม้แต่หญิงสาวผู้นั้นก็คงไม่สังเกตเห็น ประโยชน์ที่มากที่สุดของมันไม่ใช่ก่อร่างจำแลง แต่เป็น…หล่อเลี้ยงวิญญาณ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงระคนประหลาดใจ เนตรทงเทียนทำให้เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นเคลื่อนไหวที่คล้ายคลึงกับหน้ากากลึกลับจากกระจกบานนี้ แม้จะทำจากวัตถุดิบที่ต่างกัน ทว่าในด้านการนำมาใช้กลับไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
เล่นไปมาอยู่พักหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็วางกระจกไว้ข้างกาย เริ่มฝึกบำเพ็ญตบะใหม่อีกครั้ง เวลาผันผ่าน อีกครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
คืนนี้ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังบำเพ็ญตบะ ทันใดนั้นรูขุมขนตลอดร่างของเขาก็ตั้งชัน เบิกตาโพลง พื้นดินรอบด้านเขามีคลื่นเคลื่อนไหวปริมาณมากปรากฏขึ้น คลื่นเหล่านั้นแผ่กระจายอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วพื้นดินในถ้ำ ทั้งยังมีไอเย็นเยือกแผ่ไปทั่วด้าน คล้ายต้องการจะแบ่งพื้นที่แห่งนี้ออกจากโลกภายนอก
เวลาเดียวกันนั้น ในถุงเก็บของของเขาก็มีแสงสีแดงระเบิดพร่างพราย หน้ากากนั่นบินออกมาอีกครั้ง ทั้งยังมีเสียงแก่ชราที่แฝงไว้ด้วยความร้อนรนคำรามตามมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ไร้ซึ่งความลังเลใด หลังจากที่อีกฝ่ายพูดหนึ่งคำนั้นออกมา เขาก็ควักเอายันต์จำนวนมากกว่าครั้งก่อน ผสานพลังของยาอายุวัฒนะวิถีฟ้ากระตุ้นพลังทุกด้าน แล้วขว้างใส่หน้ากากนั่นทั้งกำ
หลังจากเสียงเปรี๊ยะปร๊ะดังออกมาอีกครั้ง เสียงคำรามจากในหน้ากากพลันขาดหายไปกลางคัน หน้ากากร่วงลงบนพื้น คลื่นเคลื่อนไหวบนพื้นดินก็หายวับไปทันใด
วิญญาณของเย่จั้งตัวปลอมเพิ่งจะลอยออกมาตอนนี้ มันตัวสั่นเทิ้ม กรีดร้องโหยหวน
“จบกันๆ พวกเขามาอีกแล้ว!”
“ทำยังไงดี พวกเราควรทำยังไงดี…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เมื่อครู่เขาสัมผัสได้รำไรว่าหากตัวเองช้ากว่านั้นอีกนิด หากที่แห่งนี้ถูกแบ่งแยกออก ตนต้องเจอกับความอันตรายแน่นอน
“จองเวรจองกรรมกันจริงๆ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน มองวิญญาณของเย่จั้งตัวปลอมหนึ่งที ไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ ดวงตาทั้งสองข้างที่มีเส้นเลือดฝอยเล็กน้อยของเขาก็เผยแววเด็ดเดี่ยว พูดขึ้นกะทันหัน
“เย่จั้งตัวปลอม ข้าจะเปลี่ยนบ้านให้เจ้า เจ้าต้องร่วมมือกับข้า มิฉะนั้นข้าจะโยนเจ้ากับหน้ากากนี่ให้เป็นอาหารปลาในแม่น้ำทงเทียนพร้อมกัน!”
ร่างของเย่จั้งตัวปลอมเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง อยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าหลังจากมองเห็นดวงตาที่แดงก่ำของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หุบปากฉับ ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างหวาดกลัว
“แม้แต่กระต่ายเฒ่าข้ายังจัดการได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการหน้ากากเล็กๆ นี่ไม่ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะเสียงเย็น หยิบเอากระจกบานนั้นออกมา หลังจากศึกษาอย่างละเอียดเขาก็ยกมือทั้งคู่ขึ้นทำมุทราชี้ไปที่หน้ากาก วิญญาณเย่จั้งตัวปลอมร้องโหยหวน ทว่าเสียงเพิ่งจะดังออกมา กลับโดนป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาใส่ เขาจึงยกมืออุดปากฉับ ไม่กล้าเปล่งเสียงร้องอีก
ป๋ายเสี่ยวฉุนรวบรวมสมาธิมั่น ปราณวิถีฟ้าในร่างแผ่ออก ยาอายุวัฒนะกลิ้งตลบ ตบะแผ่ซ่าน ทำให้มือขวาของเขากลายเป็นสีทอง ส่วนดวงตาที่สามกลางหว่างคิ้วของเขาบัดนี้ก็เปิดพรึ่บ เมื่อตบะรวมตัวกัน แสงสีม่วงนี้จึงสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าก่อนหน้านี้มากมายนัก
คลื่นเคลื่อนไหวน่าหวาดกลัวระลอกหนึ่งระเบิดตูมออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่ออยู่ภายใต้เนตรทงเทียน ท่ามกลางแสงสีม่วงมีสีทองปรากฏขึ้นรำไร ปราณวิถีฟ้าเส้นหนึ่งแผ่จากในเนตรอาคมลงมาตกกระทบบนหน้ากาก
ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมองเห็นทันทีว่ามีเส้นใยผลุบๆ โผล่ๆ เส้นหนึ่ง…เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างวิญญาณเย่จั้งตัวปลอมและหน้ากาก
วินาทีที่มองเห็นเส้นใยนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไร้ซึ่งความลังเลใด มือขวายกขึ้นพรวด แสงสีทองเปล่งประกายระยิบระยับ ฟันฉับลงไปยังเส้นใยที่เชื่อมโยงระหว่างวิญญาณเย่จั้งตัวปลอมและหน้ากากอย่างแรง!
“จงขาดออก!”
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนฟันลงไปบนเส้นใย เส้นใยนี้สั่นระริก เดิมทีแข็งแกร่งทนทานยากจะขาดออก ทว่าเมื่อสัมผัสเข้ากับปราณวิถีฟ้ากลับมิอาจยืนหยัดได้นานนัก ครู่เดียวก็หลอมละลายด้วยน้ำมือการหั่นสะบั้นของ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!
วินาทีที่ขาดออกจากกันนั้น เย่จั้งตัวปลอมกรีดร้องเจ็บปวดหนึ่งเสียง วิญญาณหลุดออกจากหน้ากาก ทว่าขณะที่หลุดออกมา ในความว่างเปล่ากลับมีพลังดึงดูดระลอกหนึ่งคอยฉุดรั้งหมายจะสูบตัวเขาเข้าไป
ทำเอาเย่จั้งตัวปลอมตกใจจนร้องโหยหวนยิ่งกว่าเดิม ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อึ้งตะลึง ยังดีที่กระจกอยู่ข้างกายเขาพอดี เขารีบสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง กระจกบินตรงเข้าหาเย่จั้งตัวปลอมอย่างรวดเร็ว แล้วหลอมรวมวิญญาณของเขาให้เข้าไปอยู่ในกระจกก่อนที่จะถูกความว่างเปล่าดูดเอาไป
ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหายใจฮักๆ ภาพเหตุการณ์นี้มองดูเหมือนง่าย ทว่าในความเป็นจริงแล้วเขาต้องสูญเสียพลังใจไปเยอะมาก เวลานี้จึงตรวจสอบเย่จั้งตัวปลอมที่อยู่ในกระจกก่อนว่ายังอยู่ดีหรือไม่ เมื่อเห็นว่าวิญญาณของคนผู้นี้อ่อนแอลงกว่าก่อนหน้านี้เยอะมาก ทว่ายังดีที่ไม่เป็นอะไรร้ายแรง ตอนนี้เพียงแค่สลบไสลไปเพราะความอ่อนแรงเท่านั้น นั่นจึงทำให้เขาวางใจลงได้
จากนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็จ้องเขม็งไปที่หน้ากากด้วยความดุดัน หัวเราะเสียงเย็น หยิบเอายันต์ทั้งหมดออกมา หลังจากแปะลงไปบนหน้ากากครบทุกแผ่น และยังร่ายตราผนึกที่ตัวเองรู้จักไม่มากลงไป บวกกับนาบตราประทับซ้อนอีกชั้นห่อหุ้มหน้ากากนี้ไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้วางใจลง
“คราวนี้ดูสิว่าเจ้าจะยังมาหลอกหลอนอะไรข้าได้อีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจ เก็บหน้ากากลงไป แล้วจึงบำเพ็ญตบะต่อด้วยความพึงพอใจ
ผ่านไปอีกครึ่งเดือน เวลาครึ่งเดือนมานี้ หน้ากากไม่ก่อเหตุอะไรผิดปกติอีก และการบำเพ็ญตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ เริ่มเข้ารูปเข้ารอย อีกทั้งเขายังดึงเอาเวลาไปศึกษายาทวนธาราด้วย
จนกระทั่งอีกครึ่งเดือนต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป
“ข้าสร้างยาอายุวัฒนะแล้ว ร้ายกาจมาก ฝึกหนักแล้วก็ต้องมีพักผ่อนกันบ้าง จะเอาแต่ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างเดียวแบบนี้ไม่ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล ดังนั้นจึงยุติการปิดด่าน เปิดถ้ำแล้วเดินออกมา
หลังจากสูดเอาอากาศจากด้านนอกเข้าปอดหนึ่งเฮือก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองสำนักสยบธารที่แผ่อาณาจักรกว้างใหญ่ไปสี่ทิศ ส่วนลึกในใจเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ ดังนั้นจึงเอามือไพล่หลัง ลงจากภูเขาสยบธาร เดินเตร่อยู่ในสำนักสยบธารพลางชื่นชมบรรยากาศโดยรอบไปด้วย
“ไม่ได้เจอหน้าพี่หญิงซ่งนานมากแล้ว คิดถึงจังเลย…” พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงลักษณะร้อนแรงของซ่งจวินหว่าน ในใจก็เร่าร้อนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หลังจากกะพริบตาปริบๆ เรียกสติตัวเองจึงตัดสินใจว่าจะไปพลอดรักกับซ่งจวินหว่าน
ตลอดทางที่เดินผ่าน รอบด้านเต็มไปด้วยสีเขียวชอุ่มของแมกไม้ บนท้องฟ้ามีนกลอยบินวน เมื่อมองไป ตลอดทั้งสำนักสยบธารเปี่ยมล้นด้วยปราณวิญญาณประดุจดินแดนของเทพเซียน
ระหว่างทางยังได้เจอกับลูกศิษย์สำนักสยบธารจำนวนไม่น้อย ลูกศิษย์เหล่านี้มีทั้งชายและหญิง พอทุกคนมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะเผยท่าทีเคารพเลื่อมใส และยังมีไม่น้อยที่เผยความกระตือรือร้นอย่างดุเดือดออกมาทางดวงตา ด้วยฐานะของ
ป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาได้กลายเป็นบุคคลผู้เป็นที่จับตามองมากที่สุดในสำนักสยบธาร
โดยเฉพาะสายธาราทมิฬและสายธาราโอสถ พวกเขาไม่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนดี ดังนั้นจึงกระตือรือร้นกับการปรากฏตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนมากที่สุด อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังเนื้อตัวขาวสะอาดสะอ้าน รูปลักษณ์ก็ไม่เลว แถมเวลาปกติยังจงใจโอ้อวดความสามารถต่อหน้าคนอื่น ทำให้ลูกศิษย์หญิงหลายคนแอบมีความรู้สึกอันดีต่อเขา
เวลานี้ขณะที่เขากำลังอมยิ้มทักทายกับลูกศิษย์ เดินผ่านสายของธาราทมิฬ ทันใดนั้น บนภูเขาสายธาราทมิฬก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งปรู๊ดลงมา ผู้หญิงคนนี้หน้าตาหมดจดงดงาม เวลานี้ใบหน้าของนางแดงก่ำ วิ่งห้อมาหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังแปลกใจ ผู้หญิงคนนี้ก็กัดริมฝีปากล่างของตัวเอง ไม่กล้ามองหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนตรงๆ แต่ยัดจดหมายฉบับหนึ่งใส่มือป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความรวดเร็ว
ระหว่างนักพรตด้วยกันมักจะใช้แผ่นหยก จดหมายที่ใช้มือเขียนแบบนี้มีให้เห็นน้อยมากแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่ ก้มหน้าลงมองจดหมายที่อยู่ในมือ บนจดหมายฉบับนั้น เขามองเห็นรูปหัวใจหนึ่งดวง…
“นี่คือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง สูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ ร่างพลันสั่นเยือก ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“จดหมายรัก!!!”