Skip to content

A Will Eternal 360

บทที่ 360 ไปๆๆ ข้าไป

หันจงสามคนหน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่ได้ บุรพาจารย์เฟิงเสินจื่อ ชื่อหุนต่างก็หน้าดำคร่ำเครียด ผู้เฒ่าผมแดงคนนั้นหัวเราะเยาะ นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความดูหมิ่น เดินสะบัดปลายแขนเสื้อจากไป

นักพรตสามสำนักนอกตำหนักใหญ่ต่างฝ่ายต่างเหยียบอยู่บนอาวุธวิเศษ บินกลับสำนักของตัวเองด้วยท่าทางที่โอหังถึงขีดสุด จากไปพร้อมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

ลมพายุที่ก่อตัวขึ้นจากการพุ่งทะยานของพวกเขาพัดตลบไปสี่ทิศ

“สมควรตายเอ๊ย!” ชื่อหุนถลึงตากัดฟัน สบถอย่างแค้นเคือง

“ที่แท้มาอยู่ที่นี่…คงต้องโทษที่พวกเราไม่เข้าใจว่าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลางมีกฏแบบนี้อยู่ด้วย…” เฟิงเสินจื่อขมวดคิ้วแน่น สายตาสลัวแสง

“รวมโอสถภายในหกสิบปี…เรื่องนี้สำหรับคนในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลางที่มีพลังฟ้าดินเข้มข้น มีทรัพยากรมหาศาลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนล่างแล้วช่างยากลำบากยิ่งนัก…” ขณะที่หันจงยิ้มขื่นก็คล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงผินหน้าหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน

ไม่นานสายตาของเฟิงเสินจื่อและชื่อหุนต่างก็ตกมาอยู่ที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกคนทั้งสามจับจ้องจนขนลุกขนพอง ถอยหลังออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว

“เอ่อ บุรพาจารย์ทั้งสามท่าน ข้า…”

“เสี่ยวฉุน ต้องโทษที่สำนักสยบธารของเราอ่อนแอเกินไป ถึงได้ถูกคนรังแกเอาแบบนี้”

“นั่นสิเสี่ยวฉุน ตลอดทั้งสำนักสยบธาร รวมโอสถในช่วงอายุหกสิบปี นับไปนับมาแล้วก็มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น…”

“จั้งเอ๋อร์ ตัวเจ้าเป็นบุรพาจารย์น้อยของสำนัก เรื่องนี้เป็นตัวแทนของการพัฒนาในอนาคตของสำนัก สำคัญอย่างยิ่งยวด!”

ถ้อยคำและสีหน้าของเฟิงเสินจื่อสามคนต่างกัน ทว่าความกระตือรือร้นอันแรงกล้าในดวงตากลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน

“ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนปากคอแห้งผาก รู้สึกงุนงงเล็กน้อย กำลังยืนฟังอยู่ดีๆ แท้ๆ อันที่จริงในใจเขาก็แค้นเคืองเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ตาแก่ทั้งสามคนนี้ถึงได้หันมามองตน โดยเฉพาะได้ยินคำพูดเหล่านั้นของพวกเขา ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นระรัวขึ้นมาทันควัน

ในใจเขาคร่ำครวญโหยไห้ ยิ่งนึกได้ว่าตลอดทั้งสำนักมีตัวเองคนเดียวที่รวมโอสถภายในเวลาหกสิบปีด้วยแล้ว ถ้าเช่นนั้นการไปพื้นที่สืบทอดตราประทับในครั้งนี้ สำนักอื่นอาจมีคนเจ็ดแปดหรือสิบกว่าคน ทว่าตน…กลับมีคนเดียว

พอนึกถึงภาพเหตุการณ์นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กังวลและหวาดกลัวขึ้นมาทันที อีกทั้งเมื่อครู่นี้ตนยังอวดดีทำให้คนสำนักธารดารารับเคราะห์ แถมยังข่มขู่สำนักธารอันตและธารมรรคาไปด้วย

“เอ่อ…บุราพจารย์ ข้า…จริงๆ แล้วข้าปิดบังอายุที่แท้จริง ใช่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึกๆ อักๆ พูดมาถึงตรงนี้สีหน้าก็พลันเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความขมขื่น พูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก

“เรื่องมาถึงตอนนี้ ตัวข้าเป็นบุรพาจารย์น้อยของสำนัก ย่อมไม่ควรปิดบังเรื่องนี้ต่อไปอีกเด็ดขาด อันที่จริงแล้ว…ปีนั้นที่ข้าขึ้นเขามา ไม่ได้อายุสิบกว่าปี แต่ตอนนั้นข้าอายุเกือบจะสี่สิบแล้ว!”

“เพียงแต่ว่าข้าตัวเล็ก ดังนั้นถึงได้ปิดบังอายุที่แท้จริง นี่เป็นความผิดของข้าเอง ข้าจึงต้องพูดความจริงกับพวกท่านให้ได้ และจะไม่ยอมให้เรื่องนี้มาเป็นตัวถ่วงธุระสำคัญของสำนักเด็ดขาด!”

ถ้อยคำของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความเสียใจ ให้ความรู้สึกเหมือนความลับยิ่งใหญ่ถูกเปิดเผย พูดไปพูดมาเขาก็ประสานมือโค้งตัวต่ำคารวะพวกบุรพาจารย์

“บุรพาจารย์ ในใจข้ารู้สึกย่ำแย่ยิ่งนัก พอคิดว่าข้าอายุมากปูนนี้แล้ว พอคิดข้าว่าถึงขนาดปิดบังอายุของตัวเองกับสำนักข้าก็เสียใจ ข้าจะไปปิดด่าน…” ระหว่างที่พูดป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบวิ่งออกไปจากตำหนักใหญ่ด้วย

ชื่อหุนขมวดคิ้ว เฟิงเสินจื่อเองก็เริ่มร้อนรน ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเอ่ยปากพูด อยู่ๆ หันจงกลับส่งสายตาให้พวกเขา แล้วเป็นฝ่ายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขมขื่น

“เสี่ยวฉุน หากเจ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปหรอก”

ฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้หยุดชะงัก ยังคงเดินดุ่มไปที่ประตูใหญ่

“ใครใช้ให้สำนักสยบธารของเราอ่อนแอเกินไปล่ะ ไม่มีคนที่รวมโอสถภายในอายุหกสิบปีแม้แต่คนเดียว ชะตาฟ้ากำหนดมาให้ถูกสามสำนักรุมรังแก เกรงว่าในแม่น้ำตอนกลางแห่งนี้ คงจะยืนได้ไม่มั่นคงอีกแล้ว” หันจงเอ่ยปากต่อเนื่อง

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินมาถึงตรงนี้ฝีเท้าก็ชะลอเล็กน้อย ในใจตีกันยุ่งเหยิง

“แต่ก็ไม่เป็นไร เจ้าต่างหากถึงจะสำคัญที่สุด เสี่ยวฉุน สำนักก็คือบ้านของเจ้า พวกเราก็คือญาติของเจ้า พวกเราจะไม่บังคับเจ้า ต่อให้พวกเราถูกคนกลั่นแกล้ง พวกเราก็จะปกป้องเจ้า ปกป้องลูกศิษย์ทุกคน!” หันจงยิ่งพูดก็คล้ายจะยิ่งฮึกเหิม

เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาหยุดอยู่ข้างประตูใหญ่แล้ว เขามองท้องฟ้านอกประตู ความสับสนในใจยิ่งมีมาก

“คราวนี้สำนักสยบธารของเรายอมสละสิทธิ์ไปก็แล้วกัน เฟิงเสินจื่อ ชื่อหุน พวกเจ้าไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าอีกแล้ว เอาตามนี้แหละ!” ร่างของหันจงคล้ายจะแก่ชราลงไปอีก ในน้ำเสียงแฝงเร้นไว้ด้วยความเหนื่อยล้าและซึมเซา

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกระสับกระส่ายไปทั้งร่าง เขามองท้องฟ้าด้านนอก ลมหายใจติดขัดเล็กน้อย

“อะไรนะ เฟิงเสินจื่อเจ้าว่าอะไร ไม่ได้ จะปล่อยให้เสี่ยวฉุนไปคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด แม้พวกเราจะรู้อยู่แล้วว่าต้องแพ้ แต่ก็หวังแค่ว่าจะแพ้อย่างมีหน้ามีตาสักหน่อย…หา? ข้ารู้สิ ข้ารู้ว่าเสี่ยวฉุนเคยพูดว่าสำนักอยู่ เขาก็อยู่ ข้ารู้ว่าพวกเราดีต่อเขามาก ข้ารู้หมดนั่นแหละ พวกเจ้าหยุดพูดเถอะ!”

“ชื่อหุน เจ้าเองก็ไม่ต้องส่งข้อความเสียงมาให้ข้าอีกแล้ว ข้าตัดสินใจดีแล้ว แม้ว่าเสี่ยวฉุนจะมีอาวุธล้ำค่าคุ้มกันกาย ทั้งยังเป็นยาอายุวัฒนะวิถีฟ้า แถมยังฝึกฝนกล้ามเนื้อจนแข็งแกร่ง คิดจะทำให้เขาตาย นอกเสียจากก่อกำเนิดแล้ว คนระดับเดียวกันก็ทำได้ยากยิ่งนัก อีกทั้งการช่วงชิงตราประทับสืบทอดไม่อนุญาตให้มีการตายเกิดขึ้น นี่คือโองการที่มาจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เพราะยังไงซะหากว่ากันตามจริงแล้วนี่ก็เป็นหนึ่งในวิธีการเลือกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ทว่า

ป๋ายเสี่ยวฉุนคือบุรพาจารย์น้อยของพวกเรา ต่อให้ไม่มีอันตราย พวกเขาก็จะปล่อยให้เขาไปเสี่ยงอันตรายแม้แต่เสี้ยวเดียวไม่ได้!” หันจงพูดเสียงดัง

เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด หันขวับกลับมามองบุรพาจารย์ทั้งสามท่าน อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก พูดด้วยน้ำเสียงโอดครวญ

“ข้าไป ข้าไปก็ได้ ไม่ต้องพูดแล้ว…”

พอคำพูดนี้หลุดออกจากปากของป๋ายเสี่ยวฉุน หันจงก็ลุกพรวดขึ้นยืน เดินก้าวหนึ่งมาหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน ตบไหล่เขาด้วยความตื่นเต้นหนึ่งครั้ง

“เด็กดี ตกลงตามนี้แหละ!”

“นี่คือแผ่นหยกที่มีข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่สืบทอดทั้งหมด เจ้าลองศึกษาให้ละเอียด”

“จากนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อม หนึ่งเดือนให้หลัง ข้าผู้อาวุโสสามคนจะพาเจ้าไปส่งด้วยตัวเอง!” หันจงพูดเร็วปรื๋อ กล่าวจบก็สะบัดร่างหนึ่งครั้งจากไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนเฟิงเสินจื่อและชื่อหุนหลังจากที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาชื่นชมหนึ่งครั้งก็หายตัวไปในพริบตา ราวกับกลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเปลี่ยนใจ…

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองตำหนักใหญ่ที่ว่างเปล่าด้วยความอึ้งงัน เขายกมือขึ้นคล้ายจะคว้าจับอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ได้แต่จับผมตัวเองแล้วออกแรงทึ้ง ร้องคร่ำครวญ

“ตาแก่เจ้าเล่ห์ ตาแก่มากเพทุบาย ไม่รู้กฎอะไรกัน เห็นชัดๆ ว่ารู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แถมยังเริ่มขุดหลุมฝังข้าตั้งแต่เรียกให้ข้ามาที่นี่แล้ว…ข้า…ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาบูดบึ้ง เขารู้สึกว่าตัวเองช่างไร้เดียงสายิ่งนัก เดินออกจากตำหนักใหญ่ด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม แหงนมองท้องฟ้า ท้องฟ้าก็ยังคล้ายจะกลายมาเป็นมืดมน

เขาลากร่างตัวเองกลับเข้ามาในถ้ำได้ก็ถอนหายใจด้วยความเศร้าสร้อยอีกครั้ง พอนึกว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับคนมากมายของสามสำนัก เขาก็รู้สึกโดดเดี่ยวหวาดกลัว

“แค่ข้าคนเดียว…ไม่ถูกสิ ยังมีเถี่ยตั้นนี่นา เถี่ยตั้นก็ถือว่าสอดคล้องกับเงื่อนไข สามารถนับรวมเถี่ยตั้นเข้าไปได้อีกคน พวกเราก็มีกันสองคนแล้ว…”

“จะทำยังไงดี ถ้าพวกเขารังแกข้าจะทำยังไงดี…”ป๋ายเสี่ยวฉุนกลุ้มใจ ก้มหน้าลงหยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมาอ่านอย่างหดหู่ พออ่านจบ เขาก็เข้าใจพื้นที่สืบทอดครั้งนี้มากยิ่งขึ้น

ข้อมูลในแผ่นหยกนี้ละเอียดมาก ตราประทับสืบทอดมีทั้งหมดหนึ่งร้อยชิ้น

ครั้งก่อนสำนักธารฟ้าเคลื่อนพลลูกศิษย์สิบสามคนที่มีเงื่อนไขสอดคล้องกับข้อกำเนิด ระเบิดพลังคว้าเอาตราประทับมาได้สามสิบชิ้น แม้ว่าจะแยกตัวกันไป และไม่มีใครบรรลุวิชาสืบทอดที่อยู่ในตราประทับสำเร็จ

ทว่าเมื่อนำมารวมกัน กลับทำให้สำนักธารฟ้าได้รับการจัดสรรทรัพยากรถึงสามส่วน และก็ด้วยเหตุนี้ ทำให้สำนักธารดาราร่วงลงมาอยู่อันดับท้ายสุด และได้ทรัพยากรไปแค่ส่วนเดียว

อีกทั้งการแบ่งสรรและกติกาการเข้าไปในพื้นที่สืบทอดต่างก็ถูกกำหนดโดยสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจอีกครั้ง จนกระทั่งผ่านไปอีกหลายวัน เขาถึงได้ฝืนใจยอมรับเรื่องนี้ได้ แล้วจึงกัดฟันกรอด

“แม่งเอ๊ย ก็แค่ไปไม่ใช่หรือ ไปๆๆ ข้าไป!!” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงก่ำ พอนึกถึงว่าอีกฝ่ายต้องมีคนมากมาย ในใจเขาก็ไร้ซึ่งความรู้สึกปลอดภัย ดังนั้นจึงไปแลกเอายันต์จำนวนมากมาเตรียมไว้

ยันต์เหล่านี้เขาไม่จำเป็นต้องใช้คะแนนคุณความดีสักคะแนนเดียวก็เชื่อมาได้ พอคิดไปคิดมา เขายังไปที่หออาวุธ เชื่ออาวุธจำนวนไม่น้อยกลับมา

สุดท้ายยังเตรียมเสื้อเกราะ เสื้อหนังอีกหลายตัว ทั้งยังคิดได้ถึงข้อดีของหม้อใหญ่ในปีนั้น จึงไปค้นหาทั่วสำนัก แล้วก็เจอหม้อใบหนึ่งที่ไม่ธรรมดาซึ่งทำมาจากเหล็กชั้นดี

จากนั้นเขาก็กัดฟันใช้ข้ออ้างเรื่องครั้งนี้รีดไถเอาไฟหลายสีมาจากบุรพาจารย์ แล้วนำวัตถุทั้งหมดของตัวเองมาหลอมพลังจิตถึงห้าครั้ง แม้แต่หม้อใบใหญ่สีดำนั่นก็ยังเอามาหลอมด้วย

เพียงแค่เดือนเดียว เขาก็เผาผลาญทรัพยากรไปแล้วไม่น้อย นั่นถึงพอทำให้รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้าง จากนั้นก็ไปขอค่ายกลจากสายธาราทมิฬ ไปเอาเลือดวิเศษจากสายธาราโลหิต และสุดท้ายก็ไปเอายาวิเศษที่สายธาราโอสถ

ทำทุกอย่างนี้หมดก็ใช้เวลาไปแล้วครึ่งเดือน อีกครึ่งเดือนที่เหลือป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกบำเพ็ญตบะอย่างเด็ดเดี่ยว จนกระทั่งเวลาหนึ่งเดือนสิ้นสุดลง ภายใต้ความพยายามของเขา แม้ว่าตบะจะไม่ได้ฝ่าทะลุ แต่ก็พัฒนาไปไม่น้อย

โดยเฉพาะเอ็นคงกระพันที่เขาสามารถฝึกเอ็นของนิ้วโป้งเท้าซ้ายได้สำเร็จ ทุกครั้งที่ออกแรงตรงนิ้วโป้ง เขาจะสัมผัสได้ถึงพลังระเบิดระลอกหนึ่งที่ระเบิดออกมาจากนิ้วโป้งเท้าซ้ายซึ่งน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพลังกล้ามเนื้อของตัวเขาเองเสียอีก

และทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น รองเท้าของเขาจะต้องพังทลาย

ด้วยเหตุนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเตรียมรองเท้าข้างซ้าย…เผื่อไว้เยอะมาก

ในที่สุด…วันสุดท้ายก็มาถึง เช้าตรู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนแบกหม้อสีดำใบใหญ่ไว้ข้างหลัง ตลอดทั้งร่างสวมเกราะหนัง เกราะเหล็ก ทั้งยังติดยันต์จำนวนนับไม่ถ้วน เดินขึ้นไปยังยอดเขาสยบธารด้วยท่วงท่าที่ทั้งเศร้าใจและฮึกเหิม ด้านหลังของเขาคือเถี่ยตั้นที่สวมชุดเกราะ บนร่างแปะเต็มไปด้วยยันต์เช่นกัน ท่ามกลางความพิลึกพิลั่นนั้นมีความดุร้ายแสดงให้เห็น…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!