Skip to content

A Will Eternal 364

บทที่ 364 รังแกกันเกินไปแล้ว

“เป็นแบบนี้ไม่ได้นะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้ม ใจเขาอยากไปที่ตำแหน่งอื่นของขุนเขาแห่งตราประทับ ทว่าเมื่อมองอย่างละเอียดก็เห็นชัดเจนว่าตำแหน่งอื่นมองดูเหมือนสามารถเคลื่อนหน้าต่อได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับอันตรายยิ่งกว่า

แม้สามารถเข้าไปได้จากรอบด้านของขุนเขาแห่งตราประทับนี้ ทว่านี่เป็นเพียงแค่การมองเห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้น ภายใต้เนตรทงเทียนของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาแอบสัมผัสได้ว่าจุดที่สามสำนักและตนอยู่ต่างหากถึงจะเป็นทางเข้าเดียวที่มีโอกาส

หากเดินเข้าไปจากตำแหน่งอื่น ระดับความอันตรายจะเพิ่มสูงถึงขีดสุด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทั้งสามฝ่ายถึงยอมเขยิบเข้ามาใกล้กัน แต่ไม่ยอมต่างฝ่ายต่างมุ่งหน้าเข้าไปในขุนเขาแห่งตราประทับด้วยตัวเอง

เวลานี้เขามองนักพรตสามสำนักที่อยู่ด้านหน้าซึ่งอาศัยพลังของคนจำนวนมากกำลังค่อยๆ เคลื่อนหน้าไป สำนักธารมรรคาแข็งแกร่งสุด จึงเข้าไปใกล้ได้เกือบห้าร้อยกว่าจั้ง สองข้างของพวกเขาคือสำนักธารอันตที่เดินเข้าไปใกล้ได้ประมาณสี่ร้อยกว่าจั้ง ต่อให้เป็นสำนักธารดาราเองก็ยังเข้าไปใกล้ได้ถึงสามร้อยกว่าจั้ง

มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้นที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ข้างนอก เข้าไปไม่ได้

“ด้วยพละกำลังของข้าคนเดียว ไม่สามารถหยุดชะงักอยู่ในนั้นได้นานนัก โอกาสก็มีแค่สองสามครั้งเท่านั้น…” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนแดงก่ำน้อยๆ เวลานี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก หยิบเอายันต์ทั้งหมดออกมาจากในถุงเก็บของแล้วทยอยแปะลงไปบนร่างของตัวเองและเถี่ยตั้น จากนั้นก็หยิบเอาอาวุธป้องกันกายออกมาอีกจำนวนไม่น้อย แล้วถึงได้พูดกับเถี่ยตั้นเบาๆ

“เดี๋ยวรอโอกาสมาถึงเมื่อไหร่ ข้าจะพุ่งเข้าไปก่อน พอได้ตราประทับมาแล้วจะรีบกลับมาทันที หากมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น เจ้ารีบไปช่วยข้าเลยนะ!”

เถี่ยตั้นรีบพยักหน้าหงึกหงัก มันเองก็มองออกถึงอันตรายที่อยู่ในรัศมีห้าพันจั้ง เวลานี้แม้จะตื่นเต้นดีใจที่ได้ออกมาข้างนอกพร้อมป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นครั้งแรก ทว่าก็ตึงเครียดไม่น้อยเหมือนกัน

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนติดขัดน้อยๆ ยืนอยู่ตรงนั้นจ้องเขม็งไปที่ขุนเขาแห่งตราประทับ รอคอยอย่างเชื่องช้า ยังไม่ทันรอนานเท่าไหร่นัก ซึ่งก็คือเวลาประมาณสิบกว่าลมหายใจ ทันใดนั้นบนยอดเขาตราประทับก็มีตราประทับอีกชิ้นหนึ่งเปล่งแสงสว่างไสวแล้วบินทะยานออกมา

หลังจากบินวนอยู่ในรัศมีสามพั้นจั้งหลายรอบแล้วก็บินออกมาด้านนอกอย่างรวดเร็ว สามสำนักดารา อันต มรรคารีบลงมือทันที หมายจะช่วงชิงให้ได้

ทว่าตราประทับนี้เร็วเกินไป พริบตาเดียวก็บินลอดนิ้วมือของนักพรตสามสำนักไป ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนพลันแข็งค้าง คำรามกร้าวเสียงดังหนึ่งครั้ง ยันต์บนร่างเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ อีกทั้งร่างวัชระมิวางวายก็ยังระเบิดออกมาทุกด้าน ร่ายใช้ชนาเขย่าภูเขา แถมยังกังวลว่าความเร็วจะไม่มากพอ นิ้วโป้งเท้าซ้ายของเขาจึงดันลงไปบนพื้นดินอย่างแรง เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ตลอดทั้งร่างของเขากลายมาเป็นเงาพร่าเลือนติดตา พริบตาเดียวก็พุ่งเข้าไปในขอบเขตพื้นที่ต้องห้าม

ความรวดเร็วนั้นแทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เห็นเป็นเพียงเส้นเงามายาที่มาปรากฏอยู่ข้างตราประทับในพริบตาเดียว ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือคว้า ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นทุกคนของสำนักธารดาราก็แผดเสียงดัง แถบผ้าหลากสีที่เกิดจากการรวมพลังทั้งหมดของพวกเขาพุ่งเข้ามาขัดขวางระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและตราประทับ แล้วกระแทกอย่างแรงหนึ่งครั้ง

เสียงตูมดังสนั่น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกกระเทือนจนถอยกรูดออกไป ส่วนแถบผ้านั้นก็ตวัดม้วนแย่งเอาตราประทับไปได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยินยอม ทว่าทำอะไรไม่ได้ จำต้องถอยกลับไปที่เดิมอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางยังถูกสายฟ้าฟาดใส่ ยันต์ทั่วร่างแตกสลายไปเกินครึ่ง นั่นถึงได้หนีกลับมาได้

“รังแกคนอื่น!!” หลังจากกลับมาด้วยใบหน้ามอมแมมเต็มไปด้วยขี้เถ้า

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดือดปรี๊ดทันที ทว่าไฟโทสะเพิ่งจะลุกโหม บนเขาตราประทับก็พลันมีตราประทับอีกสองชิ้นเปล่งแสงวาววับในเวลาเดียวกันแล้วบินออกมาอย่างรวดเร็ว หลังจากตราประทับชิ้นหนึ่งถูกสำนักธารอันตทุ่มเทสุดกำลังแย่งชิงไปได้ ตราประทับอีกชิ้นหนึ่งก็ลอดทะลุการปิดผนึกของสามสำนักออกไป ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งค้าง พุ่งพรวดเข้าใส่อีกครั้ง

คราวนี้สายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา ทะเลไฟลุกไหม้ ยันต์ทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว แถมหม้อใหญ่ธรรมดาที่อยู่ด้านหลังก็ยังถูกฟ้าผ่าจนพังทลายไปด้วย นั่นถึงทำให้เขาเข้าไปใกล้ตราประทับ และกำลังจะคว้าเอาไว้ได้แล้ว

“ไสหัวไป!” เสียงฮึดฮัดเย็นชาเสียงหนึ่งดังมาจากท้องฟ้า เมื่อเสียงนั้นปรากฏขึ้นพลานุภาพสยบระลอกหนึ่งที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจิตใจสั่นไหวก็พุ่งโครมครามเข้ามาหา นั่นคือยักษ์มายาตนหนึ่งซึ่งเกิดจากการรวมพลังของทุกคนในสำนักธารมรรคา

ยักษ์ตนนี้แค่โบกมือก็มีพลังน่าตื่นตะลึงระเบิดออก กลายเป็นลมพายุบ้าคลั่งที่ไม่ด้อยไปกว่าเวทผนึกของที่แห่งนี้ ซัดตลบเข้ามาที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง

พลังกล้ามเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดตูม ทั้งยังมีอานุภาพของยาอายุวัฒนะวิถีฟ้าที่พยายามต่อต้านกับยักษ์ตนนั้น มือขวาของเขายังคงยื่นออกมาคว้าตราประทับ ซึ่งตอนนี้อยู่ห่างจากตราประทับอีกไม่ถึงสามจั้ง อีกแค่พริบตาเดียวก็จะคว้าไว้ได้

ทว่าเวลานี้เอง ยักษ์ตนนั้นพลันยกมือขวาขึ้นแล้วต่อยโครมลงมา ก่อเกิดเป็นลมพายุที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม เสียงตูมดังหนึ่งครั้งก็พัดกวาดเอาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนปลิวกระเด็นออกไป

มุมปากของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเลือดสดไหลซึม ยันต์ทั่วร่างระเบิดออกหมด ยังมีอาวุธป้องกันกายจำนวนไม่น้อยที่แตกทลายลงไปท่ามกลางพายุที่เกิดจากยักษ์ตนนั้น และร่างของเขาก็ถูกลมพายุจากหมัดยักษ์พัดให้ลอยทื่อถอยกลับไป

เพราะยังไงซะพลังที่ทุกคนรวมกันสร้างยักษ์ตนนี้ขึ้นมาก็ไม่ใช่สิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวจะต้านทานได้ เขาทำได้เพียงมองยักษ์ตนนั้นเอื้อมมือคว้าตราประทับที่เดิมทีควรเป็นของเขาไปอย่างง่ายดาย ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่ร่างอยู่ในภาวะแข็งค้างก็ถูกเวทคาถาที่เกิดจากพลังกักกันตรงดิ่งเข้าใส่

“ไม่เจียมตน!” ยักษ์หันกลับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย้ยหยันหนึ่งครั้ง แล้วจึงสะบัดร่างกลับไปลอยอยู่เหนือทุกคนของสำนักธารมรรคา

เมื่อเห็นวิกฤตที่เกิดขึ้น เถี่ยตั้นที่อยู่ด้านนอกจึงคำรามอย่างเดือดดาลหนึ่งครั้ง แล้วถลันเข้ามาหาโดยไม่สนใจสิ่งใด พอรับตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ได้ก็รีบถอยห่างทันที

ทว่าขณะที่กำลังถอยหนีนั้น แถบผ้าหลากสีของสำนักธารดาราพลันปรากฏขึ้น ไม่ได้ม้วนตลบลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน เพียงแค่สะบัดเบาๆ หนึ่งครั้งก่อเกิดเป็นการสกัดกั้น ทำให้ร่างของเถี่ยตั้นชะงักกึก สายฟ้าสองเส้นผ่าเปรี้ยงลงมา เถี่ยตั้นที่โดนพลังสายฟ้าจึงกระอักเลือด ป๋ายเสี่ยวฉุนดิ้นรน หลังจากที่ร่างกายฟื้นคืนเป็นปกติได้เล็กน้อยก็คว้าเอาตัวเถี่ยตั้น หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ห้อตะบึงออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

“ในเมื่อสำนักสยบธารไม่มีความสามารถที่จะช่วงชิงตราประทับไปได้ก็จงยืนอยู่ข้างนอกเสียแต่โดยดี อย่าได้เข้ามาสร้างความรำคาญอีก!”

ทุกคนของสำนักธารอันตมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนและเถี่ยตั้นเผ่นหนีไปก็แค่นเสียงเย็นตามมา

“หากยังเข้ามาแย่งอีกล่ะก็ ถึงแม้กฎจะขัดขวางไม่ให้พวกเราสังหารเจ้า ทว่าหากพลังกักกันของที่แห่งนี้ดับทำลายเจ้าไปเองโดยไม่ทันระวัง ใครก็พูดอะไรไม่ได้” ในสำนักธารดาราก็มีเสียงเสียดสีดังลอยมาเช่นกัน ผู้ที่เอ่ยประโยคนี้ก็คือเฉินอวิ๋นซาน

คำพูดนี้ของเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นการย้ำเตือนถึงเจตนาร้ายโจ่งแจ้ง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดอย่างต่อเนื่อง หลังจากถูกลมสีดำกระแทกลงมาบนร่างอีกครั้งเขาก็กระอักเลือด นั่นถึงได้ถอยกลับมาอยู่ที่เดิม ได้ยินคำพูดของสามสำนัก มองเห็นว่าสามสำนักล้วนเข้าไปใกล้อีกห้าร้อยจั้งแล้ว ดวงตาของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาทันใด

“รังแกกันเกินไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธจัด ยิ่งมองเห็นบาดแผลบนร่างของเถี่ยตั้นด้วยแล้ว ความเดือดดาลของเขาก็ปะทุพลุ่งพล่าน หอบหายใจหนักหน่วง จ้องเขม็งไปที่นักพรตทั้งสามสำนัก

“แย่งตราประทับข้าก็ยังพอทน นี่ยังคิดจะทำร้ายข้า แถมยังทำให้เถี่ยตั้นต้องบาดเจ็บด้วย!”

“พวกเจ้าบังคับข้าเองนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน แสงสีแดงในดวงตายิ่งมีมาก เวลานี้ลมหายใจของเขาสงบลงแล้ว จึงรีบป้อนยาให้กับเถี่ยตั้น สายตาสังเกตการณ์ไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง ครู่ใหญ่หลังจากนั้น ตอนที่นักพรตของสำนักธารมรรดาเดินออกไปได้หนึ่งพั้นจั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดร่างหนึ่งครั้ง พาเถี่ยตั้นไปยังพื้นที่อื่นที่เนตรทงเทียนของเขามองเห็นว่าเป็นทางตัน

เวลาเดียวกันนั้น นอกพื้นที่สืบทอด ขอบเขตนอกค่ายกลหินยักษ์ แม้นักพรตก่อกำเนิดสี่สำนักจะมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ในพื้นที่สืบทอด ทว่ากลับสามารถวิเคราะห์ความสำเร็จของลูกศิษย์ในสำนักตัวเองได้จากจุดแสงทั้งสี่นั้น

เวลานี้จุดแสงของสำนักธารมรรคาแจ่มชัดที่สุด ส่วนสำนักธารดาราและสำนักธารอันตต่างก็เริ่มสว่างขึ้นมา มีเพียงจุดแสงของสำนักสยบธารเท่านั้นที่มืดมิดไร้แสงมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

ระดับความสว่างของจุดแสงเป็นตัวแทนถึงจำนวนมากน้อยของตราประทับที่ได้รับ เวลานี้พอมองเห็นว่าจุดแสงของสำนักตัวเองแจ่มชัดมากที่สุด

นักพรตก่อกำเนิดสำนักธารมรรคาก็ยิ้มน้อยๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเก่งกาจอะไร ในสายตาของพวกเขา หากสำนักธารมรรคาของตนได้ที่หนึ่งมาครองก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรอยู่แล้ว

“ยินดีกับสหายนักพรตด้วย อันดับหนึ่งในครั้งนี้ดูท่าแล้วคงจะเป็นของสำนักธารมรรคาอีกครั้ง” ผู้เฒ่าผมแดงสำนักธารดาราหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยแสดงความยินดีกับเจินเหรินก่อกำเนิดของสำนักธารมรรคา

“แต่สหายนักพรตสำนักสยบธารน่ะสิ ครั้งนี้ผลงานของพวกเจ้าใช้ไม่ได้เลยนะ ห่างชั้นจากสำนักธารฟ้ายิ่งนัก”

“ปีนั้นสำนักธารฟ้าอยู่อันดับสองเชียวนา แถมช่วงแรกๆ ยังสูสีกับสำนักธารมรรคาด้วย”

ขณะที่ทั้งสามสำนักนี้กำลังพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม บุรพาจารย์ชื่อหุนสามคนจากสำนักสยบธารต่างก็มีสีหน้ามืดคล้ำ มองหน้ากันไปมาแล้วถอนหายใจ ระหว่างที่เดินทางมาที่นี่พวกเขาก็ได้เตรียมใจมาไว้แล้ว ทั้งในใจลึกๆ ยังยอมแพ้ไปแล้วด้วย เพียงแค่หวังว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะได้ตราประทับมาสักอันก็พอ

“สหายนักพรตหันจง พวกเรามาเดิมพันกันดูดีไหมล่ะ ข้าเดิมพันว่าตราประทับที่สำนักสยบธารของพวกเจ้าได้มาครั้งนี้ต้องไม่เกินสองชิ้นแน่นอน!” หลังจากมองเห็นสีหน้าของหันจงสามคน ผู้เฒ่าผมแดงของสำนักธารดาราก็เอ่ยขึ้นกะทันหัน

คำพูดของเขาดังออกมา สีหน้าของหันจงสามคนยิ่งน่าเกลียด สำนักธารมรรคาและสำนักธารอันตเองก็พากันหันมามองสำนักสยบธาร เผยความสนใจออกมาเด่นชัด

“เดิมพันด้วยอะไร!” เฟิงเสินจื่อเงยหน้าขึ้น จ้องเขม็งไปที่ผู้เฒ่าผมแดง กล่าวเน้นย้ำทีละคำ

“ข้าผู้อาวุโสจะเอาหินอุกกาบาตก้อนหนึ่งของสำนักธารดาราข้าซึ่งสามารถระเบิดการโจมตีครั้งหนึ่งด้วยพลังเท่าเทียมคนฟ้ามาเดิมพันกับเรือรบทงเทียนลำที่ใหญ่ที่สุดในสำนักสยบธารของพวกเจ้า!” ผู้เฒ่าผมแดงสำนักธารดาราจ้องเขม็งไปที่หันจง พูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง

หันจงหน้าเปลี่ยนสี เฟิงเสินจื่อเองก็เผยความดุดันออกมาทางดวงตา หินอุกกาบาตเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของสำนักธารดาราก็จริง มูลค่าสูสีกับเรือรบทงเทียน ทว่าสำหรับสำนักสยบธารแล้ว เรือรบทงเทียนนั้นล้ำค่ายิ่งกว่า เห็นได้ชัดว่าด้วยฐานะของผู้เฒ่าผมแดง กล้าพูดเดิมพันถึงของสำคัญขนาดนี้ แสดงว่าต้องเตรียมการมาตั้งแต่แรกแล้วอย่างแน่นอน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!