บทที่ 375 ผู้พิทักษ์ของป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาเหงาหงอย ท่าทางคล้ายคนจิตใจห่อเหี่ยว ศีรษะลู่ลง มองไปยังหันจงอีกครั้ง จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าหันจงไม่ได้ล้อเล่น ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงทอดถอนใจด้วยความเศร้าหมอง
“สวรรค์เอ๋ย เหตุใดถึงได้ทำให้ข้าเป็นคนยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ แม้แต่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ยังต้องการตัวข้าให้ได้!”
หันจงที่อยู่ใกล้ๆ เดิมทีในใจยังมีความโศกเศร้า ทว่าพอได้ยินคำพูดประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าบางทีการที่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอาจเป็นการตัดสินใจที่ไม่เลวก็ได้ ดังนั้นจึงรีบเอ่ยปาก
“เอาล่ะ เจ้าไปเตรียมตัวสักหน่อยเถอะ จะเดินทางในอีกสามวันให้หลัง ป้ายคำสั่งนี้เจ้าเก็บเอาไว้ให้ดี ข้าผู้อาวุโสให้สิทธิ์แก่เจ้า สามารถเลือกใครก็ได้เป็นผู้พิทักษ์ของเจ้า…” กล่าวจบหันจงก็โยนป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน หมุนกายหมายจะจากไป ทว่าเท้าเพิ่งจะยกขึ้นก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยย้ำอีกรอบ
“อย่าเกินห้าคนล่ะ หากมากเกินไป สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจะไม่อนุญาต”
ป๋ายเสี่ยวฉุนจนใจ ได้แต่มองหันจงจากไปตาปริบๆ เขายืนอยู่ข้างซากปรักหักพัง มองเหม่อไปที่ซากพวกนั้น ความคิดสับสนวุ่นวายไปตลอดคืน จนกระทั่งเช้าตรู่วันที่สองมาถึง เขาก็ถอนหายใจยาวอีกครั้ง
“ช่างเถอะๆ ในเมื่อสำนักอันตมรรคาฟ้าดารปรารถนาให้ข้าไปขนาดนี้ ข้าก็คงทำได้เพียงไปลองดูสักครั้ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้ม แล้วก็นึกถึงเรื่องที่ตัวเองสามารถเลือกผู้พิทักษ์เองได้ ดังนั้นจึงครุ่นคิดอย่างหนัก
“เถี่ยตั้นไม่ต้องให้มันตามไปจะดีกว่า สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย มีอันตรายเยอะ”
“ส่วนผู้พิทักษ์…ขอข้าคิดก่อนนะ ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่ ที่สำคัญที่สุดก็คือข้อมูลข่าวสาร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่กับตัวเอง ในสมองก็เริ่มใคร่ครวญหาตัวเลือกของบุคคลเช่นนี้
“คนผู้นี้ไม่เพียงแต่ต้องคล่องแคล่วปราดเปรียว ยังต้องถนัดในการสืบเรื่องราวต่างๆ ด้วย สามารถสืบหาเรื่องราวทุกอย่างในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ต่อให้เป็นแค่ข่าวลือก็ต้องสืบค้นได้อย่างแน่ชัด นี่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงมากถึงจะได้…”
“สวีเป่าไฉ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบขาตัวเองป้าบใหญ่ ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายระยิบระยับ บุคคลเช่นนี้ คนแรกที่เขานึกถึงก็คือสวีเป่าไฉ
สวีเป่าไฉผู้นี้ตอนที่อยู่ในสำนักธาราเทพถนัดเรื่องการสืบข่าวมากที่สุด หรือแม้แต่สาวงามหลายคนในสำนักธาราเทพเขาก็ยังเป็นคนจัดอันดับให้ และ
ป๋ายเสี่ยวฉุนจำได้ด้วยว่าสวีเป่าไฉมีสมุดเล็กๆ อยู่เล่มหนึ่ง เวลาเจอเรื่องอะไรเขาก็จะหยิบสมุดเล่มเล็กนั้นออกมาแล้วจดบันทึกลงไปอย่างรวดเร็ว
“ยอมใช้มือเขียน แต่ไม่ยอมใช้การนาบตราลงไปในแผ่นหยก สามารถจินตนาการได้ว่า คนแบบนี้ต้องมีความยึดมั่นมากเป็นพิเศษถึงจะทำได้ บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกต้องเป็นสวีเป่าไฉเท่านั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะหึหึ แล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้ในสำนักสยบธาร สวีเป่าไฉประดุจปลาที่ได้น้ำ ไม่ว่าข่าวลือแบบไหน ไม่ว่าจริงหรือเท็จ สวีเป่าไฉก็รู้ชัดราวกับฝ่ามือของตัวเอง หรือถึงขั้นที่ว่าหากตนต้องการรู้เรื่องอะไร แค่ไปถามเขา ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่ได้รับคำตอบ
ขยับร่างหนึ่งครั้งตรงดิ่งลงไปที่ตีนเขาสายธาราเทพ ไม่นานก็เข้ามาใกล้ พอมาถึงนอกถ้ำของสวีเป่าไฉ สองคนเพิ่งจะเจอหน้ากัน สวีเป่าไฉก็ร้องคร่ำครวญด้วยความเศร้าสร้อยทันที
“อาจารย์อาป๋าย ข้าอาลัยอาวรณ์ท่านยิ่งนัก ข้าได้ยินมาแล้ว ท่านจะต้องไปสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราในฐานะตัวประกัน การไปครั้งนี้ของท่าน ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนพวกเราถึงจะได้พบหน้ากันอีกครั้ง อาจารย์อาป๋าย…รักษาตัวด้วย!!” สวีเป่าไฉมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยใบหน้าอาลัยอาวรณ์ แม้แต่ดวงตาทั้งคู่ยังมีน้ำตามาคลอรอแล้วด้วยซ้ำ
“เจ้าได้ข่าวเร็วขนาดนี้เลยหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างแปลกใจ เขาเพิ่งได้ข่าวนี้เมื่อไม่นานนี้เอง นึกไม่ถึงว่าสวีเป่าไฉเองก็จะรู้ข่าวแล้วเหมือนกัน
“ก็ใช่น่ะสิ ตลอดทั้งสำนักสยบธาร ไม่มีเรื่องใดที่ข้าสวีเป่าไฉจะไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด ขอแค่เป็นความลับที่ข้าสวีเป่าไฉต้องการรู้ ข้าก็มีวิธีการมากมายที่จะไปสืบหามาจนได้” สวีเป่าไฉกล่าวอย่างลำพองใจทันที นี่เป็นจุดที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับเขาได้มากที่สุด และจะไม่ยอมให้ใครคลางแคลงใจในตัวเขาได้เด็ดขาด
“แต่อาจารย์อาป๋ายวางใจได้เลย เรื่องราวของท่าน ข้าสวีเป่าไฉจะช่วยส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองเอง จะทำให้ลูกศิษย์ทุกคนที่เข้าสำนักมาใหม่ได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของท่าน” สวีเป่าไฉกล่าวอย่างจริงใจ ทว่าในใจกลับลำพองใจ เรื่องที่ช่วงก่อนหน้านี้ลูกศิษย์หญิงทุกคนในสำนักล้วนหลงใหลคลั่งไคล้ในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาอึดอัดกลัดกลุ้มอยู่นานมาก เขารู้สึกว่ามีป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ ชีวิตนี้ของตัวเองก็ยากที่จะได้เลือกคู่บำเพ็ญตบะ โดยเฉพาะลูกศิษย์หญิงหลายคนที่เขาชื่นชอบต่างก็ไปเลื่อมใสชื่นชมป๋ายเสี่ยวฉุนกันหมด นี่ทำให้สวีเป่าไฉยิ่งอึดอัดขัดใจเข้าไปใหญ่
ตอนนี้พอได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไปอยู่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา สวีเป่าไฉจึงฮึกเหิมขึ้นมาทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินคำพูดของสวีเป่าไฉก็ซาบซึ้งขึ้นมาโดยพลัน เดินขึ้นหน้าไปตบไหล่ของสวีเป่าไฉหนักๆ ใบหน้าเผยความจริงใจและอาลัยอาวรณ์
“สหายรัก เดิมทีข้ายังลังเลอยู่ เพราะยังไงซะสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ถือว่าเป็นสถานที่ที่แปลกใหม่อย่างยิ่ง ตัวข้าเดือดร้อนคนเดียวก็ยังพอว่า ไม่อยากให้เดือดร้อนพี่น้องคนอื่นด้วย ทว่าพอเจ้าพูดแบบนี้ ข้าก็เข้าใจแล้ว!”
“หา?” เห็นได้ชัดว่าสวีเป่าไฉได้ข่าวมาไม่ครบ พอได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเช่นนี้เขาก็อึ้งตะลึงไปทันที แอบรู้สึกทะแม่งๆ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนตัดบท
“ข้าต้องการผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่ช่วยสืบข่าวให้แก่ข้า คนคนนั้นก็คือเจ้าแล้วล่ะ!”
ร่างของสวีเป่าไฉสั่นเทิ้มขึ้นมาทันใด เขาเบิกตากว้าง เมื่อเข้าใจทุกอย่างแน่ชัดแล้วสีหน้าของเขาก็ซีดเผือด รีบเอ่ยปฏิเสธ
“อาจารย์อาป๋าย ข้า…ข้าตบะต่ำต้อย…”
“ข้าต้องการการสืบข่าวของเจ้า ไม่ต้องการตบะของเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมืออย่างคิดมาก
“ข้า…ข้าเงอะงะซุ่มซ่าม…”
“ไม่เป็นไร ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ขอแค่เป็นความลับที่เจ้าสวีเป่าไฉต้องการรู้ เจ้าก็มีวิธีมากมายที่จะไปสืบหามาจนได้ แค่จุดนี้ก็เกินพอแล้ว อีกอย่างเจ้ายังเป็นคนเข้มแข็งตรงไปตรงมา ข้ายังจำสารท้ารบที่เขียนด้วยเลือดของเจ้าในปีนั้นได้ เจ้าไม่ต้องเอ่ยอ้างอีกแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าอาลัยอาวรณ์ข้า ในใจเจ้าต้องยอมตกลงอยู่แล้ว เอาตามนี้แหละ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ มองเห็นว่าสวีเป่าไฉหน้าซีดขาวทำท่าคล้ายจะปฏิเสธอีกครั้ง ดังนั้นจึงหยิบเอาแผ่นหยกที่หันจงมอบให้ออกมาโบกตรงหน้าปสวีเป่าไฉ
“ป้ายคำสั่งของบุรพาจารย์!” สวีเป่าไฉสำลักลมหายใจ ร่างทั้งร่างคล้ายถูกสายฟ้าห้าเส้นฟาดผ่าลงมา งุนงงอย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ทำท่าคล้ายจะร้องไห้ออกมาจริงๆ แต่ก็เข้าใจดีว่าตนมิอาจปฏิเสธ ได้แต่ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นนานมาก เสียใจอย่างสุดซึ้ง
“ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างมีข้า มาๆๆ เสี่ยวเป่า เจ้าคุ้นเคยกับสำนักดี ไหนเจ้าลองช่วยข้าวิเคราะห์หน่อยสิว่าข้าควรจะเลือกใครเป็นคนต่อไปถึงจะยิ่งมั่นคงกว่าเดิม” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง โอบไหล่ของสวีเป่าไฉเอาไว้แล้วกล่าวพร้อมหัวเราะหึหึ
สวีเป่าไฉหน้าตาบูดบึ้ง สายตาซึมกะทือ พอนึกถึงสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่ไม่คุ้นเคย เขาก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ถึงแม้จะไม่ยินยอม ทว่ากลับไร้หนทางใด เวลานี้ได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนที่บอกชัดเจนว่านี่คือการลากคนอื่นลงหลุมไปด้วยกัน นั่นจึงช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของสวีเป่าไฉได้ทันที
“พวกเรายังต้องการคนหนึ่งที่พยากรณ์ชะตาชีวิตได้ คนผู้นี้ต้องเชี่ยวชาญในวิชาการคำนวณ ทั้งยังต้องมีตบะที่มากพอ เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะช่วยพยากรณ์อันตรายทุกอย่างได้ล่วงหน้า ความปลอดภัยของพวกเราก็จะได้รับการรับประกันอย่างรัดกุมถึงที่สุด ซึ่งข้ามีคนให้เลือกแล้ว นั่นก็คือเสินซ่วนจื่อสายธาราโลหิต!”
สวีเป่าไฉพูดอย่างแค้นเคือง เขากับเสินซ่วนจื่อเคยมีเรื่องกันมาก่อน แล้วก็เคยถูกเสินซ่วนจื่อถลึงตาอย่างดุดันใส่หลายครั้ง อีกทั้งเสินซ่วนจื่อยังเคยแย่งลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งเขาชื่นชอบไปด้วย น่าเสียดายที่ตบะของเขาไม่มากพอ ดังนั้นจึงได้แต่จดจำฝังใจ
เวลานี้พอได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนพูดถึงเรื่องลากคนลงหลุมไปซวยด้วยกัน ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเขาก็คือลากเสินซ่วนจื่อลงมา
“เจ้าพูดถูกมากๆ เลย พวกเราต้องการคนที่พยากรณ์ได้จริงๆ ด้วย!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นด้วยอย่างยิ่งยวด จึงรีบไปหาเสินซ่วนจื่อที่เทือกเขาสายธาราทมิฬพร้อมสวีเป่าไฉทันที
ทั้งสองคนเพิ่งมาถึงก็มองเห็นว่าเสินซ่วนจื่อจัดเตรียมสัมภาระเรียบร้อยแล้ว กำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่นอกถ้ำ เงยหน้ามองท้องฟ้า คล้ายรอพวกเขาอยู่ตรงนี้มานานมากแล้ว
“พวกเจ้ามาแล้วรึ” เสินซ่วนจื่อเอ่ยปากเนิบช้าด้วยท่วงท่าสบายๆ คล้ายยอดฝีมือผู้เก่งกาจ
“ข้าคำนวณได้นานแล้ว่าตัวเองจะมีเคราะห์ร้าย เคราะห์นี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องออกไปข้างนอกหลายปี และจะเกิดขึ้นในเร็ววัน พอสำนักเบื้องบนมาถึง ข้าก็แอบรู้สึกได้ว่าเคราะห์นั้นมาถึงแล้ว” ใบหน้าเสินซ่วนจื่อระทมทุกข์ เชิดคางขึ้น ตอนที่พูดยังสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนและสวีเป่าไฉด้วยสายตาที่แฝงเร้นไว้ด้วยแววปลงตก
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะไปที่ไหน ข้าก็จะติดตามพวกเจ้าไปด้วย เพราะนี่คือเคราะห์ของข้า คือชะตาชีวิตของข้าที่ถูกกำหนดมาแล้ว!”
สวีเป่าไฉเห็นท่าทางเช่นนี้ของเสินซ่วนจื่อก็สำลักลมหายใจทันที
เสินซ่วนจื่อที่อยู่เบื้องหน้าตอนนี้อาภรณ์สะบัดไหว ตลอดทั้งร่างมีสง่าราศีของนักพรตผู้โดดเด่น แถมคำพูดที่เอ่ยออกมาก็ยิ่งทำให้คนฟังอึ้งตะลึง
“เจ้า…เจ้าคำนวณออกมาได้จริงๆ รึ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็แสดงสีหน้าเหลือเชื่อ มองเสินซ่วนจื่อด้วยสายตาคลางแคลงใจ แล้วอยู่ๆ ก็เดินเข้าไปใกล้และเดินวนรอบร่างของเสินซ่วนจื่ออยู่หลายรอบ
สายตาของเขาทำให้เสินซ่วนจื่อตื่นเต้นเล็กน้อย ไพล่นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองเคยแพ้ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างราบคาบรวมไปถึงความน่ากลัวของป๋ายเสี่ยวฉุน
“หึหึจื่อ เจ้าคำนวณได้หรือไม่ว่าอันดับต่อไปข้าจะตบตรงส่วนไหนของเจ้า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถามอย่างแปลกใจ
“ข้า…” เสินซ่วนจื่อหน้าเปลี่ยนสี ในใจก่นด่าไม่หยุด หลังจากมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้งเขาก็เชื่อว่าป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจริงทำจริงแน่นอน ในเมื่อพูดว่าจะตบก็ต้องลงมือแน่ๆ ดังนั้นจึงรีบเลิกวางมาดของนักพรตยอดฝีมือ กลับคืนมามีท่าทางอย่างที่เคยเป็น แถมยังมีท่าทางปลิ้นปล้อนเพิ่มเข้ามาด้วย รีบเค้นรอยยิ้มออกมา
“ข้าล้อเล่นกับบุรพาจารย์น้อยเฉยๆ น่ะ ความจริงแล้วเมื่อคืนวานบุรพาจารย์เฟิงเสินจื่อมาหาข้า บอกให้ข้าเตรียมตัวให้พร้อม หากท่านมาหาก็ให้ข้ายอมปฏิบัติตามแต่โดยดี แล้วนี่พอข้าคิดว่าจะได้ติดตามท่านบุรพาจารย์น้อยไปด้วยก็เลยตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน ดังนั้นเลยจัดเตรียมสัมภาระมารอท่านอยู่ที่นี่อย่างไรล่ะ”
เสินซ่วนจื่อรีบพูดความจริงออกมาอย่างไร้ซึ่งความลังเลใด
ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ ตบไหล่เสินซ่วนจื่อด้วยสีหน้าลำพองใจ คล้ายจะบอกประมาณว่าข้าฉลาดกว่าเจ้า ทำให้เสินซ่วนจื่อไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในสำนักสยบธารแห่งนี้ นอกจากบุรพาจารย์หลายท่านแล้ว เขาก็กลัวป๋ายเสี่ยวฉุนที่สุด เวลานี้กังวลว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะรื้อเรื่องเก่าขึ้นมาพูด ดังนั้นจึงรีบเสนอความคิดเห็นทันที
“บุรพาจารย์น้อย ข้ากับสวีเป่าไฉสองคนยังไม่พอนะ พวกเรายังต้องการนักสู้ที่ต่อสู้เก่งด้วย!”