Skip to content

A Will Eternal 380

บทที่ 380 ข้าหิวแล้ว

เสียงตะโกนของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ทำให้ในตำหนักใหญ่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับคืนมา พวกเสินซ่วนจื่อมองหน้ากัน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาคิดว่าตัวเองเป็นถึงตัวประกัน สถานะที่สำคัญขนาดนี้กลับไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างที่คนเป็นตัวประกันควรได้รับ

“พวกเจ้าว่าใช่ไหม ข้าเป็นถึงตัวประกันเชียวนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถามจางต้าพั่งอย่างโกรธๆ จางต้าพั่งกระแอมหนึ่งครั้ง มองซ้ายมองขวา ไม่ได้พูดอะไร

“ช่างเถอะๆ เรื่องนี้ข้าผู้เป็นตัวประกันจะทนๆ ไปก็แล้วกัน พวกเจ้าคิดว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจหนึ่งครั้ง มองมายังเสินซ่วนจื่อ

“เอ่อ…ข้ารู้สึกว่าพวกเราควรทำความคุ้นเคยกับที่นี่เสียก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ” เสินซ่วนจื่อพูดอย่างระมัดระวัง สวีเป่าไฉและจางต้าพั่งเห็นด้วยอย่างยิ่งยวด เฉินม่านเหยาไม่ได้พูดอะไร กงซุนหว่านเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ ไม่เอ่ยความเห็น ส่วนซ่งเชวียเวลานี้ก็ยังคงมีใบหน้าเขียวคล้ำ ท่าทางไม่สนใจโลก

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองคนเหล่านี้ก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาเริ่มรู้สึกเสียใจแล้วที่พาคนมาด้วย ทว่าตอนนี้แก้ไขอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ทำตามความเห็นของเสินซ่วนจื่อ คนทั้งกลุ่มเดินจึงเริ่มเดินเตร่อยู่ในเมือง

เดินไปเดินมาป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลืมความไม่สบอารมณ์ก่อนหน้านี้ เสียงลมหายใจของเขา เสียงร้องอุทานด้วยความตะลึงของเขาดังออกมาเป็นระยะ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ คนอื่นๆ ที่เหลือก็ไม่ต่างกัน ทุกคนล้วนตกตะลึงกับทุกสิ่งทุกอย่างของนครใหญ่แห่งนี้

เพราะยังไงซะที่นี่ก็คือสถานที่ตั้งของต้นน้ำแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออก ในนครมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่อาศัย มีลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอยู่มากมาย ขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายรุ่นหลายสมัย

เพียงแต่ว่าคนที่นี่ประหลาดอย่างมาก ตลอดทางป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เห็นคนอ้วนเลยแม้แต่คนเดียว คนส่วนใหญ่ล้วนผอมแห้ง แถมบางคนยังผอมจนแทบเรียกได้ว่าหนังหุ้มกระดูกด้วยซ้ำ อีกทั้งคนที่นี่ยังเดินดุ่มๆ ด้วยท่าทางเร่งร้อน ราวกับว่าไม่ต้องการเสียเวลาไปแม้แต่นิดเดียว แม้แต่ตบะก็ยังพิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง คล้ายว่าไม่มีใครต้องการเผยตบะออกมา หากไม่เป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนคือนักพรตยาอายุวัฒนะจึงสามารถมองออกถึงเส้นสนกลในของพวกเขา เกรงว่าหากเป็นคนในขอบเขตเดียวกันมองกันเองคงมีความรู้สึกเหมือนมองมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

สะกดกลั้นความใคร่รู้ในใจลงไป ป๋ายเสี่ยวฉุนพบว่าสิ่งของทุกอย่างที่นี่แทบจะหาซื้อได้หมด แม้แต่อาวุธวิเศษก็ยังมีขาย ส่วนยาก็ยิ่งมากมายละลานตา วัตถุวิเศษ ตำราหลากหลายชนิด อยากได้อะไรมีขายหมด

และยังมีอาหารที่เรียกว่าอาหารวิเศษ มีพืชพันธ์แร่ธาตุวิเศษ มีเลือดเนื้อของสัตว์ร้าย มากมายก่ายกอง แถมราคาก็แพงจนเกินควร ทว่าตลอดทางมานี้พวก

ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเห็นนักพรตมากมายที่ต่อให้กัดฟันก็ยังยอมซื้อ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งเคยได้เห็นนครที่เจริญรุ่งเรืองแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่นานทุกคนก็ถูกดึงดูดด้วยทุกอย่างที่อยู่รอบด้าน

เพียงแต่ว่า…ราคาสินค้าของที่นี่สูงยิ่งนัก ยังดีที่ก่อนหน้าจะมาที่นี่ สำนักสยบธารได้เตรียมหินวิเศษจำนวนไม่น้อยไว้ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นค่าใช้จ่าย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนลองคำนวณดูก็ยังพบว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่คงยากที่เขาจะซื้อของบางอย่างที่ตัวเองอยากได้

อีกทั้งที่ยิ่งทำให้พวกป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมากก็คือพวกเขาแค่เดินเตร่ไม่กี่ชั่วยาม ทุกคนกลับรู้สึกหิวขึ้นมาพร้อมกัน!

เหตุการณ์นี้ทำให้คนทั้งกลุ่มสำลักลมหายใจทันที แต่ละคนเบิกตากว้าง เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว นับตั้งแต่ที่สร้างรากฐานก็ไม่กินธัญพืชทั้งห้า[1]กันแล้ว อีกทั้งความเข้มข้นของปราณวิญญาณที่นี่ก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหารเลยสักนิด แค่รับเอาปราณวิญญาณเข้าไปในร่างก็พอแล้ว

ทว่าตอนนี้…ความรู้สึกหิวที่ไม่เคยมีมานานกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

“เกิดอะไรขึ้น…ข้า…ข้าหิวแล้ว!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำท้อง มองไปยังเฉินม่านเหยาด้วยความแปลกใจ

เฉินม่านเหยาเองก็ตะลึงไปเช่นกัน นางคิดไปคิดมาจึงหยิบเอาแผ่นหยกหนึ่งแผ่นออกมาคล้ายกำลังติดต่อสอบถามใครบางคน ครู่หนึ่งนางถึงได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจระคนประหลาดใจ มองมายังทุกคนด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อย

“พวกเรา…รู้สึกหรือไม่ว่าเวลาแค่ไม่กี่ชั่วยามนี้ ดูเหมือนตบะของพวกเราจะก้าวหน้าไปเล็กน้อย”

พอนางพูดแบบนี้ทุกคนจึงรีบตรวจสอบทันที แล้วก็พบว่าตบะเพิ่มขึ้นมานิดหนึ่ง เพียงแต่ว่ามันน้อยมาก อีกทั้งทุกคนก็ถูกดึงดูดด้วยความหรูหราของรอบด้านจึงไม่มีใครสังเกตเห็น

“ถ้าเช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว เพราะว่าอยู่ใกล้กับมหาสมุทรทงเทียนมากเกินไป ปราณวิญญาณของที่นี่เข้มข้นมากเกินไป เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณเข้าไปปั่นป่วนอวัยวะภายในทั้งห้า ทำให้ตบะเพิ่มขึ้นพรวดพราด ขณะเดียวกันการเผาผลาญก็ดุเดือดไม่ต่างกัน…ดังนั้นพวกเราถึงได้รู้สึกหิว นี่หมายความว่า…การเผาผลาญของพวกเรามิสามารถตอบสนองกับการฝึกฝนจึงยากที่จะเลี่ยงไม่กินธัญพืชทั้งห้าได้อีก”

ขณะที่เฉินม่านเหยาเอ่ยอธิบาย เสียงท้องของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ส่งเสียงร้องดัง “โครกคราก”

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ชีวิตนี้ของเขานอกจากกลัวตายมากที่สุดก็คือกลัวหิว ปีนั้นตอนอยู่ที่เขาเซียงอวิ๋น ฝึกวิชาอมตะมิวางวาย เขาเกือบจะหิวตาย ภายหลังพอสร้างฐานรากก็ไม่เคยรู้สึกหิวอีกเลย ทว่าตอนนี้เมื่อความรู้สึกนี้มาเยือนจึงทำให้ร่างของเขาสั่นเยือก

“อีกอย่างเมื่อครู่นี้ข้าก็ได้ถาม…คนรู้จักมาแล้ว คำตอบที่ได้รับก็คือในนครแห่งนี้ ทุกวันพวกเราต้องกินอาหารปริมาณมากเพื่อไปชดเชยการเผาผลาญพลังงาน แถมยังต้องเป็นอาหารวิเศษเท่านั้นถึงจะได้” เฉินม่านเหยาพูดพร้อมยิ้มเจื่อน

“งั้น…งั้นก็ต้องหิวอยู่ตลอดเวลาเลยน่ะหรือ?” จางต้าพั่งเริ่มตึงเครียด เขาเองก็เหมือนกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีความหลังดำมืดกับความหิว

“นอกจากกลายเป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองและได้เข้าไปอยู่ในสายรุ้งที่จะมีปราณของสายรุ้งช่วยดูดซับเท่านั้น ถึงจะแก้ไขปัญหาข้อนี้ได้” เฉินม่านเหยาถอนหายใจหนึ่งครั้ง ขมวดคิ้วมุ่น นางเองก็รู้สึกหิวเช่นกัน

กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเอามือลูบท้อง เลียริมฝีปากแล้วหัวเราะเบาๆ หนึ่งครั้ง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าไปหาอะไรกินก่อนนะ พวกเราไว้เจอกันใหม่” นางพูดแล้วโบกมือให้กับทุกคน จากนั้นจึงเดินหายเข้าไปในกลุ่มคน

“บุรพาจารย์น้อย…จะทำยังไงดี ข้าเองก็หิวแล้ว…” เสินซ่วนจื่อมองป๋ายเสี่ยวฉุนตาปริบๆ สวีเป่าไฉก็ทำท่าไม่ต่างกัน แม้แต่ซ่งเชวียที่ต่อให้ใบหน้าจะเขียวคล้ำสักแค่ไหนก็ยังหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างอดไม่ได้

“ทนไปก่อน ข้ารู้สึกว่าพวกเราควรหาที่อยู่ให้ได้ก่อนค่อยพิจารณาเรื่องอาหารการกิน” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อยหลังจากเอามือลูบคลำกระเป๋าเสื้อก็กัดฟันพูด

พวกเสินซ่วนจื่อเองก็รู้สึกว่าคำพูดของเขามีเหตุผล ทุกคนจึงหยิบเอายาบางส่วนออกมาจากในถุงเก็บของแล้วกลืนลงไป หลังจากพอคลายหิวได้บ้างแล้วจึงเริ่มตามหาที่พักในเมืองพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุน

ไม่นานพวกเขาก็หาจุดที่จัดการด้านถ้ำที่พักของลูกศิษย์ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเจอ มาที่นี่ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้รู้ว่าถ้ำทั้งหมดล้วนต้องเช่าเท่านั้น ไม่สามารถซื้อได้ ทว่าพอเห็นราคาค่าเช่า เขาก็ต้องสำลักลมหายใจทันที

“นี่…นี่มันแพงเกินไปแล้ว!”

นักพรตที่รับผิดชอบที่แห่งนี้คือลูกศิษย์ชุดส้มคนหนึ่ง เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาเย็นชา ไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่าคร้านจะสนใจ

สถานที่พักของที่แห่งนี้แพงจนเกินคาดคิด ผู้ที่ได้อยู่ในถ้ำต้องเป็นคนร่ำคนรวยเท่านั้น คนธรรมดาแม้แต่คิดก็ยังทำไม่ได้ ได้แต่เลือกไปอยู่ที่บ้านพัก และราคาของบ้านพักก็สูงมากเช่นเดียวกัน

ด้วยความจนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนปรึกษากับทุกคนรอบหนึ่ง สุดท้ายจึงกัดฟันเช่าบ้านพักแห่งหนึ่งที่ถูกที่สุด หลังจากได้ป้ายของบ้านพักมา รอจนทุกคนหาบ้านพักเจอฟ้าก็มืดแล้ว

บ้านพักหลังนี้อยู่ทางตะวันออกของเมือง เรียบง่ายธรรมดาอย่างมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่ามันเรียบง่ายเสียยิ่งกว่าบ้านของตัวเองตอนอยู่ในหมู่บ้านด้วยซ้ำ เขาอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก สถานที่แบบนี้ ค่าเช่าครึ่งปีผลาญหินวิเศษที่สำนักให้เขามาถึงครึ่งหนึ่ง

เหนื่อยมาทั้งวัน บวกกับความหิวที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มาถึงตอนนี้ท้องของทุกคนก็ร้องกันไม่หยุด ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ โยนถุงใส่หินวิเศษให้กับเสินซ่วนจื่อ ให้เขาไปซื้ออาหารวิเศษกลับมา

เสินซ่วนจื่อฮึกเหิมทันใด รับเอาถุงหินวิเศษมาได้ก็กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวบินทะยานออกไป ไม่นานก็กลับมา เขาซื้ออาหารวิเศษมาจำนวนไม่น้อย พอทุกคนแบ่งกันแล้วต่างก็นั่งกินและครุ่นคิดเรื่องในใจกันไปเงียบๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนกินไปกินมา ความคิดถึงที่มีต่อสำนักสยบธารก็ยิ่งเพิ่มพูน

หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ เช้าตรู่วันที่สอง เป็นครั้งแรกที่ความหิว…ขัดจังหวะการเข้าฌานของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็เห็นว่าพวกซ่งเชวียต่างก็ผอมซูบลงมาอย่างเห็นได้ชัด

“บัดซบเอ๊ย ที่นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว จะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้นะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าหวาดกลัวไม่น้อย ตอนนี้เขาหิวจนแทบจะตาลายแล้ว จึงรีบหยิบเอาหินวิเศษมอบให้เสินซ่วนจื่อไปซื้ออาหาร

วันที่หนึ่งผ่านไปเช่นนี้ วันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่…

สี่วันมานี้ ทุกคนล้วนต่างก็ได้ผลัดกันออกไปข้างนอก พอกลับมาแต่ละคนจะต้องนั่งขมวดคิ้วทำสมาธิ คล้ายไม่ต้องการเสียพลังงานไปแม้แต่นิดเดียว

ทว่าต่อให้ทำเช่นนี้ ทุกคนซึ่งรวมป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยก็ยังซูบผอมลงมาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะสวีเป่าไฉที่แทบจะเรียกได้ว่าผอมจนหนังหุ้มกระดูกแล้ว

นี่ยังไม่เท่าไหร่ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนพบว่าหินวิเศษในถุงเก็บของของตัวเองใกล้จะใช้หมดเกลี้ยงแล้ว อย่างมากสุดคงยืนหยัดได้อีกแค่สองวัน…อีกทั้งเขายังเอาหินวิเศษของตัวเองช่วยเสริมเข้าไปถึงเก้าส่วนกว่า จนตอนนี้แทบจะไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว

“พวกเจ้าคิดหาวิธีสิ เป็นอย่างนี้ไม่ได้นะ พวกเจ้าคือผู้พิทักษ์ของข้า พวกเจ้าต้องไปหาเงินมาเลี้ยงข้าสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญมาก จึงพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงชี้แนะสั่งสอน

เขาเพิ่งจะพูดจบ ซ่งเชวียพลันลุกพรวดขึ้นยืน นัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่ง สายตานี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเอ่ยถาม ซ่งเชวียกลับเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

“ข้าทนมามากพอแล้ว!!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าทนมามากพอแล้ว ผู้พิทักษ์อะไรกัน ข้าไม่เป็นแล้ว ข้าซ่งเชวียจะหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง นับแต่นี้ไปเจ้าก็คือเจ้า ข้าก็คือข้า ก็แค่คะแนนคุณความดีมิใช่หรือ ข้าซ่งเชวียตอนอยู่สำนักธาราโลหิตสู้เจ้าไม่ได้ อยู่สำนักสยบธารสู้เจ้าไม่ได้ อยู่ที่นี่ ข้าต้องอาศัยกำลังของตัวเองกลายมาเป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองบินขึ้นสู่สายรุ้งให้จงได้!” ซ่งเชวียกัดฟัน คำรามดังลั่น

ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเสินซ่วนจื่อกลับลุกขึ้นยืนเช่นกัน…

——

[1] ไม่กินธัญพืชทั้งห้าเรียกว่า ปี้กู่ (辟谷)คือวิธีการฝึกอย่างหนึ่งของนักพรตเต๋า โดยหลีกเลี่ยงทานธัญพืชห้าชนิดได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!