Skip to content

A Will Eternal 381

บทที่ 381 อับจนหนทาง

“บุรพาจารย์น้อย…” เสินซ่วนจื่อลุกขึ้นมองป๋ายเสี่ยวฉุน ลังเลอยู่เล็กน้อย ทว่าก็ยังเลือกที่จะกัดฟันพูด

“บุรพาจารย์น้อย ข้า…ก็จะไปเหมือนกัน หากพวกเราอยู่กันอย่างนี้ต่อไป สุดท้ายก็ยากที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ ท่านว่า…”

พอป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ เห็นว่าคนเหล่านี้ต่างก็มีทางออกให้กับตัวเอง เขาก็ร้อนรนขึ้นมาทันที จึงลุกขึ้นยืนเช่นกัน

“พวกเจ้าอย่าไปนะ พวกเจ้าคือผู้พิทักษ์ของข้า ข้าเป็นคนพาพวกเจ้ามา ถ้าพวกเจ้าไปแล้ว ข้าจะทำอย่างไร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ โดยเฉพาะเวลานี้เขาไม่เพียงแต่ใช้หินวิเศษที่สำนักให้มาจนเกือบหมด แถมหินวิเศษในถุงเก็บของของตัวเองก็ใช้ไปไม่น้อยแล้วด้วย เวลานี้ทุกคนมาจากเขาไป ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดใจอย่างมาก

“ข้าเป็นคนพาพวกเจ้ามา พวกเจ้าต้องเลี้ยงข้าสิ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามจะรั้งเอาไว้ ซ่งเชวียที่อยู่ด้านข้างจึงแค่นเสียงเย็นหนึ่งที หมุนตัวกลับอย่างไร้เยื่อใย เขาเตรียมจะไปทำภารกิจเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง เวลานี้จึงก้าวยาวๆ ตรงดิ่งไปที่ประตูใหญ่ของบ้านพัก แล้วเดินจากไปโดยไม่คิดจะหยุดชะงักแม้แต่นิดเดียว

“เชวียเอ๋อร์…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเรียกด้วยความร้อนใจ แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับใดๆ ขณะที่เสินซ่วนจื่อกำลังจะตามออกไป กลับถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดึงแขนเอาไว้

“เสินซ่วนจื่อ ต่อไปข้าจะไม่เรียกเจ้าว่าหึหึจื่อแล้ว เจ้าอย่าไปนะ…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเสินซ่วนจื่อด้วยท่าทางน่าสงสาร

“บุรพาจารย์น้อย ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ตอนที่มาอยู่ที่นี่พวกเราล้วนคิดไม่ถึงว่าสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจะอยู่ยากถึงเพียงนี้…ข้าวางแผนว่าจะออกไปช่วยดูดวงให้กับคนอื่นเพื่อหาทางมีชีวิตรอดต่อไป…”

แม้ว่าปากเสินซ่วนจื่อจะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าในใจกลับเดือดดาล ความคิดถึงที่มีต่อสำนักสยบธารมากมายไร้ขีดจำกัด พอนึกขึ้นมาว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนลากตัวเองลงหลุมไฟหลุมนี้ เขาก็สะบัดปลายแขนเสื้อออกอย่างไร้น้ำใจ หลังจากประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วจึงเดินออกไปทางประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็หายวับไปนอกบ้านพัก

“พวกเจ้าทำกันเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวเดือดดาล ในความคิดของเขา ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย หากคนทั้งสองจากไปตั้งแต่หลายวันก่อนก็ยังพอว่า แต่นี่กลับรอให้ถึงช่วงเวลาสำคัญตอนที่หินวิเศษของตนใกล้จะหมดก่อนแล้วค่อยมาทิ้งตนไปแบบนี้

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังขุ่นเคือง เฉินม่านเหยาก็กระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืน มองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วถอนหายใจ

“ต้องโทษที่ข้าไม่ได้ทำการวิเคราะห์ให้ดี บุรพาจารย์น้อย…ข้าไปจะอยู่กับคนรู้จักก็แล้วกัน หากมีโชควาสนา หวังว่าจะได้พบกันอีกบนสายรุ้ง” เฉินม่านเหยากล่าวจบก็ไม่รอคำตอบจากป๋ายเสี่ยวฉุน สะบัดร่างได้ก็บินออกไปจากบ้านพักทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าแม้แต่เฉินม่านเหยาก็ยังจากไปด้วย เขาก็เริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา เฉินม่านเหยาผู้นี้เป็นคนมาหาเขาเอง อ้อนวอนให้เขาพานางมาที่นี่ด้วย ทว่าตอนนี้กลับมาทิ้งตนไปเสียได้ นอกเหนือจากความโกรธเคือง พอป๋ายเสี่ยวฉุนหันมาเห็นว่าจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉยังอยู่จึงพอคลายใจลงมาได้บ้าง

“หึ พวกเขาอยากจะไปก็ให้พวกเขาไป สุดท้ายแล้วก็มีแค่ศิษย์พี่ใหญ่และเสี่ยวเป่าเท่านั้นที่มีน้ำใจ พวกเจ้าไม่ต้องห่วงนะ ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจ ตบอกตัวเอง ขณะที่กำลังจะพูดปลุกเร้ากำลังใจ สวีเป่าไฉกลับยืนขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

“บุรพาจารย์น้อย ข้า…”

“เจ้าทำอะไร นั่งลงเดี๋ยวนี้” พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นท่าทางของสวีเป่าไฉ ใจก็ร่วงหล่นลงดังโครม หมายจะห้ามปราม ทว่าในเวลานี้สวีเป่าไฉได้ตัดสินใจดีแล้ว เขาจึงเอ่ยวิงวอนด้วยท่าทางที่ใกล้จะร้องไห้เต็มแก่

“บุรพาจารย์น้อย ท่านปล่อยข้าไปเถอะ ข้า…ข้าไม่อยากหิวตายนะ ท่านดูข้าสิ ในบรรดาพวกเรามีแต่ข้าเท่านั้นที่อ่อนแอมากที่สุด หนังข้าแทบจะหุ้มกระดูกอยู่แล้ว ข้ากังวลว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ข้าจะกลายเป็นนักพรตคนแรกที่หิวตาย”

“ท่านเป็นผู้ใหญ่มีเมตตา ปล่อยข้าไปเถอะนะ”

“บุรพาจารย์น้อย ท่านปล่อยข้าไปเถอะ…” สวีเป่าไฉหน้าตาเศร้าสร้อย ดึงชายแขนเสื้อของป๋ายเสี่ยวฉุน มองมาตาปริบๆ

ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งโกรธทั้งเสียใจ มองสวีเป่าไฉอยู่นาน แล้วจึงถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง

“ทุกคนต่างมีปณิธานเป็นของตัวเอง เจ้าอยากจะไป…ก็ไปเถอะ!”

“ขอบพระคุณบุรพาจารย์น้อย!” สวีเป่าไฉซาบซึ้งใจ บินออกไปจากที่พักอย่างรวดเร็ว พอมาอยู่ด้านนอกบ้านพักเขาก็เห็นเสินซ่วนจื่อที่ยืนอยู่ไม่ไกลทันที คนทั้งสองมองหน้ากันไปมา แล้วจึงเดินไปด้านหน้าพร้อมกัน จนกระทั่งออกมาไกลได้ระยะหนึ่งแล้ว คนทั้งสองก็หัวเราะหึหึให้กัน

“เจ้าซ่งเชวียผู้นั้นเป็นพวกหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี ไม่รู้จักผลิกแพลงสถานการณ์ คาดว่าคงอยู่ต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ เหมือนพวกเราสองคนเสียที่ไหน ในที่สุดก็หลุดพ้นจากเงื้อมมือมารแล้ว” ขณะที่เสินซ่วนจื่อกล่าวอย่างลำพองใจก็หยิบเอาเนื้อวิเศษหนึ่งชิ้นออกมาจากในถุงเก็บของแล้วโยนเข้าปาก

“แต่พวกเราทำแบบนี้มันไม่ค่อยดีหรือเปล่า ยังไงซะสถานะของพวกเราก็ยังเป็นผู้พิทักษ์อยู่นะ” สวีเป่าไฉลังเลเล็กน้อยแล้วก็หยิบเอาเนื้อวิเศษชิ้นหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ สวาปามเข้าไปคำใหญ่เช่นกัน

เห็นได้ชัดว่าบนร่างของพวกเขาทั้งสองคนยังแอบกักตุนของกินเอาไว้ไม่น้อย เพราะยังไงซะก่อนหน้านี้เรื่องอาหารการกินป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นคนจ่ายทั้งหมด

“มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ เป็นอย่างนี้ต่อไปต้องหิวตายแน่ๆ อีกอย่างด้วยฝีมือของบุรพาจารย์น้อยแล้ว พวกเราไม่ต้องเป็นกังวลมากหรอก ตอนนี้ทุกคนเลี้ยงดูตัวเองให้ดีก่อน วันหน้าค่อยไปพบเจอกันบนสายรุ้ง” เสินซ่วนจื่อเองก็เริ่มลังเล ทว่าพอคิดๆ ดูแล้วก็กล่าวปลอบใจตัวเอง

คนทั้งสองพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งจึงประสานมือคารวะ ต่างฝ่ายต่างจากไป ตามหาเส้นทางการดำรงชีวิตอยู่ของตัวเอง

และเวลานี้ในบ้านพักจึงเหลือแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนและจางต้าพั่งสองคน จางต้าพั่งนั่งอยู่ตรงนั้น มองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ถอนหายใจแล้วจึงหลับตาทำสมาธิ

ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหอย่างหนัก ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้ มองเห็นว่ายังมีจางต้าพั่งอยู่เป็นเพื่อนตัวเอง ในใจเขาซาบซึ้งอย่างยิ่งยวด แต่หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งวัน ในที่สุดจางต้าพั่งก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ยามสนธยาของวันนี้ เขาจึงมาหยุดอยู่ด้านหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน

“จิ่วพั่ง…”

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่าน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นขึ้นมาทันใด

“จิ่วพั่ง ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ใหญ่ไม่ใยดีเจ้า แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้แต่ตัวข้าเองก็คงเอาชีวิตไม่รอด ข้ากะว่าจะออกไปช่วยหลอมพลังจิตให้กับคนอื่น เจ้าวางใจเถอะนะจิ่วพั่ง รอข้าศิษย์พี่ใหญ่ร่ำรวยแล้ว จะต้องกลับมาหาเจ้าแน่นอน แล้วข้าจะเป็นเลี้ยงดูเจ้าเอง!”

จางต้าพั่งเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว คำพูดประโยคนี้ที่กล่าวออกมาทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจเอ่ยคำใดมาเหนี่ยวรั้งได้

สุดท้ายจางต้าพั่งจึงตบไหล่ป๋ายเสี่ยวฉุน สูดลมหายใจเข้าลึก เดินออกไปจากบ้านพักด้วยท่าทางที่คล้ายได้รับภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง…

เวลานี้ตลอดทั้งบ้านพักจึงเหลือแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว พระอาทิตย์ตกดิน เขายืนเดียวดายอยู่ตรงนั้น ครู่ใหญ่ถึงได้ถอนหายใจเฮือกๆ

“ไปแล้ว คนเหล่านี้ไปกันหมดแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อยคอตก เดินกลับเข้ามานั่งในห้องพัก รู้สึกได้ถึงความหิวในท้องก็เริ่มกลัดกลุ้ม

“ข้าควรจะทำอย่างไรดี…หิวจังเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง จึงทำได้เพียงออกไปข้างนอก เอาหินวิเศษที่เหลืออยู่ไม่มากซื้ออาหารกลับมาชดเชยพลังงานที่สูญเสียไป แล้วจึงไปดูป้ายภารกิจสำหรับลูกศิษย์ชุดแดงในเมือง

ภารกิจทั้งหมดของที่นั่นล้วนมีอันตรายที่แน่นอน แม้ว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ด้วยตบะยาอายุวัฒนะของเขา การทำภารกิจเหล่านั้นจึงแทบไม่มีความเสี่ยงใดๆ ทว่าของรางวัลจากภารกิจเหล่านี้กลับน้อยนิดยิ่งนัก

ป๋ายเสี่ยวฉุนลองคำนวณดู ด้วยการเผาผลาญของตนในเวลานี้ หากเขาคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าเช่นนั้นทุกวันก็แทบจะต้องใช้เวลาทั้งหมดไปทำภารกิจถึงจะได้ เพราะตบะยาอายุวัฒนะของเขาทำให้ระดับการเผาผลาญมีมากกว่าคนอื่นๆ อยู่หลายขั้น หากเปลี่ยนมาเป็นภารกิจที่มีของรางวัลสูง ระดับความอันตรายก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองอยู่นานมากก็ยังตัดสินใจไม่ได้ จึงเดินถอนหายใจกลับที่พัก

เวลานี้เจ้าเต่าน้อยก็ตื่นขึ้นมาแล้ว มันคลานออกมาจากในถุงเก็บของมอง

ป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาคลางแคลงใจ คล้ายแปลกใจว่าเหตุใดตัวมันถึงได้หลับนานขนาดนี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีอารมณ์ไปสนใจมัน บางทีคงเพราะท่าทางไม่สนใจใยดีของเขาจึงทำให้เจ้าเต่าน้อยไม่ได้สงสัยป๋ายเสี่ยวฉุน คิดไปคิดมา มันจึงหดหัวกลับเข้าไปไม่เห็นเงาอีก

ผ่านไปอีกหลายวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปข้างนอกหลายครั้งเพื่อหาวิธีเลี้ยงชีพตัวเอง เพื่อลดการเผาผลาญ เขาจึงทำได้เพียงสะกดตบะของตัวเองเอาไว้ ไม่เปิดเผยออกมาข้างนอกแม้แต่นิดเดียว เมื่อทำเช่นนี้จึงช่วยลดการเผาผลาญของเขาให้เหลือน้อยที่สุด

เพียงแต่ว่าไม่ว่าเขาจะคิดหาวิธีเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองอย่างไร กลับพบว่าในนครใหญ่แห่งนี้ วิธีการที่เขาคิดได้ล้วนมีคนทำไปหมดแล้ว โดยเฉพาะตรงจุดรับภารกิจก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะรับภารกิจ แต่กลับพบว่าลูกศิษย์ที่ไปรับภารกิจมีเยอะมาก

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนที่เพิ่งมาถึง คนในเมืองที่เขาเห็นจึงมีแต่คนผอมแห้งหน้าเหลืองตอบ…แล้วเหตุใดแต่ละคนจึงมีตบะแปลกประหลาด เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นต่างก็เหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนที่ต้องระงับตบะเอาไว้ตลอดเวลาจนแทบจะกลายมาเป็นสัญชาตญานของตัวเอง อีกทั้งเมื่อถูกพลังวิญญาณที่เข้มข้นของที่นี่ก่อกวนจึงทำให้มองไม่ออกว่าใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ

“ข้าเป็นถึงนักพรตยาอายุวัฒนะ จะต้องมาหิวตายอยู่ที่นี่จริงๆ น่ะหรือ!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องคร่ำครวญ หิวจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ดวงตาทั้งคู่ของเขาถึงขนาดปล่อยแสงสีเขียวออกมา ทว่าหินวิเศษในถุงเก็บของกลับหมดเกลี้ยงไปแล้ว อาหารก็เหลืออยู่แค่นิดเดียว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาคงได้แต่กินหญ้าวิเศษแล้ว

เพราะในถุงเก็บของของเขายังมีหญ้าวิเศษมากมายที่จำเป็นสำหรับการหลอมยา ต่อให้เอาออกไปขายก็แลกมาด้วยคะแนนคุณความดีเล็กน้อยเท่านั้น ในนครใหญ่แห่งนี้ คะแนนคุณความดีก็เหมือนหินวิเศษที่สามารถแลกเปลี่ยนได้

“เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้นะ…บัดซบเอ๊ย สำนักอันตมรรคาฟ้าดารานี่มันชั่วร้ายเกินไปแล้ว เหตุใดถึงได้ทรมานลูกศิษย์ขนาดนี้ ข้าเป็นยาอายุวัฒนะเชียวนะ ข้ายังเป็นตัวประกันด้วย พวกเขาไม่กังวลบ้างหรือว่าข้าจะหิวตายจริงๆ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้ม เขายังถึงขั้นคิดจะไปแย่งชิงมา…แต่กลับสืบความมาได้ว่าในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแห่งนี้ หากมีเรื่องปล้นชิงเกิดขึ้น การลงโทษนั้นรุนแรงอย่างถึงที่สุด ดังนั้นจึงได้แต่ถอดใจ ขณะที่คิดไปคิดมา ในที่สุดเขาก็กัดฟันกรอด

“ช่วยไม่ได้ ข้าคงต้องใช้วิธีการที่ข้าถนัดมากที่สุดมาแก้ปัญหา ข้า…ข้าจะหลอมยา!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!