บทที่ 383 ดึงดูดความสนใจ
เวลาเพียงแค่คืนเดียว ภายใต้ความฮึกเหิมของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาค้นพบเป็นครั้งแรกว่าตัวเองมีความหลงใหลในการหลอมยาเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต และในที่สุดเมื่อเช้าวันที่สองมาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หลอมสุดยอดยาปี้กู่ออกมาได้เกือบห้าสิบเม็ด จากนั้นจึงออกไปจากที่พักด้วยความกระตือรือร้น มุ่งหน้าไปยังลานกว้างที่ไปมาเมื่อวาน
ครั้งนี้ เขาเพิ่งจะนั่งลงแล้วเอาขวดยาออกมาวางก็มีนักพรตปริมาณมากพุ่งเข้ามาหาทันที ทุกคนแย่งชิงกันซื้อราวกับเป็นบ้า
สุดยอดยาปี้กู่ห้าสิบเม็ดถูกกวาดไปจนเกลี้ยงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งค้าง หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วเขาจึงเข้าใจทันทีว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
เมื่อเทียบกับอาหารวิเศษราคาแพงมหาโหดของเมืองแห่งนี้แล้ว ราคาของสุดยอดยาปี้กู่นั้นถือว่าต่ำมากจริงๆ อีกทั้งประสิทธิผลก็ยังดีมาก ใครบ้างจะไม่สนใจ ทว่าหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดดูแล้วเขาก็ยังเลือกที่จะไม่ขึ้นราคา เขารู้สึกว่าทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก อีกทั้งความเร็วในการได้รับคะแนนคุณความดีของตนก็ถือว่าเร็วมากพออยู่แล้ว
แต่พอมาวันที่สาม ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินผ่านร้านแห่งหนึ่งกลับเห็นว่าด้านในก็มีสุดยอดยาปี้กู่ขายเหมือนกัน แถมราคายังพุ่งสูงถึงสามพันคะแนนคุณความดี นั่นทำให้เขาแปลกใจทันที
พอมาถึงลานกว้างอีกครั้ง คราวนี้เขายังไม่ทันนั่งลง เพียงแค่เพิ่งมาถึงก็มีนักพรตเจ็ดแปดคนกรูกันเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แถมยังแย่งกันว่าจะซื้อยาวิเศษทั้งหมดของวันนี้ไปทีเดียว
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนระวังตัวทันที หลังจากสังเกตดูจึงพบว่านักพรตเหล่านี้ล้วนเป็นคนในร้านของเมืองฝั่งตะวันออก เห็นได้ชัดว่าพอมาซื้อจากเขาก็จะเอาไปขายราคาสูงในร้านของตัวเอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์ทันที ดังนั้นจึงบอกว่าตนออกกฎใหม่ คนหนึ่งซื้อได้แค่เม็ดเดียวเท่านั้น หากซื้อสองเม็ดราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า สามเม็ดก็เพิ่มขึ้นไปอีก ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ดีนัก เพราะยังไงซะสิ่งที่ในนครฟ้าแห่งนี้ไม่ขาดมากที่สุดก็คือนักพรต…
สุดท้ายด้วยความจนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเลิกสนใจไปเสียเลย ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วเจ็ดวัน คะแนนคุณความดีของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะสมมาได้เกือบหนึ่งแสนคะแนนแล้ว
เวลาเดียวกันนั้น ภายในเจ็ดวันนี้ สุดยอดยาปี้กู่ได้เริ่มก่อให้เกิดความครึกโครมในขอบเขตเล็กๆ ของเมืองฝั่งตะวันออก มีคนไม่น้อยได้ยินเกี่ยวกับยาเม็ดนี้ โดยเฉพาะบางองค์กรของเมืองฝั่งตะวันออกก็ยิ่งให้ความสนใจ
ตลอดทั้งนครฟ้ามีองคก์กรเล็กใหญ่อยู่มากมายนับไม่ถ้วน ต่างก็เป็นการรวมกลุ่มกันระหว่างพวกนักพรต หนึ่งในนั้นที่มีอิทธิพลมากที่สุดและแข็งแกร่งมากที่สุดคือพรรคท้องฟ้า พวกเขาผูกขาดร้านค้าเกือบแปดสส่วนในนครฟ้า ว่ากันว่าเบื้องหลังมีตระกูลคนฟ้าเป็นผู้บัญชาการประหนึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง
คนที่รับผิดชอบในเมืองฝั่งตะวันออกของพรรคท้องฟ้าไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่มีกันสามคน สามคนนี้ต่างก็เป็นลูกศิษย์ชุดส้มที่มีชื่อเสียงอย่างมากในนครฟ้า น้อยครั้งนักที่คนทั้งสามจะอยู่กันพร้อมหน้า ทว่าเวลานี้พวกเขากลับมานั่งอยู่ในห้องลับแห่งหนึ่ง ต่างคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด จ้องมองเบื้องหน้าของพวกเขาที่มีสุดยอดยาปี้กู่…สามเม็ด!
คนทั้งสามถือยาไว้คนละหนึ่งเม็ด กำลังตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่มีใครพูดอะไร คล้ายกำลังรออะไรบางอย่าง ไม่นานนักก็มีคนขอเข้าพบจากนอกห้องลับ นั่นถึงทำให้คนทั้งสามเงยหน้าขึ้น
จึงเห็นว่ามีผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกห้องลับ ผู้เฒ่าคนนี้ผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ บนร่างอบอวลไปด้วยกลิ่นยา ตอนที่เขาเดินเข้ามา นักพรตชุดส้มทั้งสามคนล้วนลุกขึ้นยืน สีหน้าแฝงไว้ด้วยความเกรงใจ คล้ายเคารพยำเกรงผู้เฒ่าคนนี้อย่างมาก
ผู้เฒ่ารับการคารวะเสร็จก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ชี้มาที่สุดยอดยาปี้กู่ที่อยู่ด้านหน้าคนทั้งสามทันที
“ยาเม็ดนี้แฝงเร้นไว้ด้วยสรรพคุณทางยาที่ต่างกันถึงหนึ่งร้อยยี่สิบสามชนิด หลังจากผสานรวมเข้าด้วยกันแล้วจึงมีการเปลี่ยนแปลงไร้ที่สิ้นสุด…ชีวิตนี้ของข้าผู้อาวุโสไม่ได้พบเจอมากนัก”
“อีกทั้งความจริงแล้วในยาเม็ดนี้ก็มีพืชหญ้าอยู่แค่สิบเก้าชนิด ใช้พืชหญ้าสิบเก้าชนิด แปรเปลี่ยนมาเป็นหนึ่งร้อยกว่าสรรพคุณทางยา นี่น่าจะเป็นวิธีการหลอมยาที่พิเศษอย่างหนึ่ง!”
“คนที่สามารถหลอมยาเช่นนี้ออกมาได้ โดยภาพรวมแล้วความรู้ในด้านวิถีโอสถอาจจะสู้ข้าไม่ได้ ทว่าความรู้ในด้านการเปลี่ยนแปลงและการส่งผลกระทบต่อกันและกันของพืชหญ้ากลับอยู่เหนือข้าผู้อาวุโสไปแล้ว!” ผู้เฒ่าเอ่ยปากช้าๆ นัยน์ตายังหลงเหลือความแปลกใจไม่คลาย ก่อนหน้านี้เขาศึกษายานี่มาหลายวัน และก็ถูกยาเม็ดนี้เขย่าคลอนจิตใจอยู่นานแล้ว
“ท่านสามารถอนุมานวิธีการหลอมยานี่เพื่อให้พวกเราหลอมกันเองได้หรือไม่?” หนึ่งในสามลูกศิษย์ชุดส้มถามขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว
“ดูท่าคำพูดของข้าคงยังไม่ทำให้พวกเจ้าเข้าใจ ข้าจะพูดอย่างนี้ล่ะกัน ก่อนหน้านี้ข้าผู้อาวุโสไม่เคยได้ยินชื่อสุดยอดยาปี้กู่มาก่อน
และหลังจากศึกษาแล้วก็พบว่าตำรับยาของยาเม็ดนี้ไม่ถือเป็นตำรับยาประเภทใดที่ข้าผู้อาวุโสรู้จัก แม้จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้างทว่าเมื่อกินเข้าไปแล้วกลับไม่เป็นอะไรมาก อย่างมากก็แค่ทำลายพลังชีวิตเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่นานก็จะชดเชยกลับมาได้ สามารถทำให้การเผาผลาญในร่างกายของนักพรตคนหนึ่งมีสมดุลอย่างน้อยก็ครึ่งเดือน ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่า…นี่คือตำรับยาที่สร้างขึ้นมาเอง!”
“ตำรับยาที่สร้างขึ้นเอง เจ้าจะให้ข้าผู้อาวุโสอนุมานแล้วเอามาหลอมเอง? ข้าผู้อาวุโสทำไม่ได้!”
“แต่ข้าสามารถลองปรับเปลี่ยนได้เล็กน้อย ทำให้ยาเม็ดนี้แยกย่อยออกมาอีกหลายเม็ด…เพียงแต่ว่าผลลัพธ์ที่ได้อาจจะแย่กว่าสักหน่อย และข้อเสียก็จะร้ายแรงมากกว่า” นัยน์ตาของผู้เฒ่าโชนแสงคมกล้า มองมายังคนทั้งสาม
คนทั้งสามเงียบงัน ยาเม็ดนี้ประสิทธิภาพดีขนาดนี้ ถ้าเช่นนั้นหากยังคงพัฒนาต่อไปย่อมต้องส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการขายอาหารวิเศษในนครฟ้า และหากผลกระทบที่ว่านี้แผ่ขยายออกไปอีกก็อาจจะนำมาซึ่งความสูญเสีย
โดยเฉพาะสำหรับพรรคท้องฟ้าแล้ว พวกเขายิ่งไม่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีตำรับยาก็จะควบคุมเรื่องนี้ได้ ทว่าหากไม่มีตำรับยาก็ย่อมควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือขัดขวาง!
“เรื่องฆ่าคน สำนักอันตมรรคาฟ้าดารานั้นมีกฎ หากเลี่ยงได้จงเลี่ยงเป็นการดี อีกทั้งทางพรรคใหญ่ก็มีท่าทีเช่นนี้เหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้คงต้องไหว้วานให้สหายนักพรตซุนไปตามหาคนที่ขายยานี้ หากได้ตำรับยามาจะดีที่สุด หากไม่ได้…หึ ก็ร่วมมือกันซะ!” หลังจากคนทั้งสามมองหน้ากัน สองคนในนั้นก็เผยความโหดเหี้ยมออกมาทางดวงตาแล้วประสานมือคารวะไปทางอีกคน
เวลาเดียวกันนั้น การใช้ชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนในเจ็ดวันมานี้ก็เปี่ยมสุขอย่างถึงที่สุด ความเร็วในการสะสมคะแนนคุณความดีของเขาเร็วมากจนตัวเขาเองยังตกใจ และพอคะแนนคุณความดีเพิ่มมากขึ้น เจ็ดวันมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกินอาหารวิเศษอย่างราชาทุกมื้อ แถมตอนที่เดินผ่านหออาวุธวิเศษก็ยังเข้าไปซื้อเสื้อเกราะและอาวุธมาทีเดียวหลายชิ้น
ที่ทำให้เขาสนใจมากที่สุดก็คือในนครฟ้าแห่งนี้ยังมีร้านที่ขายสัตว์ไว้สำหรับขี่เป็นพาหนะโดยเฉพาะ ซึ่งพาหนะแบ่งเป็นสามหกเก้าระดับ ที่แพงที่สุดคือต้องจ่ายหลายล้าน ต่อให้ถูกก็ยังราคาเป็นแสน
หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนไปดูมาแล้วก็ยิ่งชอบ นึกถึงภาพนักพรตบางส่วนในเมืองที่ตนเห็นว่าขับขี่พาหนะไปมา ท่าทางมากบารมีไม่ธรรมดาเช่นนั้น ทำให้ใจเขาคันยิบๆ ราวถูกแมวน้อยสะกิด เพียงแต่ว่าด้วยความเขินอาย เขาจึงอดทนมานานหลายวัน ทว่าสุดท้ายก็อดใจไม่ไหว จ่ายคะแนนคุณความดีไปเกือบหนึ่งแสนคะแนน ซื้อสัตว์รบธรรมดาตัวหนึ่งมาขี่
ต่อให้เป็นแค่พาหนะทั่วไป แต่สำหรับนักพรตหลายคนที่อยู่ในเมืองนี้แล้วนี่ถือว่าฟุ่มเฟือยมากพอแล้ว สัตว์ตัวนี้ยาวพอสามสิบจั้ง มองดูเหมือนจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่ง ตรงหว่างคิ้วมีดวงตาที่สาม เกล็ดขึ้นเต็มตลอดทั้งร่าง ดุร้ายอย่างถึงที่สุด อีกทั้งตบะก็เทียบได้กับสร้างฐานรากช่วงต้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งโอ้อวดบารมีของตนอยู่บนหลังจระเข้ตัวนี้ หูก็ได้ยินเสียงลมหายใจหนักหน่วงของสัตว์รบ ทั้งยังมีเสียงตึงๆๆ เวลาที่เท้าของมันกระทบกับพื้น ห้อตะบึงไปยังที่พักของตัวเองท่ามกลางสายตาอิจฉาจากคนรอบด้านไปตลอดทาง
“รออีกสักสองสามวันข้าจะเปลี่ยนที่พักเสียหน่อย ที่นี่ไม่เหมาะสมกับฐานะของข้าอีกต่อไปแล้ว ข้าจะอยู่ในถ้ำ ถ้ำที่ดีที่สุด!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังคิดอย่างลำพองใจ ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็พลันแน่วนิ่ง มองเห็นว่านอกบ้านพักของตัวเองมีนักพรตสวมชุดส้มคนหนึ่งกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น
ด้านหลังคนผู้นี้ยังมีลูกศิษย์ชุดแดงติดตามมาอีกเจ็ดแปดคน แต่ละคนสีหน้าอิ่มเอิบ ไม่ได้ระงับตบะไว้ภายใน แต่แผ่ออกมาข้างนอก ทำให้บริเวณโดยรอบบ้านพักอบอวลไปด้วยพลานุภาพสยบ
เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นลูกศิษย์ชุดส้มผู้นั้นก็ยังมีตบะแค่สร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแน่ใจแล้วว่าพลานุภาพสยบของนักพรตสร้างฐานรากเหล่านี้ไม่สามารถคุกคามตนได้ เขาก็เลิกสนใจทันที
ตอนที่เขามองเห็นคนเจ็ดแปดคนนอกบ้านพัก คนเหล่านี้ก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน โดยเฉพาะลูกศิษย์ชุดส้มผู้นั้นที่พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาทั้งคู่ก็แน่วนิ่งขึ้นมาทันใด
ในนครใหญ่แห่งนี้ แม้ว่านักพรตหลายคนล้วนเคยชินที่จะเก็บตบะของตัวเองเอาไว้ ทว่าด้วยตบะของเขา เพียงแค่สังเกตอย่างละเอียดก็สามารถสัมผัสได้ถึงตบะของคนหลายคนว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ มีเพียงคนที่อยู่สร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบระดับเดียวกันเท่านั้นที่เขามองตบะไม่ออก
ตอนนี้เขามองตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ออก…
แต่เขาไม่คิดว่าตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนจะเกินสร้างฐานรากไปได้…เพราะยังไงซะตลอดทั้งนครฟ้าแห่งนี้ มองดูเหมือนว่าจะมีคนเยอะล้นหลามก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้วจำนวนของนักพรตรวมโอสถนั้นมีอยู่น้อยมาก
เพราะ…หากมีตบะยาอายุวัฒนะจริง ทุกคนก็จะช่วงชิงคะแนนคุณความดีมาให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อไปจากที่แห่งนี้ โบยบินขึ้นสู่สายรุ้ง
“ค่อนข้างจัดการยาก…” นักพรตชุดส้มผู้นี้ขมวดคิ้วน้อยๆ เขาเองก็ได้ลองไปสืบประวัติของป๋ายเสี่ยวฉุนมาแล้ว แต่กลับไม่ได้อะไรติดมือมา รู้แค่เพียงว่าอีกฝ่ายแซ่ป๋าย หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยหัวคิ้วของเขาก็ค่อยๆ คลายออก เผยรอยยิ้มบนใบหน้า
ในใจตัดสินใจแล้วว่าสำหรับนักพรตเช่นนี้ไม่ควรอ้อมค้อม ตรงเข้าประเด็นไปเลยจะดีกว่า เพราะยังไงซะสุดยอดยาปี้กู่ก็ชักนำให้เกิดผลกระทบที่ใหญ่โตอย่างมาก หากร่วมมือกันได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ดังนั้นตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้ เขาจึงเดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าวแล้วประสานมือคารวะ
“พี่ป๋ายใช่หรือไม่? ข้าน้อยโจวเทา หนึ่งในหัวหน้าของพรรคเทียนฟ้าฝั่งเมืองตะวันออก มีเรื่องเกี่ยวกับสุดยอดยาปี้กู่จะมาปรึกษากับพี่ป๋าย หวังว่าจะได้ร่วมงานกันโดยที่ได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย!”