Skip to content

A Will Eternal 395

บทที่ 395 ตู้หลิงเฟยปรากฏตัวอีกครั้ง

พอป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ก็เลิกกระวนกระวายทันที…ในใจเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความปลงอนิจจัง รู้สึกขอบคุณเหล่าผู้อาวุโสของสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตในปีนั้นอย่างมาก

เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนเหล่านั้นต้องการขู่ให้เขากลัวก็จะต้องเอ่ยประโยคนี้ออกมาทุกครั้ง

ทำให้ตอนนี้หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้จึงเข้าใจทันทีว่าครั้งนี้คงไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไร…ไม่ว่าผู้อาวุโสคนใดก็ตามที่เอ่ยปากเช่นนี้มักจะแค่ขู่ให้กลัวเท่านั้น เหมือนทำท่าจะฟาดแรงๆ หนึ่งครั้ง…ทว่าหลังจากนั้นส่วนใหญ่ล้วนจะเอาเรื่องดีๆ ออกมาเสนอให้

พอนึกมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ทันทีว่าตัวเองควรทำเช่นไร เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใบหน้าเผยความขมขื่น ทั้งคล้ายไม่ยินยอม และคล้ายเจ็บแค้นเศร้าโศก ทั้งยังมีความเคารพเลื่อมใสและคาดหวังต่อสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา และยังมีการย้อนรำลึกถึงสำนักสยบธาร อารมณ์มากมายล้วนมาปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขายามนี้กลายเป็นความซับซ้อน นำความลำบากยากแค้นและจนใจของตัวประกันคนหนึ่งแสดงออกมาทางสีหน้าจนหมด

เขายืนเงียบอยู่ตรงนั้น ประสานมือคารวะไม่พูดไม่จา คล้ายมีคำพูดนับพันนับหมื่น ทว่าบัดนี้กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ได้แต่ปล่อยให้ไหลลอยไปตามกระแสอารมณ์

ทั้งๆ ที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ทว่าท่าทางของเขาก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาเอ่ยปากอีก เพราะคำพูดทุกอย่างล้วนมาปรากฏอยู่บนสีหน้าจนหมดแล้ว

กลยุทธ์พลทหารที่ลุกขึ้นสู้เพราะถูกบีบบังคับเช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเรียนรู้มาจากสำนักโลหิต ทุกครั้งที่ใช้ล้วนได้ผลยอดเยี่ยม เวลานี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

แม้แต่หญิงสาวจอมเย็นชาที่ยืนอยู่ข้างกันก็ยังตะลึงงันหลังจากมองเห็นสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนเสียงที่ดังมาจากตำหนักบนยอดเขาก็เงียบงันลงไปด้วย

“ช่างเถอะ อย่างไรซะเจ้าก็คือตัวประกันของสำนักสยบธาร และสำนักสยบธารก็คือสำนักที่มีความสัมพันธ์กับแดนฟ้าของเรา เจ้าจงมอบตำรับยาหลอนประสาทมาให้ข้า ยานี้แม้จะมีข้อเสียทว่าก็มีสรรพคุณอันดีเช่นกัน”

“ข้าจะไม่ให้เจ้ามอบให้เปล่าๆ ข้าผู้อาวุโสจะมอบคะแนนคุณความดีให้เจ้าหนึ่งล้านคะแนน และให้เจ้าได้เลื่อนขั้นเป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองโดยตรง จากนี้ไปจะได้จากนครฟ้าบินขึ้นมาอยู่ที่นี่” ครู่ใหญ่หลังจากนั้น น้ำเสียงแก่ชราก็ดังออกมาจากตำหนักใหญ่เจ็ดสีอีกครั้ง

เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น หญิงสาวใบหน้าเย็นชาที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกตากว้าง มองไปยังตำหนักใหญ่บนยอดเขาด้วยสายตาไม่คาดคิด

ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่เผยอารมณ์ใดออกมาทางสีหน้า ยังคงรักษาท่าทางขมขื่นเอาไว้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนอกจากความลำพองใจยังมีความดูหมิ่นอยู่ด้วย เขาครุ่นคิดว่าตนมีคะแนนคุณความดีอยู่มากมาย หากคิดจะมาอยู่ที่นี่จริงๆ ก็คงมาอยู่นานแล้ว ตนกินข้าวมื้อหนึ่งคะแนนคุณความดีหลายหมื่นคะแนนก็ยังไม่พอ แถมยังซื้อหุ่นเชิดหญิงหลายตัวมารับใช้ด้วย

มีลูกน้องมากมายขนาดนั้น อีกทั้งแต่ละเดือนยังต้องออกไปข้างนอกหลายครั้ง ค่าใช้จ่ายของตนในหนึ่งเดือนก็เกินหนึ่งล้านคะแนนคุณความดีเข้าไปแล้ว

“คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะมาอยู่ที่นี่ อยู่ข้างล่างสบายจะตายไป เรียกลมเรียกฝนได้ ฝึกบำเพ็ญตบะก็เร็ว ไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจไว้นานแล้ว โดยเฉพาะได้เห็นความเย็นชาของคนที่นี่มาตลอดทาง แม้แต่บรรยากาศรอบด้านก็ยังเย็นสงบ ให้ตายยังไงเขาก็ไม่มาอยู่แน่นอน

เวลานี้พอได้ยินคำพูดของผู้นำแดนฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เงยหน้ามองตำหนักใหญ่เจ็ดสีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วจึงประสานมือคารวะโค้งตัวลงต่ำ

“ท่านผู้นำ ตำรับยานี้ศิษย์ยินดีมอบให้แก่สำนัก ส่วนคะแนนคุณความดีนั้น…ศิษย์ไม่ต้องการ หากคิดจะให้ใช้วิธีการเช่นนี้เลื่อนขั้นเป็นชุดเหลือง นี่ไม่ได้เกิดจากความสามารถของตัวเอง อีกทั้งไม่สอดคล้องกับวิถีของข้า หากข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะกลายเป็นศิษย์ชุดเหลืองก็ต้องช่วงชิงมาด้วยสองมือของข้าเองเท่านั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเสียงดังด้วยท่าทางของคนที่รักความถูกต้อง

หญิงสาวเย็นชาที่อยู่ข้างกันก็ยังหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้ง เดิมทีนางกำลังตกตะลึงกับเงื่อนไขที่อาจารย์ท่านผู้นำเสนอออกมา นางเป็นลูกศิษย์ของเขามาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เห็นอาจารย์ของตัวเองใจกว้างถึงเพียงนี้…ทว่าที่ตามติดๆ คือนางพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนดันปฏิเสธข้อเสนอ!

นี่ทำให้นางต้องสูดลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดไม่ได้ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นว่ามีคนปฏิเสธโอกาสอันดีอย่างไม่ใยดีเช่นนี้ นั่นมันคะแนนคุณความดีหนึ่งล้านคะแนนเชียวนะ สำหรับนักพรตทั่วไปแล้วต่อให้มีเวลาหกสิบปีก็ยังยากที่จะสะสมได้

แม้แต่ผู้นำของแดนฟ้าเองก็ตาม หากไม่เป็นเพราะเขาเข้าใจการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนในนครฟ้าเป็นอย่างดี ป่านนี้เขาเองก็คงรู้สึกแปลกใจไปนานแล้ว เพราะยังไงซะเขาควบคุมแดนฟ้ามานานหลายปีขนาดนี้ก็ยังไม่เคยเห็นใครปฏิเสธโอกาสที่จะได้เป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองมาก่อน

เวลานี้เขานั่งอยู่ในตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าเหยเก เหลือบมองความว่างเปล่าที่อยู่ข้างกาย จุดที่ห่างจากข้างกายเขาไปไม่ไกลนักมีเงาร่างพร่าเลือนของหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดขาวยืนอยู่ตรงนั้น และก็เหมือนว่านางกำลังมองนิ่งไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาที่แฝงเร้นไว้ด้วยความกลัดกลุ้มและซับซ้อน

ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะอยู่ระหว่างภาพมายาและความเป็นจริง มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ทว่าความว่างเปล่ารอบกายนางไม่เพียงแต่บิดเบือน ทั้งยังมีรอยปริแตกดำรงอยู่ด้วย สามารถจินตนาการได้ว่าหากไม่เป็นเพราะตบะของนางน่าตะลึง ถ้าเช่นนั้นนางก็ต้องมีอาวุธล้ำค่าที่น่าเหลือเชื่อติดกายอยู่!

เห็นว่าหญิงสาวไม่มีการตอบสนองใดๆ ผู้นำแดนฟ้าก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย อันที่จริงตำรับยานั่นเขาเองไม่ได้ต้องการเท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่ามีบุคคลที่เขาไม่กล้ามีเรื่องด้วยมาเยือน บอกให้เขาช่วยดูแลป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นเขาจึงหาข้ออ้างให้ป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมาที่นี่เพื่อมอบคะแนนคุณความดีให้แก่เขาก็เท่านั้น

มิฉะนั้นด้วยฐานะผู้นำแดนฟ้าของเขาแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่คนฟ้า แต่ก็มีความสามารถเกือบถึงคนฟ้า มีหรือที่เขาจะไปสนใจรวมโอสถเล็กๆ คนหนึ่ง ต่อให้รวมโอสถคนนั้นจะมีฐานะเป็นตัวประกัน เขาก็ไม่คิดจะใยดี

ทว่าตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับปฏิเสธข้อเสนอของเขาเสียได้

นี่ทำให้ผู้นำแดนฟ้าหงุดหงิดใจอย่างอดไม่อยู่ ทว่าบุคคลที่เขาไม่กล้าแหยมด้วยกำลังยืนอยู่ข้างกาย ด้วยความจนใจเขาจึงทำได้เพียงเอ่ยปากอีกครั้ง

“อย่าพูดมาก ด้วยฐานะของข้าผู้อาวุโสมีหรือจะเอาของของเจ้ามาเปล่าๆ มีข้อเรียกร้องอะไรจงเอ่ยออกมา ขอแค่อยู่ในขอบเขตความสามารถของข้า ข้าผู้อาวุโสจะพยายามตอบสนองความต้องการของเจ้าเต็มที่!”

ประโยคนี้ดังสะท้อน ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ตะลึงงัน แม้แต่หญิงสาวผู้เย็นชาข้างกายเขาก็ยังสำลักลมหายใจ วันนี้ภาพลักษ์ของอาจารย์ในสายตานางได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกล้ำ ก่อนหน้านี้เป็นการแลกเปลี่ยนก็ยังว่าไปอย่าง ทว่าตอนนี้ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนอีกแล้ว นี่มันยกให้เปล่าๆ ชัดๆ…

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้มีภูมิหลังเช่นไรกันแน่!”

หญิงสาวเบิกตากว้างมองป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจทั้งตกใจและสงสัย

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มแปลกใจขึ้นมาบ้าง เขาเงยหน้ามองไปยังตำหนักใหญ่สีรุ้งบนยอดเขาด้วยสายตาคลางแคลง ในใจพลันไม่เป็นสุข เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ทะแม่งๆ ชอบกล…ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนอีกฝ่ายอยากจะยัดเยียดให้เขาให้ได้ หากตนปฏิเสธอีกครั้ง เกรงว่าคงไปกระตุ้นให้อีกฝ่ายเดือดดาลซะเปล่าๆ

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังสองจิตสองใจ ในตำหนักใหญ่ก็มีเสียงของผู้นำแดนฟ้าเอ่ยเร่งด้วยความรำคาญดังออกมาอีกครั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกัดฟันกรอด นัยน์ตาโชนแสงคมกล้า มองตำหนักใหญ่แล้วพูดด้วยเสียงอันดัง

“ท่านผู้นำ น้ำใจของท่านผู้อาวุโสลูกศิษย์ซาบซึ้งยิ่งนัก หากท่านต้องการมอบให้ข้าจริงๆ…ถ้าเช่นนั้น…นครฟ้าที่ข้าอยู่ด้านล่าง ต้องคอยเช่าที่อยู่อาศัยตลอดเวลา ทำให้ข้าไม่มีความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านของตัวเอง ท่านเองก็รู้ว่าข้ามาที่นี่อย่างโดดเดี่ยว จึงคิดถึงบ้านมาก…เอ่อ…ถ้าไม่อย่างนั้นท่านก็ยกที่ดินให้ข้าสักผืนหนึ่งดีหรือไม่?”

“เมื่อได้มาแล้วข้าจะเลือกที่เหมาะๆ เอาไว้สร้างบ้านเป็นของตัวเอง…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างกระวนกระวายใจ มองไปยังตำหนักใหญ่บนยอดเขาด้วยสายตาคาดหวัง

เดิมทีเขานึกว่าอีกฝ่ายต้องลังเล คิดไม่ถึงเลยว่าตนเพิ่งจะเอ่ยจบ ในตำหนักใหญ่ก็มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งบินพรวดออกมาทันที รุ้งยาวนี้มีเจ็ดสี หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่านั่นคือธงผืนเล็กเจ็ดสีผืนหนึ่งซึ่งกำลังตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

“นอกจากเมืองตะวันออก เมืองใต้ เมืองกลางแล้ว เขตเมืองเหนือและเมืองตะวันตกสองแห่งนี้เจ้าสามารถเลือกพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งได้ตามใจชอบ เมื่อปักธงผืนนี้ลงไป ในรัศมีสิบลี้ก็ล้วนเป็นที่ดินส่วนตัวของเจ้า!” ผู้นำแดนฟ้าที่นั่งอยู่ในตำหนักใหญ่สีรุ้งบนยอดเขาผ่อนลมหายใจออกมาหนึ่งครั้ง

หลังจากเอ่ยปากอย่างรวดเร็วแล้วบนภูเขาเจ็ดสีก็มีแสงเปล่งประกายระยิบระยับก่อเกิดเป็นพลังผลักดันระลอกหนึ่งที่ผลักให้ป๋ายเสี่ยวฉุนและหญิงสาวผู้เย็นชาที่ยืนอยู่ข้างเขาถอยหลังออกไปอย่างต่อเนื่อง

เวลานี้หญิงสาวเย็นชางุนงงอย่างสมบูรณ์แบบ จ้องเขม็งมาที่ธงเจ็ดสีในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ลมหายใจของนางถี่ระรัว ดวงตาทั้งคู่โชนแสงคมกล้า นางเป็นถึงลูกศิษย์ของผู้นำก็ยังไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทว่าอาจารย์ของนางกลับถึงขั้นมอบที่ดินส่วนตัวให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน!

ต้องรู้ว่าในนครฟ้า ที่ดินรัศมีสิบลี้มีมูลค่ามหาศาลจนมิอาจบรรยายได้ เรื่องแบบนี้คิดจะพูดว่าให้ก็ให้ นี่ทำให้ในใจหญิงสาวผู้เย็นชารู้สึกคลุ้มคลั่ง ขณะเดียวกันก็คิดว่าภูมิหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนต้องยิ่งใหญ่มากอย่างแน่นอน

“ให้จริงๆ รึนี่?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สำลักลมหายใจ คว้าธงเจ็ดสีเอาไว้ ถอยหลังออกไปด้วยความเลื่อนลอยเล็กน้อย จนกระทั่งถอยห่างไปได้หลายร้อยจั้ง เขาจึงหันหลังกลับไปมองภูเขาเจ็ดสีที่ห่างออกไปไกลซึ่งเวลานี้กำลังส่องประกายแสงอย่างอดไม่ได้

การหันไปมองครั้งนี้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ ถึงได้มองเห็นเงาร่างที่พร่าเลือนของผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูตำหนักใหญ่ มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเป็นใคร ซึ่งขณะที่เขากำลังจะเพ่งมองอย่างละเอียด อีกฝ่ายกลับหายตัวไปแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงหมุนตัวกลับพร้อมความสงสัย บนเขาเจ็ดสีเบื้องหลังของเขา หญิงสาวที่หายตัวไปเวลานี้ได้เผยกายออกมาอีกครั้ง นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น บนใบหน้ามีผ้าคลุมบางๆ ปิดอยู่ เสียงพึมพำผะแผ่วดังลอยมาจากปากของนาง

“เสี่ยวฉุน…ไม่เจอกันนานเลยนะ…” หญิงสาวเงียบงันไปครู่ใหญ่ ลมพัดโชยมาทำให้ให้มุมหนึ่งของผ้าคลุมหน้าเลิกขึ้น เผยให้เห็น…ใบหน้าที่งามเลิศล้ำ

หากป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ตรงนี้ แค่มองครั้งเดียวเขาต้องจำได้ทันทีว่าดวงหน้านี้ มีเจ็ดส่วน…ที่คล้ายคลึงกับตู้หลิงเฟยอย่างถึงที่สุด!!

ไม่นานบนใบหน้าของหญิงสาวก็เผยรอยยิ้มแห่งความดีใจ ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความยินดีที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากไปนาน ทั้งยังมากด้วยแววอวยพรและรอคอย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!