บทที่ 4 หลอมพลังจิต
ทุกคนยินดีปรีดา ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนก็ชื่นชอบอย่างถึงที่สุดแล้ว รู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้ไม่เพียงแต่น่ารัก ทั้งยังมีเล่ห์เหลี่ยมไม่น้อย ดังนั้นจางต้าพั่งจึงตัดสินใจมอบข้าววิเศษหนึ่งเม็ดเป็นของรางวัล ยัดใส่ลงไปในมือป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะอย่างมีความสุข กลับเข้าห้องด้วยสติเลอะๆ เลือนๆ ยังไม่ทันได้ปีนขึ้นไปบนเตียง พลังจากของวิเศษนับไม่ถ้วนที่สะสมอยู่ในร่างกายก็พากันระเบิดออกมา ศีรษะมึนเวียน จึงล้มพังพาบลงไปกองบนพื้น หลับสนิทแน่นิ่งไป
การนอนหลับครั้งนี้หวานล้ำเป็นพิเศษ เช้าตรู่ของวันต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้น รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา เมื่อก้มลงมองก็พบว่าตัวเองอ้วนขึ้นมาอีกเท่าตัว ทั้งร่างเหนียวเหนอะหนะ มีคราบสกปรกสีดำเกาะอยู่เป็นชั้น จึงรีบออกไปล้างทำความสะอาด พวกจางต้าพั่งกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมอาหารเช้าให้พวกลูกศิษย์ในฝ่าย เห็นท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พากันหัวเราะขึ้นมา
“ศิษย์น้องเก้า คราบสกปรกพวกนั้นเป็นสารเจือปนในร่างกายเจ้า หลังจากขจัดออกไปแล้ว เวลาที่เจ้าบำเพ็ญตบะจะราบรื่นขึ้นเยอะ ช่วงนี้เจ้าไม่ต้องมาช่วยหรอก ผ่านไปสี่ห้าวันแล้วค่อยมาทำงาน”
“ข้าววิเศษเม็ดนั้นน่ะเป็นของดี จำไว้ว่าต้องรีบกิน ถ้าทิ้งไว้นานจะไม่ดี”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคักกระปรี้กระเปร่า หลังจากพยักหน้าตอบรับหนึ่งทีก็กลับเข้าไปในห้อง กวาดสายตามาตกอยู่บนหม้อรูปกระดองเต่าใบนั้น จึงถือโอกาสแบกออกไปล้างด้วย พอกลับมาในห้องก็เอามาวางไว้บนเตาไฟ หยิบข้าววิเศษเม็ดนั้นมาถือในมือแล้วพิจดู ข้าวเม็ดนี้ขนาดเท่านิ้วก้อย สีใสเรียบลื่น ส่งกลิ่นหอมกำจาย
“ของที่เซียนเขากินกันไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วยแฮะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ หยิบเอาฟืนสองสามท่อนในเตามาจุด เพิ่งจะเริ่มจุดไฟ ไอร้อนแผดเผาก็พุ่งเข้าปะทะหน้าทันที ทำให้ด้านหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนเกรียมจนต้องรีบถอยออกห่าง มองดูไฟในเตาปะทุก็จุ๊ปากชื่นชม
“ไฟนี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ไม่เพียงแต่ติดไฟเร็ว ระดับความร้อนยังสูงกว่าไฟในหมู่บ้านเยอะด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังฟืนในเตาไฟอีกครั้ง รู้สึกว่าน่าจะเป็นเพราะฟืนนี่แหละที่ไม่ธรรมดา
และในเวลานี้ เมื่อเปลวไฟลุกไหม้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นสิ่งประหลาด ลายเส้นเส้นแรกบนหม้อรูปกระดองเต่าใบนั้น กลับเริ่มมีแสงสว่างจากช่วงล่างไล่ขึ้นไปด้านบน และก็ส่องสว่างขึ้นทั้งเส้นอย่างรวดเร็ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน ตบเข้าที่ต้นขาหนึ่งฉาดทันที
“ข้าว่าแล้วไง นี่คือของล้ำค่า จะต้องดีกว่าหม้อใบนั้นของศิษย์พี่อย่างแน่นอน” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งรู้สึกว่าหม้อใบนี้ไม่ธรรมดา รีบโยนข้าววิเศษลงไปในหม้อทันที
เขานั่งรออยู่ด้านข้างไปด้วย หยิบตำราไม้ไผ่ที่ใช้ฝึกฝนพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางออกมาด้วย และเริ่มฝึกฝนโดยทำท่าทางและหายใจตามภาพแรกในตำรา
แทบจะเวลาเดียวกับที่เพิ่งเริ่มฝึก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกตากว้าง เขาพบว่าท่านี้ที่เมื่อวานทำได้แสนลำบากยากเย็น ในเวลานี้กลับทำได้ราบรื่นอย่างถึงที่สุด ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดแม้แต่เล็กน้อย ถึงขนาดที่ว่าวิธีการหายใจนั้นก็ไม่ติดขัดอีกต่อไป กลับกลายเป็นว่ารู้สึกสบายอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ยืนหยัดทำต่อ เขาจำได้แม่นว่าก่อนหน้านี้อย่างมากที่สุดคือหายใจได้เพียงสามสี่ครั้ง แต่ตอนนี้ผ่านมาถึงลมหายใจที่เจ็ดที่แปดแล้ว ก็ยังไม่มีความเจ็บปวดแม้แต่น้อย
ป๋ายเสี่ยวฉุนข่มกลั้นความตื่นเต้น สงบจิตสงบใจลง ยืนหยัดทำไปได้จนกระทั่งถึงลมหายใจที่สามสิบ ขณะที่เขารู้สึกว่าร่างกายเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นในร่างกายกลับปรากฏลมปราณเล็กๆ หนึ่งเส้น ปราณที่ว่านี้เย็นเฉียบ ลอยเวียนอยู่ในร่างกายอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่ายังไม่ทันได้ลอยไปทั่วร่างก็หายไปเสียก่อน แต่ก็ยังคงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นกระโดดตัวลอย
“มีลมปราณแล้ว ฮ่าๆ มีลมปราณแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง และนึกขึ้นได้ว่าสาเหตุต้องเป็นเพราะเมื่อวานกินของวิเศษพวกนั้น ในใจลึกๆ เลยรู้สึกว่าเมื่อวานกินน้อยไปหน่อย
“มิน่าล่ะศิษย์พี่จางถึงบอกว่ายอมหิวตายอยู่ในครัวไฟ ไม่ไปแก่งแย่งนอกฝ่ายงาน ของดีๆ แบบนี้ พวกศิษย์นอกฝ่ายไม่มีทางมีแน่นอน” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบนั่งลง ฝึกวิชาต่ออีกครั้ง
คราวนี้เขาทำตามวิธีหายใจของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางขั้นแรก และทำท่าตามภาพแรก ยืนหยัดมาได้ถึงลมหายใจที่หกสิบ ชั่วขณะที่มาถึงลมหายใจที่หกสิบ ในร่างกายของเขาก็ปรากฏลมปราณที่ใหญ่กว่าก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัวขึ้นมาฉับพลัน เหมือนดั่งน้ำที่ไหลริน ว่ายเวียนอย่างรวดเร็วอยู่ในร่างกายของเขา
ป๋ายเสี่ยวฉุนมีประสบการณ์แล้ว จึงรีบทำตามสัญลักษณ์ที่ระบุอยู่ในภาพที่หนึ่ง ครุ่นคิดเงียบๆ ถึงเส้นทางแต่ละจุดในร่างกาย
ไม่นานลมปราณที่ไหลรินในร่างกายก็ไหลเวียนไปตามเส้นทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไว้ จากการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงยืนหยัดตั้งท่าตามภาพที่หนึ่ง เขาจึงถึงขั้นสัมผัสได้ว่าในร่างกายยังมีลมเย็นๆ ผุดออกมาจากแต่ละตำแหน่งทั่วร่าง เหมือนกับหยดน้ำได้หลอมรวมเข้ากับลมปราณที่ไหลรินเส้นนั้น และไปขยายขนาดของการไหลรินให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายก็กลายเป็นเหมือนธารน้ำสายเล็กๆ จนกระทั่งไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างแล้วหนึ่งรอบ กายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นไหว ในสมองประหนึ่งเมฆหมอกแหวกเปิด เสียงดังตูมลอยก้องมา
ความรู้สึกโล่งเบาสบายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแผ่ออกมาจากร่างกายของเขาในทันที คราบสกปรกแต่ละกลุ่มแต่ละก้อนก็ถูกระบายออกมาตามรูขุมขนอย่างไม่หยุดหย่อน
และสายธารเส้นเล็กในร่างกายของเขาเส้นนั้น ก็ไม่ได้แตกกระเซ็นเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ แต่กลับคงอยู่ตลอดเวลา ไหลรินด้วยตัวเองไปทั่วร่างอย่างเชื่องช้า ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตา ดวงตาก็ยิ่งใสกระจ่าง ความคล่องแคล่วปราดเปรียวเพิ่มขึ้นมาอีกไม่น้อย
ถึงกระทั่งที่ว่าร่างกายสัมผัสได้ถึงความเบาและคล่องตัวอย่างมาก
“ลมปราณยังคงอยู่ ก็คือผลจากการฝึกฝนถึงขั้นที่หนึ่งของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง ซึ่งก็หมายความว่าฝึกได้ถึงขั้นที่หนึ่งของการรวมลมปราณอะไรนั่นด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ วิ่งออกไปชำระล้างตัวอีกครั้ง
พอพวกจางต้าพั่งเห็นก็เผยรอยยิ้มรู้กัน สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนที่สามารถฝึกฝนถึงขั้นที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ถึงแม้จะน่าตกตะลึง แต่ก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุได้ดี
เมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหลายที ก็หยิบตำราไม้ไผ่ที่วางไว้ข้างๆ ขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด
“หลังจากที่ฝึกขั้นที่หนึ่งของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางสำเร็จแล้ว ก็จะสามารถควบคุมวัตถุบางอย่างได้ นี่คือคาถาของเซียน สามารถดูดวัตถุให้ลอยกลางอากาศได้” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย ใช้มือทั้งสองข้างทำท่ามุทราอย่างง่ายๆ ตามขั้นตอนที่ระบุเอาไว้ในตำรา หันนิ้วชี้ไปทางโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าลำธารเล็กที่อยู่ในร่างกายสายนั้น ได้ห้อทะยานตรงดิ่งไปที่นิ้วชี้ข้างขวาเหมือนม้าป่าที่ถูกปลดบังเหียน และพุ่งหลุดออกไปจากปลายนิ้ว
ดุจดั่งได้ก่อรูปเป็นเส้นไหมที่มองไม่เห็นหนึ่งเส้น เชื่อมโยงเข้ากับโต๊ะตัวนั้น แต่น่าเสียดายที่เพิ่งจะเริ่มเชื่อมโยงถึงกัน ไหมเส้นนี้ก็เกิดความไม่มั่นคง แตกกระจายเสียงดังเปรี๊ยะในฉับพลัน
สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนซีดขาวเล็กน้อย นิ่งไปครู่ใหญ่ถึงได้ฟื้นคืนสติ หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว จึงเลิกสนใจโต๊ะ แต่หยิบเอากระบี่ไม้ออกมาจากถุงผ้า กระบี่ไม้เล่มนี้ไม่รู้ว่าทำมาจากไม้อะไร ถึงแม้ว่าน้ำหนักจะไม่มากเท่าโต๊ะ แต่ก็ค่อนข้างหนัก มือขวาของเขายกขึ้นมาชี้
ทันใดนั้นกระบี่ไม้ก็สั่นไหว แล้วก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมา แต่ลอยขึ้นมาได้แค่หนึ่งชุ่น[1] ก็ร่วงลงไปอีก
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ย่อท้อ ทดลองทำด้วยความฮึกเหิมหลายครั้ง กระบี่ไม้จากที่แต่เดิมขึ้นสูงแค่หนึ่งชุ่นก็ร่วงลง เปลี่ยนมาเป็นขึ้นสูงสิบชุ่น ยี่สิบชุ่น สามสิบชุ่น…มาถึงช่วงสายัณห์ กระบี่ไม้เล่มนั้นก็ลอยไปมาเป็นเส้นตรงอยู่ในห้องของเขาแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่เร็วนัก และยากที่จะบังคับให้หักเลี้ยว แต่ก็ไม่ร่วงหล่นลงง่ายๆ อย่างช่วงแรกอีก
“นับจากนี้ไปข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือเซียนแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางทะนงองอาจ มือซ้ายไพล่ไว้ด้านหลัง มือขวาชี้โบกสะบัดไปข้างหน้า กระบี่ไม้เล่มนั้นแกว่งไกวบินไปบินมา
จนเมื่อลมปราณในร่างกายเริ่มไม่มั่นคง ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เก็บกระบี่ไม้กลับมา ขณะกำลังจะฝึกต่อไป ทันใดนั้นพลันได้กลิ่นหอมโชยมาจากหม้อที่อยู่ด้านข้าง เขาเงยหน้าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ความอยากอาหารก็มาเยือนทันที วันนี้เขายุ่งอยู่กับการฝึกวิชาจนลืมไปว่าต้มข้าววิเศษไว้ในหม้อ จึงเดินไปข้างหน้าเปิดฝาหม้อออก
ช่วงเวลาที่เปิดฝาออกนั้น กลิ่นหอมเข้มข้นของข้าววิเศษก็กรุ่นกำจายออกมาจากในหม้อ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บนข้าววิเศษถึงได้ปรากฏลายสีเงินบาดตาขึ้นมาหนึ่งเส้น!
ลายเส้นนี้เห็นได้ชัดเจน เมื่อมองอย่างละเอียด ถึงขั้นให้ความรู้สึกถูกดึงดูดจิตด้วยซ้ำ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ค่อยๆ กลายมาเป็นสีเงินทึบ ป๋ายเสี่ยวฉุนหรี่ตา หลังจากคิดดูแล้วจึงหยิบข้าววิเศษเม็ดนั้นออกมาไว้ในมือ ตรวจดูหนึ่งรอบ
“ลายนี่คุ้นตาจังเลยนะ…” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววครุ่นคิด ก้มหน้าไปมองเตาไฟก็พบว่าไฟข้างในนั้นมอดดับไปนานแล้ว แม้แต่ฟืนก็กลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว และลายเส้นที่เปล่งแสงบนหม้อใบนั้น ก็กลับเป็นสีทึบจางลงอีกครั้ง
เขานึกขึ้นได้ในบัดดลว่าลายสีเงินบนข้าววิเศษเม็ดนี้เหมือนกับลายบนหลังหม้อไม่มีผิดเพี้ยน
เก็บกดความสงสัยในใจลงไป เมื่อนึกถึงด้านความปลอดภัย ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่ได้กินข้าวเม็ดนี้ แต่กลับเอาใส่ไว้ในกระเป๋าผ้า หลังจากไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ ก็เดินออกจากห้องไปทำงานร่วมกับพวกจางต้าพั่ง
เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือน ครึ่งเดือนมานี้ การฝึกบำเพ็ญตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนได้หยุดลงอีกครั้ง ความเพียรพยายามเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่เขาเองก็ได้สืบข่าวจนรู้ว่าเวลาที่คนอื่นหุงข้าววิเศษ ไม่เคยมีลายเส้นเงินใดปรากฏ
นอกจากความสงสัยแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าข้าวเม็ดนั้นของตัวเองมีบางอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะกับหม้อใบนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกประหลาด ในที่สุดหลายวันต่อมา ตอนที่ตามเฮยซานพั่งออกไปนอกครัวไฟเพื่อซื้อของที่จำเป็น จึงได้ไปที่ฝ่ายสี่สมุทร ซึ่งเป็นที่ที่เขาสืบรู้มาว่า ที่นั่นคือสถานที่สำหรับหาความรู้ทั่วไปในเรื่องการบำเพ็ญตบะในอดีตของพวกนักการ
หลังจากที่กลับมาจากฝ่ายสี่สมุทร หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง เขาข่มกลั้นความตื่นตะลึงระคนดีใจ กระทั่งกลับไปถึงห้อง จึงรีบหยิบข้าวเม็ดนั้นออกมาในทันที มองดูลายสีเงินที่อยู่บนนั้นอย่างละเอียด นัยน์ตาค่อยๆ เผยความไม่คาดคิด
“การบำเพ็ญตบะของเซียน มิอาจขาดการกลั่นหลอมสามประการ ซึ่งแบ่งออกเป็น การหลอมยา การหลอมอาวุธและ…การหลอมพลังจิต!” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงรูปภาพที่บรรยายลักษณะของการหลอมพลังจิตเอาไว้ในตำราที่หาเจอในฝ่ายสี่สมุทร เมื่อลองเปรียบเทียบกับลายสีเงินบนข้าววิเศษเม็ดนี้ ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือน
“หลอมพลังจิต!” เงียบไปครู่ใหญ่ เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ หนึ่งที
หลอมพลังจิตเป็นขั้นตอนของการใช้วิธีพิเศษอย่างหนึ่งมาบีบอัดพลังฟ้าดินเพิ่มเข้าไปในวัตถุ เหมือนการแทนที่วิธีสร้างวัตถุตามกฎแห่งสวรรค์ ด้วยการช่วงชิงเอาพลังฟ้าดินมาเสริมทวีความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ด เครื่องหอม หรือว่าของวิเศษ ล้วนสามารถหลอมพลังจิตได้ทั้งสิ้น เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตจากฟ้าดิน ดังนั้นอัตราการหลอมได้สำเร็จจึงมีอยู่น้อย หากประสบความสำเร็จจะสามารถเพิ่มพลานุภาพให้กับวัตถุได้อย่างมากมาย แต่หากล้มเหลว จะทำให้วัตถุนั้นกลายเป็นขยะอยู่ภายใต้พลังของฟ้าดินไปในทันที
และสิ่งที่น่าตื่นตะลึงที่สุดสำหรับการหลอมพลังจิต คือมันสามารถทำการหลอมซ้ำได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขั้นที่ว่าหากหลอมพลังจิตได้สำเร็จสิบครั้ง จะทำให้วัตถุนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้เลย
และยิ่งเป็นของล้ำค่า เมื่อผ่านการหลอมพลังจิตซ้ำหลายครั้งก็ยิ่งน่ากลัว
เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นช่วงหลังๆ อัตราการประสบความสำเร็จก็ยิ่งมีน้อย ต่อให้เป็นพวกปรมาจารย์ในด้านการหลอมพลังจิตก็ล้วนไม่กล้าบุ่มบ่ามทดลองทำ เพราะหากล้มเหลวขึ้นมา ราคาที่ต้องจ่ายนั้นยากที่จะแบกรับได้ไหว
“ในตำรากล่าวไว้ว่า สมบัติล้ำค่าที่ถูกปกป้องเอาไว้ของสำนักธาราเทพ ก็คือกระบี่เล่มหนึ่งที่ผ่านการหลอมพลังจิตมาสิบครั้งภายใต้โอกาสอันดีอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบอย่างกระบี่เขาสวรรค์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกคอแห้งเล็กน้อย จึงกลืนน้ำลายหนึ่งที แววตาเผยความตะลึงพรึงเพริด แต่ที่มากกว่าคือความฉงนสนเท่ห์ มองลายเส้นทึบจางนับสิบบนหม้อรูปกระดองเต่าใบนั้นโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นรัวกระหน่ำราวกับจะทะลุออกมาจากอกก็ไม่ปาน
ในเวลานี้เขาแน่ใจแล้วว่าที่ข้าววิเศษมีลายของการหลอมพลังจิตปรากฏขึ้น สาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะหม้อใบนี้!
ลังเลอยู่ชั่วครู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน หากไม่สามารถไขปริศนานี้ได้ เขาไม่มีทางหลับลง แต่ก็รู้ว่าหากหม้อใบนี้ไม่ธรรมดาจริง ถ้าเช่นนั้นความลับแบบนี้ ย่อมไม่อาจให้คนอื่นล่วงรู้ได้
ดังนั้นรอจนดึกดื่น เขาถึงได้มาอยู่ข้างๆ หม้ออย่างระมัดระวัง หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก็หยิบเอากระบี่ไม้ที่ถูกตัวเองใช้พลังควบคุมออกมาด้วยใจที่พะวงถึงผลได้ผลเสีย แล้วโยนลงไปในหม้อด้วยท่าทางเดียวกันกับที่โยนข้าววิเศษลงไปเมื่อวันนั้น
———-
[1] ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว