Skip to content

A Will Eternal 428

บทที่ 428 พวกเจ้าไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าแล้ว

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนประลองอยู่ในสายรุ้งสีเขียว ทุกคนที่อยู่ด้านนอกต่างก็ใช้แผ่นหยกพิเศษจ่ายคะแนนคุณความดีในจำนวนที่กำหนดเพื่อจับตามองภาพเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยตัวเอง

เมื่อพวกเขาเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวนอยู่ท่ามกลางฝูงผีร้ายที่มีจำนวนมากมายจนนับไม่หมด ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเหยเก การประลองสายรุ้งสีเขียวนี้ไม่เหมือนกับก่อนหน้านั้น จุดสำคัญที่มันทดสอบก็คือเวลาที่ยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางมหาสมุทรผีร้ายรวมไปถึงจำนวนวิญญาณพยาบาทที่สังหารไป

เดิมทีเขาคิดว่าด้วยความสามารถอันโดดเด่นของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ บางทีอยู่ที่นี่เขาก็อาจจะมีการแสดงออกที่พิเศษเช่นกัน ทว่าพอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนหนีไปพร้อมกับร้องโหยหวน พวกเขาก็อึ้งงันกันไปก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้ถอนหายใจอย่างเข้าใจดี

“ก็ไม่แปลกหรอกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้จะหยุดอยู่บนสายรุ้งสีเขียว เพราะอย่างไรซะการประลองนี้ก็มีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับแดนทุรกันดาร เป็นการเตรียมความพร้อมให้นักพรตอย่างพวกเราปรับตัวเข้ากับแดนทุรกันดารได้ก่อนล่วงหน้า…ต่อให้เป็นปีนั้นศิษย์พี่ใหญ่จ้าวเทียนเจียวก็ยังหยุดอยู่ตรงนี้ครั้งหนึ่ง จากนั้นถึงได้สังหารรวดเดียวจนคว้าอันดับหนึ่งมาได้”

“ถูกต้อง ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องเล่านี้เช่นกัน ว่ากันว่าวิญญาณที่อยู่ในสายรุ้งสีเขียวนี้ไม่ใช่วิญญาณปกติทั่วไป แต่เป็นวิญญาณที่มาจากแดนทุรกันดาร…”

“ครั้งแรกที่มาฝ่าด่านกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็เข้าไปอยู่อันดับประมาณห้าร้อย แค่นี้ก็เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุดแล้ว ดูจากอันดับของเขาก็น่าจะอยู่ที่ประมาณสี่ร้อยเก้าสิบกว่า!

เข้ามาอยู่ห้าร้อยอันดับแรกก็ไม่ใช่ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจแห่งศาลาอีกแล้ว แต่เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจแห่งแดน ตำแหน่งและฐานะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!”

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนภายนอก เมื่อแสงสีขาวกะพริบวาบๆ ขึ้นมา เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาปรากฏอยู่นอกประตูใหญ่ของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา วินาทีที่เขาเผยกายขึ้น สายตาของทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ก็หันมามองอย่างพร้อมเพรียงกัน สายตาเหล่านั้นมีทั้งความอิจฉา ซับซ้อน และยังมีความริษยาที่ซุกซ่อนเอาไว้ไม่ให้คนนอกรับรู้ เมื่อสายตาทั้งหมดเหล่านี้มาตกอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กะพริบตาปริบๆ อารมณ์คลายลง

“พวกเขา…กำลังมองข้าอยู่หรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย รีบเงยหน้าขึ้นมองบนสายรุ้งของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา มองอันดับดวงดาวของตัวเอง เมื่อเขาเห็นว่าดวงดาวที่เป็นของตนเปล่งแสงแวววาวอยู่บนสายรุ้งสีเขียว ติดห้าร้อยอันดับแรกแล้ว ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นประกาย

“มิน่าล่ะทุกคนถึงมองมาที่ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งครั้ง เขารู้สึกว่าบัดนี้ตนช่างร้ายกาจยิ่งนัก ดังนั้นจึงรีบยืดอก วางมาดที่ตัวเองคิดว่ามีลักษณะเหมือนศิษย์แห่งความภาคภูมิใจมากที่สุด

“จริงๆ เล้ย ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว เฮ้อ ข้าต้องถ่อมตัวสิ ข้าเป็นตัวประกันนะ” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบาน ความรู้สึกที่ถูกสายตานับหมื่นเช่นนี้จับจ้องมองมาทำให้เขารู้สึกเหมือนจะลอยได้ ลืมสภาพกระเซอะกระเซิงบนสายรุ้งสีเขียวก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท เขาเชิดคางขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ดื่มด่ำไปกับสายตาของคนรอบด้าน แล้วจึงเดินอาดๆ ไปด้านหน้า

ตลอดทางที่เดินไป ไม่ว่าลูกศิษย์คนใดที่มองเห็นต่างก็มีสายตาเคารพยำเกรง และเดิมทีเขาก็สามารถบินจากไปได้ แต่พอคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาขนาดนี้

เป็นถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจห้าร้อยอันดับแรกของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกว่าตัวเองจะเย่อหยิ่งไม่ได้ ต้องเป็นคนที่น่าเข้าใกล้ ต้องสัมผัสกับคนอื่นให้มากๆ มอบโอกาสให้กับสหายนักพรตเหล่านั้นได้เข้ามาชื่มชนตนอย่างใกล้ชิด

“ข้านี่คิดรอบคอบจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองคิดได้ถูกต้องอย่างมาก ดังนั้นจึงเดินหน้าต่อไป…ลูกศิษย์ที่อยู่ด้านหน้าของเขาเมื่อเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้ามาใกล้ก็รีบเปิดทางให้กับเขาทันที ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนสบายอุราเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังยกมือโบกทักทายกับคนอื่นด้วย

“สวัสดีทุกคน” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตนในยามนี้อยู่ห่างจากจุดสูงสุดของชีวิตอีกไม่ไกลแล้ว เสียดายก็แต่คนที่อยู่ที่นี่มีแค่หลายร้อยคนเท่านั้น…

“หากมีคนมากกว่านี้ก็ดีน่ะสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังเดินไปช้าๆ อยู่ท่ามกลางสายตาของคนมากมาย ในกลุ่มคนก็มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังมองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน

หญิงสาวผู้นี้สวมชุดยาวสีเขียว รอบกายนางเงียบสงบอย่างมาก มิใช่ว่าไม่มีคนอยากเข้าใกล้ เพียงแต่รอบด้านของนางมีไอความเย็นน่าสะพรึงกลัวกระเพื่อมอยู่ ทำให้ลูกศิษย์คนอื่นเพิ่งจะเข้ามาใกล้ก็รู้สึกไม่สบายตัว จิตวิญญาณไม่สงบสุข

และนางเองก็จับตามองป๋ายเสี่ยวฉุนมาตั้งแต่ต้น มองเห็นท่าทางลำพองใจของป๋ายเสี่ยวฉุนนางก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ หนึ่งครั้ง นัยน์ตาฉายประกายประหลาดบางอย่าง

“ดูเหมือนว่าจะน่าสนุกมากเลยนะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองไปยังประตูใหญ่ของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา ดวงตาทั้งคู่ของนางฉายประกายสดใส หญิงสาวผู้นี้…ก็คือกงซุนหว่านเอ๋อร์!

หลังจากเข้ามาอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา นางกับพวกป๋ายเสี่ยวฉุนก็แยกทางกัน และตัวนางก็ได้มาอยู่สายรุ้งแดนฟ้าตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังกลายมาเป็นลูกศิษย์ชุดเขียว เวลานี้ประกายชีวิตชีวาในดวงตาของนางยิ่งเข้มข้น เห็นได้ชัดว่ามีความสนใจต่อกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารานี้ไม่น้อย

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเตร่อยู่บนสายรุ้งหมื่นดวงดาวไปตลอดทาง เมื่อใดที่มีคนมากเขายังกระแอมเบาๆ อยู่หลายครั้งเพื่อเตือนให้คนเหล่านั้นรู้ถึงการดำรงอยู่ของตัวเอง โดยเฉพาะหลังจากที่กลับมาถึงสายรุ้งแดนฟ้า วินาทีที่เพิ่งออกมาจากค่ายกลนำส่ง หูของเขาก็ได้ยินเสียงฮือฮาด้วยความตกตะลึงของคนที่อยู่นอกค่ายกลทันที

“นั่นป๋ายเสี่ยวฉุน!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่อันดับสี่ร้อยเก้าสิบกว่าของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา!”

หลังจากที่ร่างของเขาปรากฏชัดเจนอยู่ในค่ายกลนำส่งของสายรุ้งแดนฟ้า เสียงเหล่านี้ก็ดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที เดิมทีรอบค่ายกลแห่งนี้ก็มีคนเข้าแถวรออยู่มากมายอยู่แล้ว เวลานี้แต่ละคนจึงล้วนใช้สายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยอิจฉา ทั้งยังมีความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่งมองมายังเขา

ท่ามกลางเสียงร้องเรียกดังเป็นระลอกนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มฮึกเหิมขึ้นมา เขารู้สึกว่าในที่สุดตนก็ได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกของการได้เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเสียที ขณะที่กำลังปลงอนิจจัง ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ ถือโอกาสยืนอยู่ในค่ายกลไม่ออกมา แล้วโบกมือให้ทุกคนด้วยความตื่นเต้น

“สวัสดีทุกคน!”

“ทุกคนลำบากกันแล้ว”

“สหายนักพรตทั้งหลาย นี่ไม่ใช่ความรุ่งโรจน์ของข้าคนเดียว แต่นี่คือเกียรติคุณของแดนฟ้าของพวกเรา!”

การโบกมือในแต่ละครั้งจะต้องชักนำให้เกิดเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นๆ ลงๆ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดยืนอยู่นานเกินไป ไม่นานนักพรตรอบด้านที่รอใช้ค่ายกลของแดนฟ้าก็เริ่มงุนงง ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าของพวกเขาจึงเริ่มแปลกแปร่ง

“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…ทำไมไม่ไปเสียที?”

“เอ่อ…ท่าทางของเขาผิดปกตินะ ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าเขาดูไม่ค่อยเหมือนกับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนอื่นๆ ที่เคยเห็นมาก่อนเลย…” ท่ามกลางสีหน้าเหยเกของทุกคน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีสติกลับมาทันที ใจไม่ค่อยอยากเดินลงจากค่ายกลนัก ทว่าก็ยังโบกมืออีกครั้งแล้วจากไปอย่างเชื่องช้า

จนกระทั่งกลับมาถึงถ้ำของตัวเอง ตลอดทางมานี้เขาจงใจเดินให้ช้ามากเป็นพิเศษ ขอแค่พบเจอผู้ใดก็จะอมยิ้มและพยักหน้าทันที แม้ว่าการฝ่ากระดานของเขาจะดึงดูดความสนใจจากคนไม่น้อย ทว่าสำนักอันตมรรคาฟ้าดารานั้นกว้างใหญ่อย่างยิ่ง จึงยังคงมีนักพรตไม่น้อยที่ไม่รู้เรื่องนี้ หลังจากมองเห็นรอยยิ้มที่ป๋ายเสี่ยวฉุนส่งมาให้พวกเขาจึงงงงันกันไม่น้อย

นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มไม่สบอารมณ์เสียแล้ว เขารู้สึกว่าเวลานี้ตนยังขาดคนที่จะเอาเรื่องไปป่าวประกาศให้ เพราะอย่างไรซะตนก็ร้ายกาจขนาดนี้ แถมมีตำแหน่งแบบนี้ จะให้ตัวเองคอยโม้ให้คนอื่นฟังอย่างเดียวก็ไม่ได้

“การส่งข่าวในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราช่างช้ายิ่งนัก ไม่ได้ ข้าต้องคิดหาวิธีเสียหน่อย” หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาถึงถ้ำ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวความรุ่งโรจน์เช่นนี้จำเป็นต้องบอกให้ทุกคนรับรู้ถึงจะถูก

“ประโยชน์ของสวีเป่าไฉนอกจากช่วยสืบข่าวให้ข้าแล้ว ยังมีการเอาเรื่องไปป่าวประกาศด้วย เอาตัวเขาไปไว้ข้างล่างช่างเป็นเรื่องสิ้นเปลืองยิ่งนัก” คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบส่งข้อความเสียงให้สวีเป่าไฉทันที บอกให้เขารีบจัดการเรื่องในโรงเตี๊ยมแล้วบินขึ้นมาอยู่ข้างบน

พอสวีเป่าไฉได้ยินเรื่องนี้ก็ฮึกเหิมทันควัน อารมณ์เขาเบิกบานถึงขีดสุด รู้สึกว่าในที่สุดประโยชน์ของตัวเองก็สามารถนำมาใช้ให้ได้ดียิ่งขึ้นแล้ว หลังจากใคร่ครวญจนได้ข้อสรุปว่าควรจะต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นความสำคัญของตน ดังนั้นจึงรีบส่งข้อความเสียงกลับไป

“บุรพาจารย์น้อย ท่านฟังข้านะ ข้าสวีเป่าไฉเชี่ยวชาญในเรื่องพวกนี้มากที่สุดแล้ว ตามการวิเคราะห์ของข้า ไม่นานก็จะต้องมีคนมาเยี่ยมเยียนท่าน ท่านต้องจำไว้ว่าเวลามีคนมาหาท่านต้องเผยท่าทีไม่ยอมแพ้ บอกให้คนอื่นรู้ว่าท่านจะต้องฝ่าด่านต่อไป ยิ่งท่านเป็นเช่นนี้ ในสายตาคนอื่นท่านก็ยิ่งเป็นเหมือนคนที่ซ่อนพลังแฝงไร้ที่สิ้นสุด จะโอ้อวดตนเวลาที่คนอื่นมาเยี่ยมไม่ได้นา”

หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับข้อความเสียงของสวีเป่าไฉก็รู้สึกว่าเขาพูดถูกอย่างมาก ดังนั้นจึงใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ แล้วถึงได้เปิดประตูถ้ำออก ยืนสังเกตความเคลื่อนไหวของรอบด้านเงียบๆ

“เฮ้อ เริ่มปวดหัวแล้วนะเนี่ย ตามที่สวีเป่าไฉบอก คาดว่าหลายวันต่อจากนี้คงต้องมีคนมาเยี่ยมเยียนข้ามากมายเหลือเกิน” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง หยิบเอากระจกออกมาจากในถุงเก็บของ หลังจากส่องไปส่องมาสีหน้าก็พลันกระตุก รีบเก็บเอากระจกกลับไปไว้ที่เดิม เอามือไพล่หลังพร้อมทำสีหน้าเคร่งขรึม วางมาดสุขุมนุ่มลึก นัยน์ตามีความลึกล้ำราวกับว่าบรรลุถึงวิถีแห่งเต๋า เงยหน้ามองท้องฟ้า ปณิธานของความสงบสุขที่คละเคล้าไปด้วยการประจักษ์แจ้งพลันบังเกิดขึ้นบนร่างของเขา

ไม่นานหลังจากนั้นก็มีรุ้งยาวสองเส้นบินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ซึ่งก็คือเสินซ่วนจื่อและจางต้าพั่ง ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ ตบะของจางต้าพั่งกลับถึงขั้นสร้างฐานรากช่วงสมบูรณ์แบบ ทั้งบนร่างยังมีไอหมอกหนึ่งเส้น ไอหมอกนี้คล้ายเป็นสิ่งลวงตาที่ก่อตัวกันอยู่นอกร่างของเขา มองดูแล้วแปลกประหลาดอย่างมาก

เสินซ่วนจื่อมีตบะรวมโอสถช่วงต้น ไม่ธรรมดาเช่นกัน ก่อนหน้านี้คนทั้งสองต่างก็สะท้านสะเทือนไปกับการฝ่าด่านของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้พอเข้ามาใกล้ก็มองเห็นท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที ในใจของพวกเขาจึงสั่นสะเทือนกันอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ทำให้พวกเขามีความรู้สึกสูงส่งเหมือนเงยหน้ามองภูเขาสูง โดยเฉพาะเวลาที่มีลมพัดโชยมา ทำให้เส้นผมสีดำสนิทและชายอาภรณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนปลิวสะบัด บวกกับความลึกล้ำในดวงตาของเขา ทำให้ตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมีลักษณะราวกับเซียนแห่งเต๋า โดดเด่นเกินใคร

“บุรพาจารย์น้อย…”

“เสี่ยวฉุน…” จางต้าพั่งสองคนเพิ่งจะเข้ามาใกล้ ทว่ายังไม่ทันพูดจบ

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ในสีหน้ามีความยึดมั่นดึงดัน นัยน์ก็ยิ่งเผยความไม่ยอมแพ้

“พวกเจ้าไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบเหล่มองคนทั้งสองหนึ่งครั้งแล้วก็พูดขึ้นมาทันที คำพูดประโยคนี้ของเขาทำเอาจางต้าพั่งและเสินซ่วนจื่ออึ้งงันไปครู่ใหญ่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!