บทที่ 598 เผยแพร่วิธีหลอกลวง
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เขาฟังออกถึงความอ่อนโยนในน้ำเสียงรวมไปถึงการวิงวอนทางสายตาของอีกฝ่าย เขาจึงรู้ว่าผู้เฒ่าคนนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ต้องการรู้ความลับของการหลอมพลังจิตสามสิบครั้งจริงๆ
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเริ่มใคร่ครวญอยู่ในสมองตนเองว่าจะทำอย่างไรถึงจะก้าวข้ามพื้นฐานที่ร้ายกาจอย่างก่อนหน้านี้ไปอีกขั้นหนึ่งได้ เมื่อพิจารณาว่าไหนๆ ตนก็ได้หน้าได้ตามากแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถือโอกาสโอ้อวดตนให้พวกเขาร่างอ่อนเปลี้ยลงไปกองกับพื้น คุกเข่าก้มกราบกรานไปเลยแล้วกัน!
ท่าทางครุ่นคิดของเขาที่พอตกอยู่ในสายตาของทุกคนกลับทำให้ทุกอย่างต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังใช้ความคิด ดังนั้นจึงรอคอยอยู่เงียบๆ
หากก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ได้ตอบคำถาม พวกคนในตระกูลที่อยู่รอบด้านต้องเอ่ยเสียดสีอย่างแน่นอน
ทว่าตอนนี้พวกเขากลับไม่กล้าทำ คำตอบว่าโลกของป๋ายเสี่ยวฉุนเดิมทีก็เขย่าคลอนทุกคนได้อยู่แล้ว แต่นี่ยังตามมาด้วยคำพูดคำจาที่คมกริบบาดลึกบีบให้ประมุขตระกูลต้องสั่งจับตัวฮูหยินของตัวเองไปคุมขัง ป๋ายฉีผู้นั้นก็เกือบจะโดนป๋ายเสี่ยวฉุนบีบให้ถูกขับไล่ออกจากตระกูลป๋ายหรืออาจถึงขั้นถูกสังหาร ทุกเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าป๋ายฮ่าวที่เห็นอยู่เบื้องหน้าแตกต่างไปจากป๋ายฮ่าวในความทรงจำของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง…
โดยเฉพาะได้ยินคำชื่นชมจากผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมาย พวกเขาก็ล้วนมองออกว่าป๋ายฮ่าวในเวลานี้มีความสามารถมากขึ้นเรื่อยๆ
ทางฝ่ายของคุณหนูห้าก็เป็นเช่นเดียวกัน นางมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาที่เผยความอยากรู้อยากเห็น ป๋ายฮ่าวเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ใช่ว่านางจะไม่เคยคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าใช่ป๋ายฮ่าวตัวจริงหรือไม่ อันที่จริงแล้วคำถามนี้ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น คนอื่นๆ ก็เคยคิดเหมือนกัน แม้แต่พวกผู้อาวุโสหรือประมุขตระกูลป๋ายก็ยังอดคิดไม่ได้
โดยเฉพาะประมุขตระกูลป๋ายที่ถึงกับอาศัยตัวตนของเขาแอบผสานรวมกับค่ายกลเพื่อไปตรวจสอบ ทว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะวิเคราะห์เช่นไร ป๋ายฮ่าว…ก็คือตัวจริง!
ค่ายกลของตระกูลป๋ายมีการตรวจสอบที่เข้มงวดอย่างถึงที่สุดต่อคนที่ไม่ใช่สายเลือดตระกูลป๋าย หากคนเบื้องหน้านี้ไม่ใช่ป๋ายฮ่าวก็ย่อมไม่มีทางปรากฏตัวที่นี่ได้โดยที่ผีไม่รู้เจ้าไม่เห็น
คิดมาถึงตรงนี้คุณหนูห้าเองก็เผยความรอคอย
และยังมีป๋ายเหลยที่ตอนหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งแสดงความสนใจ เขายังถึงขั้นรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนมองข้ามป๋ายฮ่าวมากเกินไป พออีกฝ่ายแสดงตัวโดดเด่นขึ้นมาเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วนี่ถือเป็นโอกาสครั้งหนึ่งที่ดีมาก
ทว่าก็ไม่ใช่ทุกคนในตระกูลที่เป็นเช่นนี้ พวกคนตระกูลป๋ายที่เป็นลูกหลานสายตรง ยามนี้ตอนมองป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้ไม่กล้าเปิดเผยสีหน้ามากนัก ทว่าในใจกลับเคียดแค้นอย่างถึงที่สุด ปรารถนาอยากให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตายๆ ไปเสียที ความอัปยศเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ฮูหยินไช่และป๋ายฉีอับอายเท่านั้น ยังรวมไปถึงพวกเขาทุกคนที่เป็นลูกหลานสายตรงด้วย
อีกทั้งในสายตาของพวกเขา ป๋ายฮ่าวเองก็เป็นคนสายตรง การกระทำเมื่อครู่นี้ถือเป็นการทรยศกันอย่างหนึ่งชัดๆ!
เวลาครึ่งก้านธูปผ่านพ้นไป ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความลึกล้ำ เขาเงยหน้าขึ้นมาผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมาย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกและประสานมือคารวะ
ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายมีสีหน้าฮึกเหิมทันที ตั้งท่ารับฟังอย่างตั้งใจ คนอื่นๆ เองก็เป็นเช่นเดียวกัน ส่วนพวกผู้อาวุโสในตระกูลก็พากันมีสีหน้าเคร่งขรึม
“ตอบผู้อาวุโสใหญ่ การคาดเดาเรื่องการหลอมพลังจิตสามสิบครั้ง ข้าผู้น้อยก็แค่พูดไปมั่วๆ เท่านั้น นั่นเพราะข้าผู้น้อยโดดเดี่ยวมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีพี่น้อง ไม่มีเพื่อน เวลาส่วนใหญ่จึงมักจะจินตนาการถึงโลกใบนี้อยู่เพียงลำพัง โลกใบนั้น…เหมือนกับโลกใบนี้ เพียงแต่ว่าที่นั่นเหลือข้าอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งก็เหมือนโลกใบนี้ที่ข้าเป็นส่วนเกิน…
บางทีอาจเป็นเพราะสภาพจิตใจเช่นนี้ถึงทำให้การจินตนาการของข้าเหมือนคนที่ได้ติดปีกโบยบินไปไกลแสนไกล…” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนแหบพร่าทุ้มหนักคล้ายคนที่จมจ่อมอยู่ในความทรงจำของวัยเด็ก
คนในตระกูลที่อยู่ตรงนี้มีหลายคนที่รู้เรื่องราวตอนเด็กของป๋ายฮ่าว พอได้ยินประโยคนี้ในสมองของพวกเขาก็มีภาพของเด็กคนหนึ่งที่โดดเดี่ยวเดียวดาย นั่งเหม่อมองท้องฟ้า มองโลกใบนี้อยู่เพียงลำพัง
พวกผู้อาวุโสในตระกูลที่ได้ยินก็มีความรู้สึกคล้อยตามไปด้วย คุณหนูห้าไม่รู้ว่าทำไม พอได้ยินอย่างนั้นในใจนางก็รู้สึกเศร้าอาดูร
เห็นว่าทุกคนล้วนมีท่าทีเช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลำพองใจอยู่กับตัวเอง ทว่านี่คือคำตอบที่ก่อนหน้านี้เขาใช้เวลาตั้งครึ่งก้านธูปถึงจะคิดออกมาได้ เพราะเขาต้องการให้ทุกคนอึ้งค้าง ต้องการให้พวกเขาตะลึงลานสะท้านสะเทือนกันถึงขีดสุด
เพราะยังไงซะก็เป็นแค่คำโม้ไม่ใช่หรือ แค่พูดจาให้ใหญ่โตไม่ใช่หรือ ข้อนี้แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะรู้สึกว่าตนไม่เชี่ยวชาญนัก แต่ก็ยังพอจะพูดจาข่มขู่ให้คนอื่นกลัวได้บ้าง ยามนี้เมื่อเขาตกอยู่ในภวังค์แห่งการครุ่นคิดนั้นต่อไป น้ำเสียงจึงเริ่มล่องลอยคล้ายดังมาจากช่วงเวลาวัยเด็กของเขา ข้ามผ่านการเวลามาถึงตอนนี้…
“ข้ามักจะคิดอยู่เป็นประจำว่าโลกใบนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร…พวกเราดำรงอยู่เช่นไร…ทำไมถึงมีวิญญาณ ทำไมถึงมีไฟ ทำไมถึงมีการหลอมพลังจิต…”
“และข้าก็มักจะคิดเป็นประจำว่าโลกนี้มีเซียนอยู่หรือไม่ การบำเพ็ญตบะของพวกเรา ใครเป็นคนถ่ายทอดให้…”
“ข้ายังคิดอยู่เสมอว่าท้องฟ้ากว้างใหญ่ขนาดนั้น ทว่านอกท้องฟ้าล่ะจะยังมีโลกอีกใบหนึ่งดำรงอยู่หรือเปล่า หากมันมีอยู่จริง โลกใบนั้นจะหน้าตาเป็นเช่นไร…” เสียงป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำแผ่วเบา เมื่อดังมาเข้าหูทุกคน รอบด้านก็ยิ่งเงียบสงัด ทุกคนเหมือนจมจ่อมอยู่ในคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนและคิดตามไปด้วย
พวกผู้อาวุโสก็พากันกลั้นลมหายใจ ตอนที่หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาก็พลันค้นพบว่าก่อนหน้านี้ตนมองข้ามป๋ายฮ่าวผู้นี้เกินไปจริงๆ…
โดยเฉพาะผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายคนนั้นที่ยิ่งสีหน้าเปลี่ยนแปลงหลากหลายรวดเร็ว ในฐานะที่เป็นผู้นำของทุกคน ยามนี้ในสายตาของเขาก็คล้ายจะมองเห็นภาพวัยเด็กของป๋ายฮ่าว ทั้งยังมองเห็นความคิดของป๋ายฮ่าวได้อย่างชัดเจน
“และในโลกใบนั้นจะมีคนอยู่เหมือนกันหรือไม่ ในสายตาของพวกเขา พวกเรา…คืออะไร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าอ่อนโยน นัยน์ตามีไอหมอกกางกั้น น้ำเสียงก็ยิ่งเลื่อนลอย
“แล้วใครเล่าที่จะรู้ว่าโลกใบนี้ที่พวกเราอยู่จะใช่วัตถุบางอย่างที่ผู้มากความสามารถคนหนึ่งหลอมพลังจิตสามสิบครั้งหรือไม่!!!”
เมื่อประโยคนี้ดังออกมา รอบด้านก็ยิ่งเงียบสงัด ทันใดนั้นก็มีเสียงสูดลมหายใจจากคนจำนวนนับไม่ถ้วนดังลอยมา
“แล้วใครเล่าที่จะเข้าใจว่าเหตุใดโลกใบนี้ถึงมีคำว่าหลอมพลังจิต ใครเล่าที่จะรู้ว่าต้นกำเนิดการหลอมพลังจิตของโลกใบนี้อยู่ที่ใด!! นี่ ก็คือคำตอบของข้า!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวจบก็หันไปประสานมือคารวะผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายหนึ่งครั้ง ก่อนจะเงียบงันไม่พูดไม่จา ทว่าบัดนี้ในใจกลับตื่นเต้นกระดี้กระด้า คำพูดเหล่านี้ที่เขาพูดออกมา แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันเท่าใดนัก มันเป็นเพียงถ้อยคำที่จะทำให้เขาดูลึกลับสุดจะหยั่งซึ่งเขาเพิ่งคิดได้เมื่อครึ่งก้านธูปก่อนหน้านี้เอง
แม้ว่าเขาเองก็ไม่เข้าใจ แต่กลับรู้สึกว่าขอแค่ข่มทุกคนได้อย่างอยู่หมัดก็พอแล้ว ยิ่งสูงล้ำเกินคาดเดา ยิ่งลึกลับซับซ้อนมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้มองดูเหมือนว่าเขาจะสงบนิ่ง แต่สายตากลับมองประเมินไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง มองไปมองมาเขาก็เริ่มครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสีย
เพราะที่นี่เงียบเกินไป…
ทุกคน รวมไปถึงพวกผู้อาวุโสต่างก็เหม่อมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาไม่มีจุดรวมสายตา มองดูเหมือนพวกเขานิ่งเฉย ทว่าตอนนี้ในใจของทุกคนกลับเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่า ถูกเขย่าคลอนไปทั้งร่างจนได้แต่ยืนเซ่อ
ในสายตาของพวกเขา จินตนาการของป๋ายเสี่ยวฉุนถือว่าน่าเหลือเชื่อมากเหลือคณา มากจนถึงระดับที่มิอาจพรรณนาได้ แล้วก็เข้าใจได้ในฉับพลันว่าเหตุใดคำตอบของป๋ายเสี่ยวฉุนถึงเป็นคำว่าโลก
ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขายากจะย่อยข้อมูลที่ได้รับมาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้ จนกระทั่งผ่านไปสิบกว่าชั่วลมหายใจ พวกเขาถึงได้ฟื้นคืนสติกลับมา ก่อนที่เสียงสูดลมหายใจ เสียงฮือฮา เสียงร้องอุทานตกใจจะระเบ็งเซ็งแซ่
“นอกโลกจะมีโลกอีกใบอยู่หรือไม่…”
“ฟ้าดินที่พวกเราอยู่ บางทีอาจจะ…เป็นอาวุธวิเศษที่ผู้มากความสามารถท่านหนึ่งหลอมพลังจิตสามสิบครั้งแล้วทิ้งเอาไว้จริงๆ!!”
“สวรรค์ นี่ทำให้ข้านึกถึงเรื่องเล่าของจักรพรรดิขุยเลย ว่ากันว่าจักรพรรดิขุยรุ่นที่หนึ่งเป็นผู้บุกเบิกเปิดฟ้าผ่าดิน และตายไปในการต่อสู้เพราะปกป้องเผ่ามนุษย์…”
คุณหนูห้าและป๋ายเหลยต่างก็ตัวสั่นสะท้านน้อยๆ คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน หากไม่คิดมากก็ยังพอว่า แต่พอคิดลึกลงไปเรื่อยๆ กลับยิ่งตกตะลึงมากเท่านั้น พอจะรู้สึกได้รำไรว่าในคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนจะแฝงเร้นไว้ด้วยความลึกลับบางอย่างของฟ้าดิน ทำให้คนฟังตกไปอยู่ในความลี้ลับนั้น มิอาจคาดการณ์ได้ถึงอนาคต
เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจเหล่านี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่อนลมหายใจได้ในที่สุด แล้วก็รู้สึกทันทีว่าตนพอจะมีพรสวรรค์ด้านการข่มขู่คนอื่นอยู่บ้าง ขณะที่กำลังลำพองใจอยู่นั้น ดวงตาของพวกผู้อาวุโสต่างก็ฉายแสงคมกริบ โดยเฉพาะผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายที่ถึงกับผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตื่นเต้น ก่อนจะแหงนหน้าหัวเราะร่า
“ดี ดี ดี!!” ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมาย เขาจึงเป็นคนเคร่งขรึมพูดน้อย แค่พยักหน้าก็ถือว่าได้รับการยอมรับจากเขาแล้ว ต่อให้กับป๋ายฉีเองเขาก็ยังพูดคำว่าดีครั้งเดียวเท่านั้น
ทว่าตอนนี้กลับพูดคำว่าดีติดต่อกันถึงสามครั้ง ความตื่นเต้นในสีหน้าของเขาสามารถมองออกได้ว่าเขาชื่นชมป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างถึงที่สุด ทั้งหมดนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของป๋ายฉี ทำให้ใจเขาเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกกัดทึ้ง ดวงตาทั้งคู่พลันแดงก่ำ กำหมัดแน่น
สีหน้าเขาดุร้าย ไอสังหารที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งเดือดปะทุ
“ในพื้นที่บรรพชน หลังจากที่ข้าได้วิญญาณคนฟ้ามาครองจะต้องสังหารเจ้าให้ได้!”
ส่วนสายตาของประมุขตระกูลป๋ายที่หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ราวกับมีความซับซ้อนบางอย่าง แต่ความซับซ้อนนี้ก็ถูกลบเลือนไปอย่างรวดเร็ว และแทนที่มาด้วยความเย็นชามึนตึง
“จะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าเป็นลูกเมียน้อย แม่เจ้าชาติกำเนิดต่ำต้อย เจ้าจึงถูกกำหนดมาให้ต่ำต้อยตามไปด้วย ไม่รู้จักเชื่อฟัง คิดแต่จะต่อต้าน เจ้ามันก็สมควรตายไม่ต่างไปจากแม่ของเจ้า!”