Skip to content

A Will Eternal 602

บทที่ 602 เจ้ากล้าขอ ข้าก็กล้าให้

ยามนี้บนภูเขาแห่งนี้ยังมีคนไม่มากนักที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของป๋ายเสี่ยวฉุน

พวกเขาถูกป๋ายฉีดึงดูดความสนใจไปทั้งหมด พอมองเห็นว่าป๋ายฉีกำลังทำลายตราผนึกสุดท้ายที่อยู่บนยอดเขา คนในตระกูลป๋ายส่วนใหญ่ก็เกิดความสับสนในใจ บ้างอิจฉา บ้างริษยา บ้างจนใจ ทุกความคิดความรู้สึกล้วนลอยขึ้นมากลางใจของพวกเขา

“ครั้งนี้มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย!”

“ถูกต้อง ต่อให้ป๋ายฉีผู้นั้นจะเก่งกาจแค่ไหน ต่อให้จะมีตบะรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ แต่จะอย่างไรก็ไม่สามารถผ่านไปถึงยอดเขาได้ราบรื่นและเร็วขนาดนี้!”

“หึ ก่อนหน้านี้ข้าจับสังเกตมาหลายหนแล้ว ตลอดทางที่ผ่านมาป๋ายฉีผู้นี้แทบไม่เจอกับผนึกใดๆ ราวกับว่ารู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว นั่นถึงทำให้เขาราบรื่นได้ขนาดนี้!”

“ทุกคนยังไม่เข้าใจอีกหรือ การเปิดพื้นที่บรรพชนในครั้งนี้ ป๋ายเหลยไม่ได้ช่วงชิงกับป๋ายฉี แค่นี้ก็รู้ได้แล้วว่านี่คือการเปิดพื้นที่บรรพชนเพื่อป๋ายฉีเฉพาะ และก็มีการกำหนดกันเป็นภายในแล้วว่าคนที่ได้วิญญาณคนฟ้าไป…ต้องเป็นป๋ายฉีเท่านั้น เพื่อที่เขาจะนำไปแลกวิญญาณสัตว์ฟ้าห้าธาตุเพื่อรวมตัวอ่อน!!”

คนตระกูลป๋ายที่อยู่บนภูเขามีความรู้สึกเจ็บแค้นเพราะความอยุติธรรม คนส่วนใหญ่ที่รู้สึกเช่นนี้ล้วนเป็นคนในตระกูลสายอ้อม ส่วนลูกหลานสายตรงกลับลำพองใจอย่างถึงที่สุด พอได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นข้างกายพวกเขาก็ตวาดกร้าวตำหนิด่า

“ป๋ายฉีคือบุตรกิเลนของตระกูลป๋ายเรา เขาได้รับวิญญาณคนฟ้ามาก็ถูกต้องสมควรแล้ว!”

คำพูดทำนองนี้ดังไปทั่วทั้งภูเขาบรรพชน ขณะเดียวกันนอกภูเขาบรรพชน คนตระกูลป๋ายมากมายที่อยู่รอบๆ ประตูหินก็เกิดความรู้สึกหลากหลายขึ้นในใจเช่นกัน

ยามนี้พวกเขาเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจทางฝ่ายของป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะทุกความมีหน้ามีตาทั้งหมดล้วนมารวมกันอยู่ที่ตัวป๋ายฉี ทำให้เขาสะดุดตาอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ประหนึ่งแสงแดดแรงกล้าที่ดึงดูดสายตาของทุกคน

เห็นว่าป๋ายฉีอาศัยสายเลือดมาทำลายตราผนึกบนยอดเขานั้น เสียงพูดคุยเบาๆ ของคนที่อยู่นอกประตูหินก็ดังตามมา

“เป็นป๋ายฉีจริงๆ ด้วย…”

“ก่อนหน้านี้ข้าก็เดาไว้อยู่แล้วว่าคราวนี้คนที่ได้ต้องเป็นป๋ายฉีแน่นอน แต่ถึงขั้นเปิดพื้นที่บรรพชนกันขนาดนี้ก็ทำให้พวกเราพูดอะไรกันไม่ออก”

“แม้ว่าจะมีการกำหนดกันเป็นภายใน แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ใช่ว่าคนอื่นๆ จะเอาไปครองไม่ได้ เพียงแต่ไม่มีใครที่เก่งกว่าป๋ายฉีก็เท่านั้น”

ขณะที่คนมากมายซึ่งอยู่ข้างนอกพูดคุยกันเบาๆ พวกผู้อาวุโสต่างก็มีสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ภาพเหตุการณ์นี้เดิมทีก็อยู่ในการคาดการณ์ของพวกเขาอยู่แล้ว ต่อให้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายและฝ่ายอาญาเองก็ยังเงียบงันไม่เอ่ยคำใด

การตัดสินใจของบุรพาจารย์ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถโต้แย้งได้ อีกอย่างป๋ายฉีเองก็ถือว่าเป็นต้นกล้าที่เติบโตได้โดดเด่นที่สุดของคนตระกูลป๋ายรุ่นนี้

เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว คนข้างนอกที่ตื่นเต้นที่สุดก็คือฮูหยินไช่ นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ลมหายใจก็หอบถี่ไม่มั่นคงเพราะความฮึกเหิม สายตามองจ้องไปยังป๋ายฉีที่อยู่ในภาพบนประตูหินด้วยความปลาบปลื้มสุดขีด

“ฉีเอ๋อร์ของข้าก็คือบุตรกิเลนของตระกูลป๋าย วิญญาณคนฟ้านี้เตรียมไว้ก็เพื่อเขาเท่านั้น!”

“เจ้าสวะป๋ายฮ่าวบังอาจมาแก่งแย่งชิงดีกับฉีเอ๋อร์ของข้า มันมีสิทธิ์อะไร ทุกอย่างของมันก็ต้องกลายมาเป็นของฉีเอ๋อร์เท่านั้น ก็แค่เอาบันทึกที่มันบรรลุมาครอบครอง ก็แค่ให้มันไปตายเท่านั้น แต่มันกลับไม่เชื่อฟัง แถมยังกล้าต่อต้านอีก!!”

“รออีกเดี๋ยวเมื่อฉีเอ๋อร์ได้วิญญาณคนฟ้ามาครอง นั่นก็คือเวลาตายของเจ้ากากเดนนั่น!!” ฮูหยินไช่หลุดหัวเราะออกเสียง บัดนี้ความปิติยินดีของนางพุ่งสูงถึงขีดสุด

และยังมีประมุขตระกูลป๋ายอีกคนที่ใบหน้าไม่ได้มืดทะมึนอีกต่อไป แต่เผยรอยยิ้ม สายตาที่มองไปยังป๋ายฉีมีความอ่อนโยนและปลื้มเปรม ทั้งยังมากด้วยความภาคภูมิใจ

ทว่าทุกอย่างนี้กลับไม่ได้ดำรงอยู่นานนัก วินาทีที่ป๋ายฉีพยายามทดลองฝ่าตราผนึกบนยอดเขาอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้น…

บรรดาคนมากมายที่อยู่นอกพื้นที่บรรพชนในที่สุดก็มีคนมองเห็นภาพในมุมหนึ่งบนประตูหิน นั่นคือภาพที่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดพลังอำนาจสะเทือนฟ้าดินออกมา

เมื่อพลังอำนาจนี้ปรากฏก็ถึงกับทำให้ภาพเหตุการณ์บนประตูหินบิดเบือนไปชั่วขณะราวกับมีพลังที่ไร้คำบรรยายระลอกหนึ่งกำลังรบกวนฟ้าดินหมายจะพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างนอกใจสั่นสะท้านหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน

“นั่นคือ…”

“ป๋ายฮ่าว!”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน ป๋ายฮ่าวผู้นั้น…เกิดอะไรขึ้นกับเขา!!” เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจดังออกมาจากปากของคนจำนวนไม่น้อยในตระกูล ทุกคนพากันเบิกตากว้าง พวกผู้อาวุโสเองก็อึ้งงันไปพักใหญ่ ฮูหยินไช่ก็ดี ประมุขตระกูลป๋ายก็ช่าง พวกเขาต่างก็หันขวับไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในภาพเหตุการณ์บนประตูหินอย่างมิอาจห้ามตัวเองได้!

และตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าหัวเราะร่า พูดคำว่าดีกับคุณหนูห้า!

“พี่หญิงห้า ในเมื่อท่านกล้าขอ ข้าก็กล้าให้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะดังลั่น แล้วเขาก็พลันค้นพบว่าคุณหนูห้าผู้นี้มองดูเหมือนจะอ่อนโยนบอบบาง ทว่าลึกลงไปในกระดูกกลับฝังความแข็งแกร่งยึดมั่นที่ยากจะจินตนาการได้

อาวุธวิเศษเกินครึ่งบนภูเขาแห่งนี้หากได้มาครอบครองก็ไม่ง่ายนักที่จะปกป้องไว้ได้ อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เชื่อว่าคุณหนูห้าน่าจะมองบางอย่างออก ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงมีความมั่นใจในตัวเองดังเดิม และในเมื่อเป็นเช่นนี้…ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธ

ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเขา เส้นผมของป๋ายเสี่ยวฉุนปลิวไสวได้เองทั้งๆ ที่ไม่มีลม ตบะในร่างก็ระเบิดออกมาหมดอย่างไม่มีกั๊กไว้แม้แต่เสี้ยวเดียว จากสร้างฐานรากช่วงต้นพริบตาเดียวก็ผงาดมาเป็นช่วงกลาง ช่วงท้าย ช่วงสมบูรณ์แบบ จากนั้นก็ฝ่าทะลุไปอีก…พลังอำนาจระเบิดสะเทือนเก้าชั้นฟ้าไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งกลายมาเป็นเขตรวมโอสถ

อีกทั้งรอบกายเขายังมีพายุหมุนปรากฏขึ้น พายุนี้หมุนคว้างเขย่าคลอนภูเขาบรรพชนในพริบตาเดียว เมื่อมองมาไกลๆ พื้นที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ก็เห็นเป็นภาพที่พายุหมุนเชื่อมโยงเข้ากับนภากาศ พลังอำนาจเกรียงไกรไร้คำบรรยาย ทั้งยังถึงขั้นชักนำให้สายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาจนคนในตระกูลป๋ายทุกคนที่อยู่บนภูเขาร้องเสียงหลงด้วยความตะลึงพรึงเพริด

“นี่…นี่…”

“สวรรค์ เกิดเรื่องอะไรขึ้น!!”

ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้

คนที่ตะลึงลานยิ่งกว่าใครก็คือป๋ายเหลยที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนนี้ในสมองของเขาเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าลงมาไม่ขาดสาย ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ร่างที่สั่นเทิ้มโซเซถอยกรูดอย่างมิอาจควบคุม ลมหายใจหอบหนัก

เขาอยู่ใกล้มากที่สุด ในความรู้สึกของเขา ป๋ายฮ่าวที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้คล้ายกลายมาเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ส่วนตนกลับเป็นเรือลำเล็กที่ลอยคว้างอยู่บนมหาสมุทรนั้น และยิ่งบนมหาสมุทรมีฝนฟ้าคะนองคลื่นซัดถาโถม เขาก็ยิ่งมิอาจต้านทานได้ไหว และดูเหมือนว่าเพียงแค่ความคิดเดียวของอีกฝ่าย ตนก็สามารถดับสลายทั้งกายและจิตได้ตลอดเวลา

“ทำไมเขา…เขาถึงแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้!!!”

เหงื่อเย็นๆ ไหลท่วมร่างของป๋ายเหลย ในสมองของเขาขาวโพลน

ต่อให้เป็นคุณหนูห้าเองก็ยังลมหายใจยุ่งเหยิงวุ่นวาย ก่อนหน้านี้นางก็พอจะเดาคำตอบบางอย่างได้บ้างแล้ว แต่พอป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดตบะทั้งหมดออกมานางก็ยังหน้าเปลี่ยนสีอย่างต่อเนื่อง ทว่าดวงตาคู่งามของนางกลับมีคลื่นแสงสดใสเปล่งวาบๆ ติดต่อกันอย่างมิอาจควบคุม

ทั้งหมดนี้พูดแล้วยาว แต่ในความเป็นจริง

ตบะที่แผ่ออกมาจากบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไต่ไปถึงรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น!

ทั้งยังเลื่อนไปอีกระดับขยับเข้าสู่เขตเสมือนก่อกำเนิดแล้วด้วยซ้ำ!

ขอบเขตเช่นนี้ ตบะเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ท่ามกลางพายุบ้าคลั่งประหนึ่งดั่งเทพมาร ดวงตาทั้งคู่ของเขาสุกสกาวราวดวงดารา พลังกล้ามเนื้อก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน บัดนี้ในเรือนกายที่เพรียวบางและใบหน้าเล็กเรียวขาวสะอาดคล้ายซุกซ่อนมังกรเทพที่บ้าคลั่งตัวหนึ่งเอาไว้!

เท้าขวาของเขายกขึ้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะนั้นคล้ายต้องการระบายความอึดอัดคับข้องใจในช่วงเวลาที่ผ่านมา

คล้ายต้องการปลดปล่อยความเห็นใจที่มีต่อป๋ายฮ่าว ระเบิดความไม่พอใจที่มีต่อตระกูลป๋ายออกมาพร้อมกันจนหมดสิ้น!

พริบตาเดียว เท้าขวาของเขาที่ยกขึ้นก็กระทืบลงไปบนภูเขาบรรพชนที่อยู่เบื้องล่าง…อย่างแรง!

เมื่อเท้าขวาของเขากระทบลงบนพื้น ตลอดทั้งภูเขาบรรพชนก็ราวกับถูกยักษ์ตนหนึ่งกระทืบอย่างแรงจนเกิดเป็นเสียงกัมปนาทดังราวอสนีบาต ท่ามกลางเสียงกึกก้องนี้ภูเขาบรรพชนสั่นคลอนโยกไหวอย่างดุเดือด ภาพเหตุการณ์ที่พื้นดินสั่นสะเทือนภูเขาไหวสะท้านนี้ทำให้ทุกคนในตระกูลที่อยู่บนภูเขาร้องอุทานแตกตื่นกันขึ้นมาทันที

เท้านี้แฝงเร้นไว้ด้วยพลังตบะของป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นคือพลานุภาพสยบยิ่งใหญ่มหาศาลเกินขอบเขตรวมโอสถซึ่งเกิดจากร่างจำแลงทั้งสามที่รวมอยู่ในร่างเดียว โดยเฉพาะพลังควบคุมที่อยู่ภายในนั้นก็ยิ่งราวกับสามารถควบคุมตลอดทั้งภูเขาบรรพชนได้!

อีกทั้งพละกำลังกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นหลังจากฝึกวิชาอมตะมิวางวายขั้นที่สามได้อย่างสมบูรณ์แบบจนแตะเข้ากับพันธนาการขั้นที่สามของเรือนกายมนุษย์ได้ก็คือพลังอำนาจค้ำฟ้า!

และยังมีการปลดปล่อยความกดดันในช่วงเวลาที่ผ่านมาจนหมดสิ้น ทุกอย่างนี้จึงทำให้เท้านี้ของเขาไม่เพียงแต่สั่นสะเทือนภูเขาบรรพชน ยังทำให้บนภูเขาเกิดรอยปริร้าวหลายเส้นด้วย!

ท่ามกลางเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ รอยแยกนี้แผ่ขยายไปอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขาบรรพชน แถมบางพื้นที่ยังถึงกับระเบิดพังทลาย!

สำหรับคนตระกูลป๋ายที่อยู่บนภูเขาแล้ว ทุกอย่างนี้เป็นราวกับวันโลกาวินาศ เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจ เสียงกรีดร้องดังขึ้นๆ ลงๆ ในชั่วพริบตา ตราผนึกมากมายที่อยู่ในวงแสงบนภูเขาพลันระเบิดตูมออกมาพร้อมกัน!

นั่นคือการแตกสลายของตราผนึกแทบทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางการพังทลายนี้ก็ราวกับว่าแสงสว่างไสวจำนวนนับไม่ถ้วนได้มืดดับลงไปในเสี้ยววินาที ขณะเดียวกันวงแสงเหล่านั้นก็ถูกทำลายให้แตกกระจายไปแปดทิศด้วย!

หลังจากที่วงแสงระเบิดทลาย วัตถุแต่ละชิ้นที่อยู่ที่ในวงแสงซึ่งคนตระกูลป๋ายจัดวางไว้ให้เป็นโชควาสนาของคนในตระกูล อาวุธวิเศษก็ดี วิญญาณก็ช่าง และยังมียาวิญญาณจำนวนมาก มาบัดนี้ต่างก็ราวกับถูกพลังอย่างหนึ่งดึงดูดทำให้ลอยออกมาด้วยตัวเองพร้อมกันทั้งหมด!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!