Skip to content

A Will Eternal 603

บทที่ 603 ป๋ายฮ่าว เจ้ามันสมควรตาย

ภาพนี้เขย่าคลอนทุกคน เมื่อมองไปแสงสว่างของอาวุธวิเศษจำนวนไม่ถ้วนพร่างพราว ยาวิญญาณส่องประกายแสงใสแวววาว วิญญาณจำนวนเหลือคณานับเริงระบำ เมื่อบินแตกฮือออกมาจากบนภูเขาแห่งนี้ก็ราวกับกลบทับนภากาศไปเกินครึ่ง

“นั่นคือ…ยาวิญญาณระดับกลาง!”

“ดาบผลาญทำลาย สวรรค์ นั่นคืออาวุธยิ่งใหญ่ของตระกูลป๋ายเรา!”

“นั่นมัน…วิญญาณสัตว์ฟ้าธาตุทอง!!!” คนตระกูลป๋ายที่อยู่บนภูเขายืนโงนเงน หลังจากพยายามฝืนให้ร่างกายอยู่นิ่งก็มองเห็นวัตถุล้ำค่าหลายชนิดที่ระเบิดออกมาทันที ดวงตาพวกเขาจึงโชนแสงร้อนแรง อุทานฮือฮาอย่างอดไม่อยู่

ป๋ายเหลยเองก็มองเซ่อไปเหมือนกัน ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของทุกคนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นแล้วสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เสียงสวบๆๆ ดังไม่ขาดสาย วัตถุล้ำค่าแห่งโชควาสนาที่ลอยขึ้นกลางอากาศก็บินทะยานเข้ามาหาเขาในพริบตาเดียว

นั่นคือ…สมบัติล้ำค่าแทบทั้งหมดที่อยู่บนภูเขาบรรพชนแห่งนี้ ยามนี้พวกมันแผ่อยู่เต็มท้องฟ้าและกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แม้แต่จะชายตามอง แค่ยกนิ้วมือข้างขวาขึ้นชี้ไปยังคุณหนูห้าที่ยืนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น

“พี่หญิงห้า ยังไม่รีบเก็บไปอีกรึ!”

คุณหนูห้ามึนงงไปหมดแล้ว หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงไม่อยู่นิ่ง ต่อให้นางจะเตรียมใจมาไว้แค่ไหน แต่พอได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้อย่างแท้จริงในสมองของนางก็ยังเหมือนมีสายฟ้ามาระเบิดเปรี้ยงอยู่ด้านใน โดยเฉพาะแค่การกระทืบเท้าครั้งเดียวของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สามารถทำให้ตราผนึกทั้งหมดบนภูเขาบรรพชนพังทลาย วงแสงทุกเส้นแตกกระจาย อาวุธวิเศษทุกชิ้นบินมาหา

วิชาอภินิหารน่าตะลึงเช่นนี้นางไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน อีกทั้งในความรู้สึกของนางยังเหมือนว่าต่อให้เป็นผู้อาวุโสบางคนในตระกูลก็ยังทำไม่ได้ขนาดนี้!

และขณะที่นางยืนงงอยู่นั้น เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังทะลุทะลวงเข้ามาในสมองของนางทำให้นางตกใจตื่นคืนสติขึ้นมาทันใด บัดนี้ดวงตาของนางเปล่งประกายเจิดจ้า และหลังจากที่คำนึงถึงผลได้ผลเสียแล้วนางก็กัดฟันกรอด เปิดถุงเก็บของออกในทันใด

“ต่อให้วันนี้ป๋ายฮ่าวจะก่อกบฏในตระกูล ทว่าอาวุธวิเศษที่มาอยู่บนตัวข้าแล้ว คนในตระกูลกลับไม่สามารถ…เอากลับคืนไปได้!” คุณหนูห้ามองดูเหมือนอ่อนโยนบอบบาง ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับซุกซ่อนความแข็งแกร่งใจเด็ดเอาไว้ ตอนนี้นางจึงไม่ลังเลอีกต่อไป นาทีที่เปิดถุงเก็บของออกนางก็แผ่ตบะออกมารับสิ่งของทุกชิ้นอย่างเต็มกำลัง

อีกทั้งเมื่อมีพลังควบคุมของป๋ายเสี่ยวฉุนให้การช่วยเหลือ อาวุธวิเศษมากมาย วิญญาณหลายดวงจึงพากันบินเข้าไปหาคุณหนูห้า พริบตาเดียวก็เข้าไปอยู่ในถุงเก็บของของนางจนหมด

ภาพนี้ทุกคนในตระกูลป๋ายที่อยู่บนภูเขาล้วนมองเห็นอย่างชัดเจน เสียงสูดลมหายใจ เสียงร้องอุทานด้วยความอิจฉาระเบิดออกมาอย่างมิอาจสกัดกั้นไว้ได้ และคนที่ถูกกระตุ้นรุนแรงที่สุดก็คือป๋ายเหลย…

เขาเหม่อมองทุกอย่างนี้ด้วยความทึ่มทื่อ การเปลี่ยนแปลงเบื้องหน้านี้เกิดขึ้นเร็วเกินไปราวกับว่าก่อนหน้านี้ป๋ายฮ่าวยังเป็นเด็กผู้โง่เขลาในสายตาของเขา ทว่านาทีถัดมาอีกฝ่ายกลับเปลี่ยนมาเป็นยอดฝีมือผู้เป็นหนึ่งในปฐพีที่เขาจำต้องแหงนหน้ามอง

เดิมทีนี่ก็ทำให้จิตวิญญาณของเขาแกว่งไกวอย่างแรงอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้เมื่อได้เห็นว่าสมบัติเกือบทั้งภูเขาบรรพชนถูกคุณหนูห้าเก็บเอาไปคาตาอย่างนี้ แรงกระตุ้นที่เกิดกับเขามีมากเกินไป แต่กระนั้นเมื่ออยู่ภายใต้พลานุภาพสยบของป๋ายเสี่ยวฉุน

เขากลับไม่กล้าพูดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ อีกทั้งแม้แต่สีหน้าไม่พอใจเขาก็ยังไม่กล้าเผยให้อีกฝ่ายเห็น เพราะลางสังหรณ์ได้บอกกับเขาว่า…

ตระกูลป๋ายจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!!

ลางสังหรณ์ของเขานั้นถูกต้องแล้ว และคนตระกูลป๋ายแทบทุกคนที่อยู่บนภูเขาแห่งนี้ก็ล้วนมีลางสังหรณ์แบบเดียวกัน โดยเฉพาะ…นอกพื้นที่บรรพชนในยามนี้ คนตระกูลป๋ายจำนวนมากที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ผ่านประตูหิน พวกเขาก็ยิ่งมีความรู้สึกไม่ต่างกันเลย!

นอกประตูหิน เพราะการลุกผงาดของป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะการแตกทลายของภูเขาบรรพชน เพราะสมบัติแทบทุกชิ้นที่บินออกมา ทุกคนในตระกูลจึงพากันหน้าเผือดสี ในใจราวกับมีสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาอย่างไม่ขาดสายจนต้องออกปากร้องอุทานแตกตื่น

“นี่…นี่…สวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกัน!!”

“นั่นคือ…ป๋ายฮ่าวหรือ? นี่มันเป็นไปไม่ได้ เขาสร้างฐานรากช่วงต้นไม่ใช่หรือ!! ทว่าเขาในยามนี้กลับไม่ใช่สร้างฐานรากช่วงต้น นั่นมัน…ก่อกำเนิดชัดๆ!!”

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ป๋ายฮ่าวผู้นี้…เหตุใดเขาถึงได้อำพรางตัวได้ลึกล้ำนัก ตบะเกือบจะก่อกำเนิด ทว่าก่อนหน้านี้กลับไม่มีใครระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย!!”

“เป็นไปไม่ได้!!”

“จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว นั่นมันพื้นที่บรรพชนนะ ป๋ายฮ่าวที่อยู่ในนั้นตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พ่าย…วิญญาณคนฟ้า สวรรค์ เป้าหมายของเขา…ต้องเป็นวิญญาณคนฟ้าแน่นอน!!”

“ป๋ายฉีมีอันตราย!!” คนในตระกูลที่อยู่นอกประตูหินร้องอุทานเอ็ดอึง เสียงแห่งความตะลึงพรึงเพริดดังระเบ็งเซ็งแซ่ พวกผู้อาวุโสต่างก็ผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน

ในใจของพวกเขายามนี้มีลมพายุก่อตัวขึ้นมาพร้อมหมุนคว้างด้วยเสียงอึกทึก คนนอกมองไม่ออกถึงตบะของป๋ายเสี่ยวฉุน คิดว่าเขาเป็นก่อกำเนิด ทว่าพวกผู้อาวุโสเหล่านี้เดิมทีก็เป็นก่อกำเนิดอยู่แล้ว แน่นอนว่าย่อมมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“ป๋ายฮ่าวผู้นี้อยู่ในขอบเขตเสมือนก่อกำเนิด!!”

“บัดซบ บางทีเขาอาจจะไม่ใช่ป๋ายฮ่าวก็ได้!!!”

“ก็ไม่แน่หรอก หากเขาไม่มีสายเลือดตระกูลป๋ายของเรา ต่อให้เป็นก่อกำเนิดก็หนีไม่พ้นการตรวจสอบของค่ายกลตระกูลป๋ายเรา!”

“ตบะเช่นนี้…หากเขาคือป๋ายฮ่าวจริงๆ ถ้าเช่นนั้นเขาต่างหากถึงจะเป็นบุตรกิเลนของตระกูลป๋ายเรา!!” พวกผู้อาวุโสพากันตัวสั่นเทิ้ม แต่ละคนหอบหายใจหนักหน่วงพร้อมดวงตาที่สาดแสงคมกล้า

ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายและฝ่ายอาญาก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายที่ยิ่งเบิกตากว้าง มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในภาพเหตุการณ์ด้วยความเหลือเชื่อ

“ขอบเขตเสมือนก่อกำเนิด…ป๋ายฮ่าวผู้นี้ต้องได้รับบุญวาสนาครั้งใหญ่มาก่อนแน่นอน ช่างข่มกลั้นได้ดีนัก การอดทนข่มกลั้นเช่นนี้น่ากลัวยิ่งกว่าตบะของเขาเสียอีก!! เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ด้านการหลอมพลังจิตที่น่าตะลึง แถมตบะก็ยังแข็งแกร่งขนาดนี้ พรสวรรค์อันเลิศล้ำของเขา ต่อให้เวลาผ่านไปเป็นพันๆ ปีก็ยากที่ตระกูลป๋ายจะมีคนเช่นนี้ปรากฏขึ้นได้!!”

“คนแบบนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นบุตรกิเลนของตระกูลป๋ายเรา!!” ความคิดในสมองของผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสองแล่นเร็วจี๋ การลุกผงาดและการระเบิดพลังของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคนอย่างสิ้นเชิง เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายไม่เคยเผยวี่แววให้เห็นแม้แต่น้อย

ไม่เพียงแต่พวกเขาที่เป็นเช่นนี้ คนที่ตะลึงอึ้งค้างยิ่งกว่าพวกเขายังมีคนจากอีกสองตระกูลรวมไปถึงทูตจากนครผียักษ์ ลูกตาของพวกเขาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่พวกเขาคิดไม่ถึงมาก่อนเลยว่าตนจะได้มาเป็นพยานให้กับภาพเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อของตระกูลป๋าย!

“มีพรสวรรค์มากขนาดนี้…แต่ก่อนหน้านี้กลับไม่แย้มพรายให้คนตระกูลป๋ายระแคะระคายแม้แต่น้อย…อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้มีความเคียดแค้นต่อตระกูลป๋าย!”

“ก็ดี มิฉะนั้นแล้วด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ของป๋ายฮ่าว เกรงว่าตระกูลป๋ายคงต้องผงาดขึ้นอีกครั้ง…”

“ป๋ายฮ่าว…น่าสนใจ เรื่องนี้ต้องรายงานให้ท่านอ๋องทราบโดยเร็วที่สุด ตระกูลป๋ายมีแววว่าจะแตกหัก!!” แม้ว่าทูตจากสองตระกูลและจากนครผียักษ์จะตกตะลึงยิ่งกว่าผู้อาวุโสของตระกูลป๋าย ทว่ากลับยังคงมีคนที่บ้าคลั่งยิ่งกว่าพวกเขา

ฮูหยินไช่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว กรีดร้องเสียงแหลมรวดร้าว

“ป๋ายฮ่าวเจ้าเศษสวะ เจ้ามันสมควรตาย สมควรตาย สมควรตาย!!! ทหาร จงไปฆ่ามันให้ข้า ฆ่ามันซะ ฆ่ามันเดี๋ยวนี้!!” นัยน์ตาของฮูหยินไช่ฉายแสงสีเลือด นางผุดลุกกระโดดเหยงๆ ราวกับคนบ้าคลั่ง ผมเผ้าก็เริ่มยุ่งเหยิงคล้ายรับไม่ได้กับภาพเหตุการณ์นี้ ต่อให้รอบด้านจะมีเสียงอุทานด้วยความแตกตื่นดังแค่ไหน ทว่าเสียงกรีดแหลมของนางก็ยังคงดังแสบแก้วหู

เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะไม่คลุ้มคลั่ง เพราะบัดนี้ฮูหยินไช่สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวและประหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางยิ่งตระหนักได้ว่านักฆ่าที่ตัวเองส่งไปก่อนหน้านี้ย่อมไม่ได้ถูกคนนอกสังหารอย่างที่ป๋ายฉีพูด แต่…ถูกป๋ายฮ่าวสังหารด้วยมือของเขาเอง!

พอคิดถึงตบะของป๋ายฮ่าวรวมไปถึงการตายของนักฆ่าที่ตัวเองส่งไป

และยังมีถ้อยคำกับสายตาของป๋ายฉีก่อนหน้านี้ที่แสดงให้เห็นชัดเจนถึงจิตสังหารที่มีต่อป๋ายฮ่าว ทั้งหมดนี้…ไม่จำเป็นต้องคิดใคร่ครวญให้มากมายนางก็ได้รับคำตอบที่ทำให้นางหน้ามืดตาลายจนได้แต่หวีดร้องเสียงแหลมดัง…

ป๋ายฉี…มีอันตราย!!!

“ไม่ นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง นี่ไม่ใช่เรื่องจริง ฉีเอ๋อร์รีบหนีเร็วเข้า!!” ดูเหมือนฮูหยินไช่จะลืมไปแล้วว่าเสียงของตัวเองไม่สามารถดังเข้าไปในพื้นที่บรรพชนได้ ยามนี้น้ำเสียงของนางเปลี่ยนมาเป็นรวดร้าวทั้งยังรีบพุ่งตัวไปหยุดอยู่ข้างกายสามีของนางอย่างไม่สนใจสิ่งใด ก่อนจะเอื้อมมือคว้าร่างประมุขตระกูลป๋ายแล้วเขย่าอย่างแรงราวกับคนเสียสติ

“ฉีเอ๋อร์คือบุตรกิเลนของตระกูลป๋ายเรา เขาจะตายไม่ได้นะ!”

ไม่จำเป็นต้องให้ฮูหยินไช่พูดมาก แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่นางเอื้อมมือมาจับร่างประมุขตระกูลป๋าย ประมุขตระกูลป๋าย บิดาแท้ๆ ของป๋ายฮ่าวผู้นี้ก็แหงนหน้าแผดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลถึงขีดสุด

ท่ามกลางเสียงคำรามนั้นแฝงเร้นไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดจากการที่ถูกหยามหน้า

“ป๋ายฮ่าว เจ้ามันสมควรตาย!!” ประมุขตระกูลป๋ายพลันสะบัดชายแขนเสื้อ สีหน้าของเขาบูดเบี้ยว เขาในเวลานี้ไม่ต่างจากเมื่อวาน ไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มใจไปกับการลุกผงาดโดดเด่นของป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่น้อย กลับกันคือยิ่งมากด้วยความโกรธแค้นไร้คำบรรยาย

“ทำไมเจ้าต้องมีพรสวรรค์เช่นนี้ ทำไมต้องมีตบะแบบนี้ ชะตาของเจ้าถูกกำหนดมาให้ต้องเชื่อฟัง ฐานะของเจ้ามันต่ำต้อย เจ้าคือลูกเมียน้อย เหตุใดเจ้าต้องต่อต้าน!!”

ประมุขตระกูลป๋ายราวกับคนบ้า

เขาเองก็เกิดความเป็นห่วงกังวลในตัวของป๋ายฉีอย่างรุนแรง บัดนี้เขาจึงเดินพรวดออกมาหนึ่งก้าวแล้วยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังประตูหินในทันใด

ท่ามกลางเสียงดังกัมปนาท ประตูหินนี้พลันสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดว่าประมุขตระกูลป๋ายผู้นี้คิดจะเปิดประตูใหญ่ของพื้นที่บรรพชนออกอย่างไม่สนใจสิ่งใด เพราะเขาหวังจะพุ่งเข้าด้านในเพื่อขัดขวางป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะเดียวกันก็คิดจะสังหารอีกฝ่ายด้วย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!