บทที่ 605 ฝ่ามือเงื้อมฟาดฉีสิ้นชีวา
เสียงของเขาที่ดังสะท้อนเขย่าคลอนนภากาศ ทำให้บนท้องฟ้าสีม่วงมีน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นเพราะความตกตะลึงในพลังอำนาจของป๋ายเสี่ยวฉุน น้ำวนลูกนี้หมุนคว้างครืนครั่นราวกับเจตจำนงแห่งฟ้ากำลังคำรามเดือดดาล
แม้แต่พื้นที่บรรพชนแห่งนี้ก็ยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนหลุดออกมาจากตัวภูเขา พวกคนตระกูลป๋ายที่อยู่บนภูเขาเองก็ราวกับสูญเสียความสามารถในการคิด หัวสมองขาวโพลน ได้แต่เงยหน้าอ้าปากกว้างมองภาพเหตุการณ์นี้ตาค้าง!
ในสายตาของพวกเขา นี่คือการเข่นฆ่ากันเองของพี่น้อง!!
คนหนึ่งคือบุตรกิเลนแห่งตระกูลป๋าย อีกคนคือลูกอนุภรรยาของตระกูลป๋าย คนหนึ่งเคยเป็นแสงแดดอันแก่กล้า ส่วนอีกคนเคยเป็นเพียงมดตัวหนึ่ง!
ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรกันอย่างสิ้นเชิง บุตรกิเลนกลายมาเป็นเพียงมดตัวหนึ่ง ส่วนบุตรอนุภรรยากลับกลายมาเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงเจิดจ้า!
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวเท้าออกมา ร่างของเขาก็เยื้องกรายมาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายฉีโดยตรง เรือนกายที่ไม่สูงของเขา บัดนี้คล้ายปกคลุมนภากาศสีม่วงไว้จนมิด ทำให้น้ำวนบนท้องฟ้าโคจรดังอึกทึก ขณะเดียวกันก็ยิ่งทำให้ดวงอาทิตย์สีแดงที่อยู่บนท้องฟ้าถูกช่วงชิงแสงแดดแรงกล้าจนกลายมาเป็นมืดสลัวดับแสง!
คนคนเดียวเข้ามาแทนที่ท้องฟ้า ช่วงชิงดวงสุริยา ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้สร้างความสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรงให้กับคนในตระกูลป๋ายทุกคนที่อยู่บนภูเขา ลูกหลานสายหลักก็ดี สายอ้อมก็ช่าง คนเหล่านี้ราวกับลืมไปแล้วว่าควรหายใจ สายฟ้าที่ผ่าลงมาในสมองของพวกเขาไม่เคยขาดหาย ถูกภาพเหตุการณ์เหล่านี้สะเทือนขวัญสั่นอารมณ์ถึงขีดสุด
ป๋ายเหลยที่ตัวสั่นระริกรู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิดออก คุณหนูห้าเองก็ตกตะลึงจนสายตาเลื่อนลอย เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกลายมาเป็นการดำรงอยู่ที่พวกเขาไม่มีทางลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต มันได้นาบประทับลงไปกลางใจของพวกเขาอย่างลึกล้ำ ลึกจนไม่มีใครมาเทียบเคียงได้อีกตลอดช่วงเวลาที่พวกเขามีชีวิตอยู่
“ป๋ายฮ่าว เจ้าอย่าบีบบังคับกันมากเกินไปนัก!!”
ป๋ายฉีตะโกนกร้าว ความสิ้นหวังในดวงตาของเขาเข้มข้นจนถึงขั้นมิอาจบรรยายได้ ร่างกายเขาสั่นราวตะแกรงร่อน เขาอยากจะต่อต้าน ทว่าพลังอำนาจและพลานุภาพสยบที่มาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นพายุหมุนที่ราวกับสามารถบดขยี้ได้ทุกสิ่งอย่าง เมื่ออยู่ภายใต้พายุหมุนนี้ เขาก็อ่อนแอจนแค่เผชิญหน้าตรงๆ ก็ยังมิอาจทำได้
ต่อให้เขาคือรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ ต่อให้…เขาคือบุตรกิเลนของตระกูลป๋าย ทว่าวินาทีนี้เมื่อเผชิญหน้ากับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังและหวาดกลัวดั่งคนที่ก้าวเท้าเหยียบเข้าไปในนรกภูมิ!
“หากเจ้าฆ่าข้า ตระกูลป๋ายก็จะไม่มีที่ให้เจ้าซุกหัวอยู่อีกต่อไป!”
“แล้วเจ้าก็หนีออกไปไม่ได้ ต่อให้หนีไปได้ ถึงแม้แดนทุรกันดารจะกว้างใหญ่ ทว่าเจ้าก็จะไม่มีโอกาสรอดชีวิตแม้แต่เสี้ยวเดียว!!” ป๋ายฉีถอยกรูดอย่างรวดเร็ว เสียงพูดแทบจะเป็นคำรามออกมา
“ป๋ายฮ่าว เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม มีเรื่องอะไรพวกเรามาคุยกันดีๆ ก็ได้ ข้า…ข้าคือพี่ชายของเจ้านะ!!” ความหวาดกลัวและวิกฤตความเป็นความตายที่ส่งมาจากจิตวิญญาณเช่นนี้ทำให้ป๋ายฉีรู้สึกราวกับจะเป็นบ้า เสียงของเขาที่ดังไปรอบด้านจึงเริ่มแหบโหยร้าวราน
“แล้วยังไงล่ะ!” ขณะที่เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งดังเกินฟ้าคำรณกึกก้องไปยันเก้าชั้นฟ้า มือขวาของเขาก็พลันยกขึ้น เมื่อมือขวาถูกยกขึ้น ท้องฟ้าสีม่วง ดวงอาทิตย์สีแดงฉานล้วนพากันบิดเบือน พลังอำนาจไร้พรรณนาระลอกหนึ่งระเบิดจากบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้งซึ่งครั้งนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้ามากมายหลายต่อหลายเท่า!
ตูมๆๆๆ!!
พื้นดินราวกับพลิกตลบ ส่งเสียงดังกัมปนาท ขณะเดียวกันก็ราวกับมีพลังงานระลอกหนึ่งแผ่ออกมาทำให้ฟ้าดินในพื้นที่บรรพชนแห่งนี้เหมือนถูกขยำขยี้เข้าด้วยกัน
และมือใหญ่ที่ขย้ำฟ้าดินแห่งนี้…ก็คือฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยกขึ้นอย่างเหี้ยมหาญ!
บัดนี้ทุกคนบนภูเขาต่างเหมือนคนหูหนวกตาบอด ดวงตาทั้งคู่ของพวกเขาไร้สติ ราวกับว่าจิตวิญญาณทั้งหมด จิตสำนึกทั้งหมดล้วนถูกมือที่ยกขึ้นข้างนั้นดูดดึงเอาไปจนไม่มีเหลือ!
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น บัดนี้นอกพื้นที่บรรพชน คนตระกูลป๋ายทุกคนที่อยู่รอบประตูหินก็เป็นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะฮูหยินไช่ที่กรีดร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง ในเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความร้อนรนไร้ที่สิ้นสุดซึ่งดังไปแปดทิศ
“ป๋ายฮ่าวหยุดนะ!!”
จิตวิญญาณของพวกผู้อาวุโสในตระกูลป๋ายต่างถูกเขย่าคลอน ลมหายของพวกเขาใจยุ่งเหยิง มองเรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนในภาพเหตุการณ์บนประตูหิน มองมือของเขาที่ยกขึ้น มองป๋ายฉีที่อยู่เบื้องหน้าเขาซึ่งมีสีหน้าซีดขาวรวมไปถึงปากที่ส่งเสียงร้องดิ้นรนแหบโหย
คนตระกูลป๋ายที่อยู่รอบด้านก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ตามบัดนี้ล้วนเกิดคลื่นลูกใหญ่โถมขึ้นมากลางใจ สายตาของพวกเขา สติปัญญาของพวกเขา จิตใจและความคิดทั้งหมดของพวกเขาล้วนมุ่งไปอยู่ในภาพบนประตูหิน ไปอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน!
“เขา…ยังใช่ป๋ายฮ่าวอยู่อีกหรือ…”
“ฝ่ามือนี้…ฝ่ามือนี้…”
“ป๋ายฮ่าว…จะก่อกบฎ!!”
ท่ามกลางความคลุ้มคลั่งเสียสติของประมุขตระกูลป๋าย เสียงเดือดดาล เสียงร้องคำรามของเขาก็ดังสะท้านฟ้าอยู่นอกพื้นที่บรรพชนเช่นกัน เขาโจมตีค่ายกลบนประตูหินราวกับคนบ้า อีกทั้งในดวงตาของเขาก็ยังมีน้ำตาหลั่งเป็นสายเลือด นั่นคือความร้อนใจ นั่นคือความรู้สึกที่ต้องมาเห็นลูกรักของตัวเองกำลังจะถูกปลิดชีพไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ตนมิอาจให้ความช่วยเหลือใดๆ ได้เลย
“ป๋ายฮ่าว ข้าจะถลกหนังเจ้าทั้งเป็น!” เสียงของประมุขตระกูลป๋ายถึงกับเปลี่ยนระดับเสียงไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่านาทีนี้เขาไม่ใช่ประมุขตระกูลอีกต่อไป แต่เป็นเพียงบิดาคนหนึ่ง
แต่เขากลับลืมไปว่า…เขาไม่ใช่บิดาของป๋ายฉีเท่านั้น
เขายังเป็น…บิดาของป๋ายฮ่าวด้วย!!
ขณะที่ตลอดทั้งตระกูลป๋ายกำลังวุ่นวายโกลาหล ใต้ดินของตระกูลป๋าย กลางตำหนักใต้ดินมีห้องลับอยู่ห้องหนึ่ง ในห้องลับนี้มีเทียนที่หนาเท่าแขนคนอยู่เก้าเล่มซึ่งกำลังมีเปลวไฟสีเขียวลุกไหม้
ตรงกลางของเทียนทั้งเก้าเล่มมีผู้เฒ่าแก่งั่กคนหนึ่งที่ราวกับเพิ่งคลานออกมาจากโลงศพนั่งทำสมาธิอยู่ ตลอดร่างของผู้เฒ่าคนนี้ราวกับมีเพียงหนังที่หุ้มกระดูก คล้ายว่ามีแค่หนังชั้นเดียวที่คลุมไปบนโครงกระดูกโครงหนึ่งเท่านั้น
เส้นผมของเขาเองก็มีไม่กี่มากน้อย เดิมทีกำลังหลับตา ทว่าบัดนี้ดวงตาทั้งคู่ของเขากลับเบิกโพลง นาทีที่ลืมตาขึ้น แสงเจิดจ้าราวแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ก็พลันระเบิดออกมาพร้อมกัน แสงนี้บีบคั้นกดดันมากพอจะทำให้คนที่ได้สบประสานลืมสิ้นทุกอย่างเกี่ยวกับชายชราผู้นี้ ในจิตวิญญาณหลงเหลือเพียงแค่ดวงตาทั้งคู่ของผู้เฒ่าเท่านั้น
เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตามองทะลุพื้นดินขึ้นไปยังประตูหิน มองเห็นป๋ายฉีและป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านในนั้น สายตาของเขาไม่ได้หยุดอยู่บนตัวของป๋ายฉีนานนัก เอาแต่มองมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้เดียว…
“พรสวรรค์เช่นนี้…ปราณเช่นนี้…เขาเหมาะจะเป็นร่างจุติใหม่ของข้ามากกว่าป๋ายฉีเสียอีก…” ปากของเขาพึมพำแผ่วเบา เสียงแหบพร่านั้นราวกับเสียงของกระดูกที่เสียดสีกัน เขามองความอึกทึกเกริกก้องในพื้นที่บรรพชน มองสถานการณ์ที่พลิกตาลปัตร มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ระเบิดพลังอำนาจเก้าชั้นฟ้าเก้าพื้นดินซึ่งราวกับจะบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง ทำให้โลกนี้ไร้แสง และเขากลายมาเป็นจุดรวมสายตาเดียวของคนนับหมื่น!
ฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยกขึ้นนั้นไม่ใหญ่ แต่กลับเหมือนสามารถลบเลือนโลก คว้าเดือนเด็ดดาว ทำลายล้างภูเขาบรรพชน พลิกตลบฟ้าดิน!
ในสายตาของป๋ายฉีซึ่งเขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือไม่ แต่เมื่อฝ่ามือนั้นยกขึ้นก็คล้ายกับว่าท้องฟ้าสีม่วงได้หายไปท่ามกลางความบิดเบือน ดวงอาทิตย์แดงฉานนั้นก็ราวกับถูกช่วงชิงแสงสว่างมาจนมืดดับเหมือนไม่ได้ดำรงอยู่ ฝ่ามือนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนได้เข้ามาแทนที่ปณิธานแห่งสวรรค์ กลายมาเป็นเพียงหนึ่งเดียวในพื้นที่บรรพชนแห่งนี้! ทั้งยังกลายมาเป็นทุกสิ่งอย่างในดวงตาทั้งคู่ของป๋ายฉี กลายมาเป็นความตายในชีวิตของเขา!
“ป๋ายฮ่าว เจ้าคิดจะก่อกบฏหรือไร!!” ดวงตาของป๋ายฉีเหลือกถลน บัดนี้เลือดทุกหยดในร่างล้วนไม่สามารถไหลรินได้ตามปกติ
เขารู้ดีว่าพ่อแม่ของเขาที่อยู่ข้างนอกต้องพยายามอย่างเต็มกำลังเพื่อทำลายค่ายกลมาช่วยตนแน่นอน
เขาเข้าใจดีว่าคนในตระกูลหลายร้อยคนบนภูเขาลูกนี้กำลังมองตนอยู่…
ทว่า…สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่มีประโยชน์ใดๆ ในใจของเขาบังเกิดความหวาดกลัวประหนึ่งว่าถึงแม้โลกใบนี้จะกว้างใหญ่ ถึงแม้ฟ้าดินจะกว้างขวาง แต่กลับไม่มีใครช่วยเขาได้แม้แต่คนเดียว
แทบจะขณะเดียวกันกับที่คำพูดของป๋ายฉีดังออกมา เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังขึ้นกลบทับทุกอย่าง ก่อกลายมาเป็นคลื่นเสียงที่ระเบิดทำลายความว่างเปล่าซัดสาดออกไปเป็นทอดๆ!
“ก่อกบฏแล้วอย่างไร!”
เสียงนั้นดังก้อง ขณะเดียวกันในความรู้สึกของป๋ายฉี มือขวาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยกขึ้นก็ราวกับกลายมาเป็นหลุมดำที่ดูดเอาทุกอย่างไปไม่ว่าจะเป็นสายตาของทุกคน แสงสว่างทั้งหมด พลานุภาพทุกอย่าง ทุกการดำรงอยู่ล้วนถูกเขมือบกลืนเข้าไปด้านใน เสมือนพื้นที่บรรพชนได้หายวับไป ตลอดทั้งโลกเหลือแค่เพียงฝ่ามือของเขาเท่านั้น!
หนึ่งฝ่ามือ…ฟาดตบลงมา!!
“ไม่!!!” เสียงของป๋ายฉีเปลี่ยนระดับ คำรามแหบแห้งราวกับคนเสียสติ เขาไม่อยากตายอยู่ที่นี่ ทั้งไม่ยินดีตายด้วยน้ำมือของป๋ายฮ่าว เขาคิดจะดิ้นรน ภายใต้เสียงแผดคำรามแหบโหย ภายใต้ความบ้าคลั่งสิ้นสติ ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ ผมทั้งศีรษะยุ่งเหยิง วิปลาสถึงขีดสุด ตบะทั้งร่างที่ถูกดึงเอามาใช้ล่วงหน้าก็ยิ่งระเบิดออกมาอย่างบ้าระห่ำ เขารวบรวมตบะทั้งหมดที่มี รวบรวมพลังแฝงของตัวเองถึงสิบสองส่วน รวบรวมพละกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิตของเขาให้ปะทุออกมา ขณะที่ทำมุทรา พลังดวงวิญญาณของเขาก็เกิดคลื่นกระเพื่อมไหวพร้อมเสียงกัมปนาท
ท่ามกลางคลื่นซัดสาดนี้ มือทั้งคู่ของเขายกขึ้นเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ทุ่มเทสุดชีวิต ทุ่มทุกอย่างที่ตัวเองมี หมายจะต้านทานให้ได้!
ทว่าการต้านทานนี้กลับเหมือนตั๊กแตนที่ขวางอยู่หน้ารถ เล็กกระจ้อยร้อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง เพราะเมื่อเทียบกับแล้ว ฝ่ามือนั้นกลับเหมือนดึงเอาพลังทั้งหมดของฟ้าดินมาทำลายบดขยี้ทุกสรรพสิ่งให้พินาศวอดวาย!
ขณะที่เสียงสะเทือนเลือนลั่นดังกระหึ่ม
ฝ่ามือนั้นก็ร่วงลงมาบนหัวของป๋ายฉีอย่างจัง ทุกการต้านทานพังทลายจนหมด ทุกวิชาอภินิหารแหลกสลายไม่มีเหลือ เสียงกระดูกลั่นเปรี๊ยะๆ เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ทุกอย่างนี้ล้วนถูกกลบทับอยู่ในพายุหมุนที่พัดขึ้นเพราะฝ่ามือนั้น!