บทที่ 619 โองการราชาสวรรค์
วินาทีที่เขาหน้าเปลี่ยนสี กรงเล็บขนาดยักษ์ของสัตว์แห่งชะตาชีวิตในเขตแดนธาราที่พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าก็พุ่งกรากเข้ามาด้วยลักษณะพลังราวกับพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร ยอดเขาโค้งงอทั้งห้าพกพาเอาพลังอำนาจในการดับทำลายทุกสรรพสิ่งให้พุ่งชนเข้าใส่น้ำวน!
ทันใดนั้นทั้งสองฝ่ายก็ปะทะเข้าด้วยกัน เสียงกัมปนาทพลันดังสะท้านฟ้า เขย่าคลอนพื้นดินแปดทิศ ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมและเมฆม้วนตลบ ทั้งยังพัดพาให้เกิดแรงโจมตีรุนแรงที่ซัดทอดไปสี่ทิศพร้อมเสียงอึกทึกกึกก้อง
เพียงแต่ว่าอย่างไรซะนั่นก็คือพลังคนฟ้า แม้เขตแดนธาราของป๋ายเสี่ยวฉุนจะทรงพลัง ทว่าการร่ายใช้ด้วยตบะของเขาในเวลานี้ยังไม่มากพอ เมื่อกรงเล็บสัตว์ตวัดลง เมื่อเสียงตูมตามดังก้อง กรงเล็บสัตว์ก็พลันพร่าเลือน และไม่นานแม้แต่เขตแดนธาราก็ยังหายวับไปด้วย
มีเพียงเสียงร้องคำรามด้วยความไม่ยินยอมเท่านั้นที่ยังคงดังสะท้อน…แต่ก็แค่เสียงร้องที่ไม่มีประโยชน์อันใด น้ำวนที่เกิดจากวิชาอภินิหารของบุรพาจารย์คนฟ้า ยามนี้ก็มีเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ดังออกมา ทั้งยังเกิดรอยปริร้าวขนาดใหญ่ยักษ์ห้ารอย รอยแตกนี้ขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ และพริบตาเดียวแรงดึงดูดก็เริ่มปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานน้ำวนนี้ก็มีเสียงปังดังออกมา ปรากฏลางว่าจะแตกทลาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดขาวเล็กน้อย กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ร่างจำแลงทั้งหมดของเขาก็กระอักเลือดเช่นเดียวกัน หลังจากที่รีบเข้ามาผสานรวมกับร่างจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ร่างของเขาก็ถอยกรูด เมื่อเงยหน้าขึ้นสายตาของเขาก็จ้องเขม็งไปยังบุรพาจารย์คนฟ้าที่ตอนนี้มีสีหน้าเหลือเชื่อ ก่อนที่มือขวาของเขาจะหยิบเอา…สถูปวิญญาณผลึกใสออกมารอไว้
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความบ้าคลั่ง ลมหายใจของเขาไม่มั่นคง ร่างสั่นเทาน้อยๆ เพียงแต่เวลานี้เขาจะมามัวตื่นตระหนกไม่ได้ มือของเขากำสถูปวิญญาณผลึกใสเอาไว้แน่น ผสานรวมพลังจิตไปด้านใน เพียงแค่ความคิดบังเกิด ตราผนึกเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ในสถูปวิญญาณก็จะเปิดออกทำให้พลังวิญญาณครึ่งเทพที่อยู่ด้านในระเบิดปะทุ
“ตาแก่ เจ้าอย่าบีบบังคับกันให้มากนัก!!” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายความคลุ้มคลั่งพร้อมสู้สุดชีวิต เขาไม่รู้ว่าเศษวิญญาณครึ่งเทพที่อยู่ในสถูปวิญญาณนี้จะสามารถกำจัดตาเฒ่านี่ได้หรือไม่ แต่หากทำได้จริงๆ ก็ไม่แน่ว่าตนอาจจะได้วิญญาณคนฟ้ามาอีกดวงก็เป็นได้
ทว่าความคิดนี้เพิ่งจะบังเกิดขึ้นเขาก็ส่ายหัวให้กับตัวเอง เขาไม่รู้วิธีการเก็บวิญญาณ โดยเฉพาะวิญญาณคนฟ้าหลังตายไปเขาก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะเก็บเอามาเช่นไร วิธีการแบบนี้เกรงว่าคงมีแต่พวกครึ่งเทพเท่านั้นถึงจะทำได้
และความเป็นไปได้มากกว่านั้นคือไม่สามารถสังหารบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายนี่ได้ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มั่นใจว่าต่อให้ไม่สามารถปลิดชีพคนผู้นี้ก็ต้องสามารถทำให้บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งอาการบาดเจ็บนี้ยังมิอาจฟื้นตัวกลับมาในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งยังทำให้ขั้วอำนาจในนครผียักษ์ถูกทำลายสมดุลเดิมที่มีอยู่!
บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายหรี่ตาทั้งคู่ลง มองสถูปวิญญาณที่อยู่ในมือป๋ายเสี่ยวฉุน เขาสัมผัสไม่ได้ถึงวิกฤตอันตรายใดๆ แม้แต่เสี้ยวเดียว จากนั้นจึงย้ายสายตามาอยู่บนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน ในดวงตาทั้งคู่ของเขาฉายประกายแปลกประหลาด
“ข้าคงดูถูกเจ้าเกินไปสินะ…เจ้าดีมาก ดีมากๆ …แม้ว่าข้าผู้อาวุโสจะไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ เจ้าถึงได้โดดเด่นขึ้นมาขนาดนี้ ทว่าข้าสัมผัสได้ว่าสายเลือดในร่างเจ้าเป็นของคนตระกูลป๋ายจริงๆ เมื่อเป็นแบบนี้…ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่” บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายหัวเราะเบาๆ ยกเท้าขวาขึ้นและกำลังจะก้าวออกมา
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองออกถึงการตัดสินใจของบุรพาจารย์คนฟ้า เขาจึงตะโกนเสียงดัง และกำลังจะบีบสถูปวิญญาณในมือให้แตกละเอียด
ทว่าเวลานี้เอง…ทันใดนั้นบนท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกลก็พลันมีเสียงคำรามต่ำๆ ดังขึ้น เสียงคำรามนี้เพิ่งจะปรากฏ แต่หากเงี่ยหูตั้งใจฟังก็เหมือนกำลังพุ่งจากจุดที่ห่างออกไปไกลเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ทำให้เสียงคำรามนี้ยิ่งดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมีคนกำลังบินทะยานเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
“พี่ป๋ายโปรดหยุดก่อน ตัวข้าได้รับคำสั่งจากราชาผียักษ์ให้มาพาตัวป๋ายฮ่าวไปเข้าเฝ้า!”
แทบจะวินาทีเดียวกันกับที่เสียงคำรามนี้ดังลอยมา บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายก็หน้าเปลี่ยนสีทันใด ลมหายใจของเขาถี่รัว นัยน์ตาเผยแววดิ้นรน แต่สุดท้ายก็ระเบิดความเร็ว เดินออกมาหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็เผยกายอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วยกมือขวาเอื้อมจับไปที่ตัวเขา
ทว่าความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน แทบจะขณะเดียวกันกับที่บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายเหยียบลงมา เขาก็ร่ายใช้ความเร็วสูงสุดถอยหลังกรูดหลบออกไปในเสี้ยววินาที และเมื่อขบคิดเขาจึงไม่ได้บีบสถูปวิญญาณให้แตกออกทันที แต่เผยร่างจำแลงทั้งสี่มาอยู่เบื้องหน้าให้ช่วยกันสกัดกั้นเต็มกำลังอีกครั้ง
เสียงกัมปนาทสะฟ้าดินดังขึ้นอีกครา ร่างจำแลงทั้งสี่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพากันกระอักเลือด แทบจะแหลกสลาย ทำได้เพียงแปลงมาเป็นแสงสีขาวย้อนกลับเข้าไปในร่างจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังเดิม แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ช่วยช่วงชิงเวลาเสี้ยวหนึ่งให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถร่ายใช้ผนึกมิวางวายได้อีกครั้ง
แทบจะเวลาเดียวกันกับที่ฝ่ามือของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายตบลงมา ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สลายออกจากกัน นัยน์ตาของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายเปล่งแสงเย็นเยียบ เงยหน้าขึ้นมองความว่างเปล่าที่ห่างออกไปไม่ไกล
“จงออกมา!”
ประโยคเดียวเข้ามาแทนที่ปณิธานแห่งสวรรค์ ท่ามกลางพลานุภาพสยบนี้ พื้นที่ความว่างเปล่าตรงจุดที่เขามองไปร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกบีบให้เผยตัว เพิ่งจะปรากฏตัวมุมปากของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเลือดสดไหลซึม บัดนี้เส้นผมของเขายุ่งเหยิงพันกันไปหมด และความว่างเปล่ารอบกายของเขาก็ราวกับกำลังพังทลาย เสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นประหนึ่งฟ้าดินอัดตัวเข้าหากัน เมื่อเห็นว่าความว่างเปล่ากำลังยุบถล่ม นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับโชนแสงลุกเรือง
เพราะวินาทีที่เขาเผยกายนั้นมีเส้นสีทองเส้นหนึ่งแหวกอากาศมาจากทิศไกล พอขยับเข้ามาใกล้ก็ราวกับหายตัวได้ พริบตาเดียวก็ลอดทะลุฟ้าดินที่บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายเข้ามาแทนที่ เสียงสวบดังหนึ่งครั้งก็มาโผล่อยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง
นั่นคือเครื่องประดับหยกชิ้นหนึ่งที่ส่องแสงสีทอง!!
บนแผ่นหยกนี้สลักผียักษ์ที่บนศีรษะมีเขาสองข้างกำลังแหงนหน้าแผดเสียงคำราม พอหยกนี้ปรากฏก็ทำให้ความว่างเปล่าที่กำลังพังทลายหยุดค้างในบัดดล
สีหน้าของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายมืดทะมึน ขณะเดียวกันข้างแผ่นหยกเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินออกมาจากความว่างเปล่าที่บิดเบือน
ผู้เฒ่าคนนี้สวมชุดคลุมยาวสีดำ หลังจากเดินออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์แล้ว คลื่นตบะที่ไม่ด้อยไปกว่าบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายก็ระเบิดออกมาอย่างแกร่งกล้า
ตลอดทั้งร่างของผู้เฒ่าคนนี้เย็นเยียบ แผ่ไอความเย็นอึมครึมออกมาเป็นระลอก เขายืนอยู่ตรงนั้น ความว่างเปล่าสี่ทิศบิดเบือน ฟ้าดินแห่งนี้ก็ราวกับมีอำนาจจิตที่น่าครั่นคร้ามสองระลอกกำลังปะทะกันผ่านอากาศ ทำให้ท้องฟ้ามีเสียงฟ้าร้องลั่นครืนๆ และยังมีสายฟ้าหลายเส้นแลบปลาบตัดสลับกันไปมา
แม้แต่พื้นดินก็ยังสั่นไหว
มองแผ่นหยก มองผู้เฒ่าที่ปรากฏตัว หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง ก่อนหน้านี้เขาก็คิดไว้แล้วว่าหลังจากเกิดเรื่องในตระกูลป๋าย ตระกูลหรือไม่ก็ขั้วอิทธิพลอื่นๆ อาจอาศัยโอกาสครั้งนี้ลงมือกระทำการบางอย่าง
เพียงแต่รอมานานก็ยังไม่เห็นใครลงมือ จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็เหมือนว่าตนจะได้เห็นแล้ว แถมจากคำพูดของผู้เฒ่าชุดดำที่ดังแว่วมาแต่ไกลเมื่อครู่นี้ก็ชัดเจนว่าเขาพูดถึง…ราชาผียักษ์!
ป๋ายเสี่ยวฉุนหรี่ตาลง ในใจกระวนกระวายเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะกำสถูปวิญญาณอย่างแรง เตรียมพร้อมว่าหากท่าไม่ดีจะระเบิดวิญญาณครึ่งเทพทันที
“อู๋ฉาง นี่คือเรื่องในตระกูลป๋ายของข้า เจ้าทำอย่างนี้หมายความว่าไง!” บุรพาจารย์คนฟ้ามองผู้เฒ่าชุดดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้ามืดทะมึน น้ำเสียงก็เย็นเยียบ
“เมื่ออยู่ใต้บังคับบัญชาของราชาสวรรค์ ไม่มีคำว่าเรื่องในตระกูล” ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยเสียงเรียบ นัยน์ตาก็มีแสงเย็นเยียบวาบผ่านเช่นกัน เขาเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวพร้อมพลังอำนาจทั่วร่างที่ระเบิดออก กลายมาเป็นพายุลูกหนึ่งที่หมุนคว้างพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
“ป๋ายจื่อซาน เจ้าจะต่อต้านโองการแห่งราชาสวรรค์อย่างนั้นรึ?”
บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายเงียบงัน มองผู้เฒ่าชุดดำอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าที่ยิ่งมืดคล้ำ ก่อนที่มือขวาจะยกขึ้นคว้าจับกลางอากาศ ทันใดนั้นร่างของประมุขตระกูลป๋ายที่อยู่ห่างไปไกลก็หายวับไป มาปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในมือของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายแล้ว
“ในเมื่อหวังเหย่ (หวังเหย่ ชื่อเรียกแทนท่านอ๋อง/ราชา ในที่นี้หมายถึงราชาผียักษ์) ต้องการตัวเจ้าคนทรยศผู้นี้ ข้าผู้อาวุโสย่อมไม่ต่อต้านคำสั่งอยู่แล้ว”
บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายกัดฟันอยู่ในใจ ก้มหน้าลงช้าๆ หลังจากคารวะไปยังแผ่นหยกนั้นหนึ่งครั้งก็หันมามองผู้เฒ่าชุดดำ
“แต่ว่าเรื่องนี้ข้าผู้อาวุโสต้องไปพบหวังเหย่เพื่อถามให้รู้ชัด!” เขาเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่คิดจะเหลือบแลป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่หางตา หมุนกายได้ก็เดินออกไปหนึ่งก้าว พอมาปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้า ขยับร่างหนึ่งครั้งก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเขาจากไป ฟ้าดินแห่งนี้ถึงได้สงบลง เสียงฟ้าร้องหายไป สายฟ้าจางหาย หลังจากทุกอย่างกลับคืนมาเป็นปกติแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ผ่อนลมหายใจอยู่ในใจ ทว่ามือที่กำสถูปวิญญาณเอาไว้กลับยังไม่คลายออก แต่มองไปยังผู้เฒ่าชุดดำที่อยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทางระแวดระวัง
ผู้เฒ่าชุดดำมองไกลๆ ไปยังทิศทางที่บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายหายไป เนิ่นนานถึงได้หมุนกายช้าๆ หันกลับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาที่วาววับราวสายฟ้า
ผู้เฒ่าคนนี้รูปร่างผอมแห้ง จมูกงองุ้มเหมือนจมูกเหยี่ยว ทำให้ใบหน้าของเขายิ่งมองดูน่าสะพรึงกลัว สายตาของเขาก็ยิ่งแฝงเร้นไว้ด้วยปณิธานคมกริบที่ราวกับต้องการมองความคิดทั้งในและนอกร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนให้ทะลุปรุโปร่ง
“ตามข้ามาเถอะ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ชีวิตของเจ้าไม่ใช่ของเจ้าอีกต่อไป แต่เป็นของหวังเหย่” ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยเนิบนาบ ส่วนเรื่องวิญญาณคนฟ้า ผู้เฒ่าคนนี้ไม่แม้แต่จะเอ่ยถึง เพราะของสิ่งนั้นเป็นของตระกูลป๋าย เขาไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้องให้ลึกซึ้งเกินไปนัก