Skip to content

A Will Eternal 631

บทที่ 631 เผด็จการเกินไปแล้ว

“และข้าก็ยังไม่เคยไปเดินเล่นดีๆ ในนครผียักษ์นี่เลย…”

คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขยับร่างกลายเป็นรุ้งยาวบินออกไป เขาถือป้ายตัวตนของผู้คุมบินออกจากคุกมารผ่านดวงตาข้างซ้ายของเต่าหิน เมื่อแสงสว่างบนป้ายตัวตนแผ่ออกมา น้ำสีดำรอบด้านก็ถูกแบ่งแยกไว้ให้ห่างจากกาย

ป๋ายเสี่ยวฉุนห้อตะบึงขึ้นข้างบน ไม่นานก็โผล่พ้นผิวน้ำ บัดนี้เป็นยามเที่ยงวัน ตลอดทั้งนครผียักษ์จึงคึกคักอย่างมาก นอกแม่น้ำพิทักษ์เมืองก็มีคนสัญจรไปมาไม่น้อย

ผิวน้ำที่กระเพื่อมไหวเสียงดังเรียกความสนใจจากผู้ฝึกวิญญาณได้หลายคน พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนบินออกมาจากน้ำทุกคนก็อึ้งงัน แต่ไม่นานก็ตระหนักได้ถึงตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะอย่างไรซะคนที่จะปรากฏตัวจากในแม่น้ำพิทักษ์เมืองนี้ได้ก็มีแต่คนของคุกมารเท่านั้น!

“เป็นคนของคุกมาร…”

“คุกมาร…”

สำหรับผู้ฝึกวิญญาณส่วนใหญ่ในนครผียักษ์แล้ว คุกมารคือสถานที่ที่น่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ตอนนี้ทุกคนจึงรีบปิดปากฉับแล้วย้ายสายตาไปมองที่อื่น

อีกทั้งเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนบินออกมาจากในแม่น้ำพิทักษ์เมืองแล้วทะยานตัวไปไกลกลางอากาศ สายตาของกลุ่มทหารลาดตระเวนก็กวาดมามองป๋ายเสี่ยวฉุนทันทีทันใด แต่พอมองตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนออกก็ไม่กล้ามีเรื่องกับคนคุกมาร ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วจากไป

“คนของคุกมารมีฐานะขนาดนี้เชียว” ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งตะลึงทั้งตกใจ ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับคุกมาร ทว่าพอวันนี้ได้กลายมาเป็นผู้คุมนักโทษ มีประสบการณ์กับตัวเองจึงยิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนมากกว่าเดิม

“หากดูกันตามนี้ เป็นผู้คุมก็ไม่เลวเหมือนกันนี่นา” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เดินอยู่บนถนนของนครผียักษ์ ส่งข้อความเสียงให้โจวอีซิงมาหาตนพลางมองประเมินรอบด้านตามหาร้านขายวิญญาณพยาบาทไปด้วย

โจวอีซิงเองก็อยู่ในนครผียักษ์เหมือนกัน

เพียงแต่ว่าค่อนข้างจะอยู่ไกลจากป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งนครผียักษ์แห่งนี้ก็ห้ามการบิน ตอนนี้จึงกำลังเร่งเดินทางมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเดินเล่นรออีกฝ่าย แล้วก็ได้เห็นร้านขายวิญญาณพยาบาทอยู่หลายร้าน ร้านเหล่านี้มีเล็กมีใหญ่ ร้านใหญ่ๆ หรูหราอย่างมาก ส่วนร้านขนาดเล็กก็ประณีตงดงาม เพียงแต่ว่าพอป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปถามก็ต้องค้นพบด้วยความกลัดกลุ้มว่าวิญญาณในร้านพวกนี้ขาดแคลนอย่างมาก แม้จะเปิดร้าน ทว่าส่วนใหญ่แค่รับซื้อแต่ไม่ขาย

เดินผ่านเจ็ดแปดร้านล้วนเป็นเหมือนกันหมด นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“เกิดอะไรขึ้น ร้านพวกนี้ขายวิญญาณพยาบาทแต่ทำไมถึงไม่มีวิญญาณขาย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มร้อนใจ เขาออกมาข้างนอกก็เพื่อหาซื้อวิญญาณ ดังนั้นจึงเดินไปยังถนนอีกเส้นหนึ่ง

หลังจากที่เข้าร้านไปอีกเจ็ดแปดร้านก็ยังไม่มีวิญญาณให้หาซื้อ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตกตะลึงก็เริ่มกระวนกระวายใจ รีบคว้าตัวลูกจ้างในร้านแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่เอาไว้แล้วเอ่ยถาม

“ทำไมถึงไม่มีวิญญาณเลย…นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“ใครจะไปรู้ว่าเรื่องอะไร วิญญาณหมดแล้ว เจ้ามาจับข้าไว้ทำไม หรือคิดจะหลอมข้าให้กลายเป็นวิญญาณ?” ลูกจ้างร้านคนนั้นถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

เขาอยู่ในนครผียักษ์มานานหลายปีจึงฝึกฝนการใช้สายตาที่ตัวเองคิดว่าเป็นดวงตาทิพย์มาไว้นานแล้ว ปกติแค่กวาดตามองก็วิเคราะห์ตัวตนของลูกค้าได้เลย ยามนี้เมื่อมองป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งยังได้ยินคำถามของอีกฝ่ายก็เข้าใจทันทีว่านี่คือคนต่างถิ่น

สำหรับคนต่างถิ่นเช่นนี้เขาย่อมไม่คิดจะสนใจใยดีจึงถลึงตาดุดันและกำลังจะตวาดด่าต่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายจึงเดือดขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เขาเองก็ถลึงตากลับไป เมื่อคิดว่าขนาดทหารลาดตระเวนที่พอเห็นตนบินออกมาจากแม่น้ำพิทักษ์เมืองยังหยุดชะงักไปครู่ ก่อนจะมีท่าทียอมลงให้ ดังนั้นจึงควักเอาป้ายตัวตนของผู้คุมคุกมารออกมาทันที

“แน่จริงเจ้าก็พูดอีกครั้งสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนควักป้ายกระแทกไปตรงหน้าให้ลูกจ้างร้านได้เห็นจะๆ พร้อมตวาดเดือดดาล

ลูกจ้างร้านคนนี้เดิมทีก็หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่าพอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาป้ายของคุกมารออกมาแถมแทบจะแนบติดหน้าตัวเองอยู่ร่อมร่อ พอมองอย่างละเอียดเขาก็สูดลมเย็นๆ เฮือกใหญ่ ก่อนจะสั่นเทิ้มไปทั้งร่างแล้วรีบส่งยิ้มประจบไปให้ทันที

“ไต้เท้าโปรดอภัย ตลอดทั้งนครผียักษ์ในเวลานี้เกรงว่าคงมีไม่กี่ร้านที่ยังมีวิญญาณเหลือ ส่วนใหญ่ล้วนถูกซื้อไปหมดแล้ว…” ลูกจ้างคนนี้อยู่ในนครผียักษ์มานาน รู้ดีว่าคนแบบไหนที่ตนล่วงเกินไม่ได้ และหนึ่งในขอบเขตของคนที่มิอาจล่วงเกินก็คือผู้คุมคุกมาร

เพราะล้วนเล่าลือกันว่าคุกมารคือสถานที่ที่ทำให้ทั้งผีทั้งเจ้าตัวสั่น ว่ากันว่าผู้คุมที่อยู่ในคุกมารต่างก็อำมหิตดุร้าย โดยเฉพาะมือลงแส้ที่ยิ่งมีวิธีการทารุณเหี้ยมโหด

“ขายไปหมดแล้ว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์เย็นลง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเป็นปม

“ใช่แล้ว หลายปีมานี้สามตระกูลใหญ่ล้วนกว้านซื้อวิญญาณไปหมด ว่ากันว่าจะเตรียมไว้ให้ผู้สืบทอดแม่น้ำอเวจี…หากไต้เท้ารีบใช้ ในร้านของข้ายังพอมีเหลืออยู่บ้าง แต่จำนวนไม่มากนัก” ลูกจ้างร้านไม่ยินดีมีเรื่องกับคนคุกมารจึงละล่ำละลักเอ่ยปาก พอนึกถึงคำพูดของตนก่อนหน้านี้ที่ลามปามอีกฝ่าย ในใจเขาก็ร้องทุกข์ รีบกุมมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะถอยหลังเข้าไปข้างในเตรียมเอาวิญญาณที่เหลืออยู่ในร้านออกมามอบให้แล้วไล่คนของคุกมารไปให้พ้นเร็วๆ

“เผด็จการเกินไปแล้ว เพื่อผู้สืบทอดจักรพรรดิหมิงอะไรนั่นถึงกับกว้านซื้อวิญญาณไปหมด” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลุ้มใจ เขาคิดไม่ถึงว่าผู้สืบทอดจักรพรรดิหมิงที่เดิมทีเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับตน มาวันนี้กลับส่งผลกระทบแก่เขาเสียได้

พอนึกว่าต่อไปการหลอมไฟของตัวเองยังจำเป็นต้องใช้วิญญาณปริมาณมาก ทว่าหากไม่สามารถหาซื้อในนครผียักษ์ได้ ถ้าเช่นนั้นการหลอมไฟของตนในวันหน้าย่อมต้องลำบากมากอย่างแน่นอน

“แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้ สามตระกูลใหญ่นี่ทำเกินไปแล้ว ตอนที่ข้าอยู่ตระกูลป๋ายน่าจะกวาดเอามาให้มากหน่อย”

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่โจวอีซิง ครุ่นคิดว่าจากส่วนที่ตนฮุบเอามา โจวอีซิงก็น่าจะได้ผลเก็บเกี่ยวมาไม่น้อย อีกอย่างในบรรดานักโทษเก่าแก่นับร้อยคนนั้นก็มีบางส่วนที่เป็นอาจารย์หลอมวิญญาณ ทรัพย์สินจึงเป็นวิญญาณเสียส่วนใหญ่

และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังขบคิดอยู่นั้น ลูกจ้างก็เดินออกมาจากด้านหลังร้าน ในมือถือสถูปวิญญาณหลังหนึ่งเดินเร็วๆ มาหาป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยหน้าตายิ้มแย้มนอบน้อม

“ไต้เท้า ด้านในนี้มีวิญญาณอยู่หนึ่งแสนดวง มีแค่นี้แล้วล่ะ เหลืออยู่ไม่มากจริงๆ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดพลังจิตมองหนึ่งที ถึงแม้วิญญาณพวกนี้จะอยู่ห่างจากความต้องการของเขาอีกไกล แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลยแม้แต่ดวงเดียว ดังนั้นจึงพยักหน้ารับอย่างจำยอม ขณะที่กำลังจะซื้อ ทว่าทันใดนั้นนอกร้านก็มีเสียงเกียจคร้านเสียงหนึ่งดังลอยมา

“วิญญาณพวกนี้เป็นของข้าผู้เป็นคุณชายแล้ว” ตามหลังน้ำเสียงที่ดังกังวานก็มีชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในร้าน สองคนนี้ต่างสวมอาภรณ์หรูหราคล้ายถักทอมาจากเส้นไหมวิเศษบางอย่างจึงทำให้มีประกายแสงแวววาว เมื่อมองอย่างละเอียดจึงเห็นได้ว่าผ่านการหลอมพลังจิตมามากถึงเจ็ดครั้ง

ต้องรู้ว่าถึงแม้ในแดนทุรกันดารจะมีการหลอมพลังจิตกันอย่างแพร่หลาย แต่อันที่จริงแล้วอัตราการประสบความสำเร็จก็ไม่ต่างไปจากโลกทงเทียน ยิ่งจำนวนครั้งที่หลอมเพิ่มมากเท่าไหร่ อัตราความล้มเหลวก็ยิ่งมีมากตามไปด้วย

และหากล้มเหลว วัตถุชิ้นนั้นก็จะพังทลาย สามารถพูดได้ว่าวัตถุชิ้นใดก็ตามที่ผ่านการหลอมพลังจิตหลายครั้งหากไม่มีโชคดีแบบสยบสวรรค์แล้วล่ะก็ เมื่อล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าย่อมเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างมหาศาล

คนทั้งสองนี้มีตบะสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบทว่ากลับสามารถสวมใส่อาภรณ์เช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา อีกทั้งด้านหลังของพวกเขายังมีผู้ฝึกวิญญาณติดตามมาอีกเจ็ดแปดคน เจ็ดแปดคนนี้ส่วนใหญ่ก็คือสร้างฐานราก ทว่ามีผู้ฝึกวิญญาณสองคนในนั้นที่ดวงตาคมกริบ มีตบะรวมโอสถ!

ทั้งยังมองดูเหมือนจะเป็นผู้รับใช้ นี่จึงยิ่งทำให้ชายหนุ่มสองคนนั้นโดดเด่น และเห็นได้ชัดว่าร่ำรวยอย่างมาก

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตาลายไปกับอาภรณ์ของคนทั้งสองเหมือนกัน ทว่าอยู่ๆ ข้างกายก็มีเสียงสูดลมหายใจ “เฮือกๆ” ดังลอยมา

เขาผินหน้ากลับไปมองก็เห็นเพียงว่าลูกจ้างร้านคนนั้นเปลี่ยนสีหน้ามามีรอยยิ้มที่กระตือรือร้นอ่อนน้อมยิ่งกว่าตอนที่ปฏิบัติกับป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อครู่นี้มากนัก ทั้งยังรีบวิ่งเข้าหาคนทั้งสองอย่างรวดเร็ว

“ข้าน้อยคารวะคุณชายเฉิน คุณชายไช่”

“วิญญาณพวกนี้ข้าผู้แซ่ไช่เอาแล้ว” ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงเรียบ พอเข้ามาก็ไม่แม้แต่จะชายตามองป๋ายเสี่ยวฉุน น้ำเสียงที่ใช้แม้จะเรียบรื่น ทว่าสีหน้ามีความเย่อหยิ่งจองหองเด่นชัด กล่าวจบด้านหลังของเขาก็มีคนรับใช้ผู้หนึ่งเดินขึ้นหน้าหยิบถุงเก็บของออกมาด้วยท่าทางโอหัง เตรียมจะเก็บเอาสถูปวิญญาณนี้กลับไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นมาถึงตรงนี้ก็ยอมไม่ได้ทันที

“ช้าก่อน วิญญาณพวกนี้ข้าซื้อก่อนแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขุ่นเคืองเล็กน้อย

ชายหนุ่มสองคนนั้นถึงได้หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา แม้จะมองออกว่าตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนคือรวมโอสถ ทว่ากลับไม่แยแส เห็นได้ชัดว่าจำไม่ได้ว่านี่คือป๋ายฮ่าวแห่งตระกูลป๋าย

“ยาวิญญาณสองเท่า” คุณชายไช่ผู้นั้นเอ่ยเสียงเฉยชา พูดจบก็ไม่ได้สนใจตรงนี้อีก แต่เดินพูดคุยแย้มยิ้มออกไปนอกร้านพร้อมกับคุณชายเฉิน ราวกับว่าสำหรับเขาแล้วนี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งเท่านั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความรู้สึกเหมือนโดนหยามเกียรติ ยิ่งเห็นว่าลูกจ้างร้านที่อยู่ข้างๆ แอบเหลือบมองตนด้วยสีหน้ารอดูเรื่องสนุก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าพวกเขารังแกกันมากเกินไป ทนไม่ได้จริงๆ ดังนั้นจึงก้าวเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวแล้วตะโกนดังลั่น

“ข้าให้สามเท่า!”

“สิบเท่า!” นอกร้าน คนตระกูลไช่ผู้นั้นเอ่ยขึ้นอย่างใจป้ำโดยไม่เหลียวหลัง คำพูดนี้ดังจบความใจใหญ่ร่ำรวยของเขาก็ยิ่งเด่นชัดเป็นพิเศษ

พวกเขาสองคนต่างก็เป็นลูกหลานสายหลักของตระกูลไช่และตระกูลเฉินซึ่งเป็นสองในสามตระกูลใหญ่ ครั้งนี้ได้รับหน้าที่ให้มาซื้อหาวิญญาณทั้งหมดในนครผียักษ์ แม้ว่าวิญญาณแสนดวงนี้จะไม่มาก ทว่าผู้อาวุโสในตระกูลของพวกเขาต่างก็กำชับมาแล้วว่าต้องพยายามหาซื้อมาให้หมดจงได้!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดปรี๊ดอีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนถูกคนเอาเงินฟาดหน้าทำให้เขายอมไม่ได้อย่างยิ่ง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ทว่าทันใดนั้นแผ่นหยกในถุงเก็บของของเขาก็พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดพลังจิตมองหนึ่งครั้ง เสียงร้อนรนตื่นตระหนกของโจวอีซิงก็ลอยขึ้นมาในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที

“ข้าอยู่ตรงฝั่งทิศตะวันออกของค่ายกลนำส่งนครผียักษ์ มีคนจะฆ่าข้าเพื่อแย่งชิงวิญญาณของนายท่าน นายท่านช่วยข้าด้วย!!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!