Skip to content

A Will Eternal 632

บทที่ 632 เดี๋ยววันหน้าก็ดีขึ้นแล้ว

พอได้ยินเสียงในแผ่นหยกป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดวงตาแดงก่ำทันที หากโจวอีซิงพูดแค่ว่ามีคนจะฆ่าเขาก็ยังพอว่า แต่นี่กลับพูดว่ามีคนจะแย่งชิงวิญญาณ…

ต้องรู้ว่าความปรารถนาต่อวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้แรงกล้าถึงขีดสุด โดยเฉพาะเดินวนรอบเมืองมาหนึ่งรอบแล้วค้นพบว่าทุกร้านต่างก็ไม่ขายวิญญาณ

โจวอีซิงจึงถือเป็นความหวังสุดท้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน

“มากสุดคือทดลองอีกห้าครั้ง ข้าก็มั่นใจว่าจะหลอมไฟสิบสี่สีได้ เวลาอย่างนี้ใครมาแย่งวิญญาณของข้า มันผู้นั้นก็คือศัตรูของข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธกริ้วขึ้นมาทันใด ไม่มีเวลามาสนใจเฉิน ไช่สองคน พอหมุนกายได้ก็พุ่งออกนอกร้านบินทะยานตรงไปยังที่ตั้งค่ายกลนำส่งทันที

แทบจะขณะเดียวกันกับที่เขาบินออกมา เขาก็เอาป้ายตัวตนของคุกมารมาแขวนไว้บนร่าง เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงแม้ในนครผียักษ์จะห้ามการบิน แต่พอพวกทหารลาดตระเวนมองเห็นป้ายบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรู้ตัวตนของเขาทันที เลยแสร้งปิดตาข้างหนึ่งทำเหมือนมองไม่เห็น

ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนมากถึงขีดสุด อีกอย่างสถานที่แห่งนี้ก็ห่างจากค่ายกลนำส่งไม่ไกลนัก

เวลาแค่สิบกว่าชั่วลมหายใจ ภายใต้ความเร็วน่าตะลึงของป๋ายเสี่ยวฉุน รุ้งยาวที่เขาจำแลงมาก็มาถึงที่ตั้งของค่ายกลนำส่ง

การมาเยือนของเขาดึงดูดความตื่นตะลึงของคนไม่น้อยที่อยู่ตรงนั้น เพราะรุ้งยาวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลงมาประหนึ่งสายฟ้าที่แลบปลาบมาถึง ขณะเดียวกันมองไกลๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เห็นโจวอีซิงที่อยู่ฝั่งตะวันออกของค่ายกลนำส่งกำลังร้องคำรามอย่างสิ้นหวัง ดิ้นรนไม่หยุด และบริเวณใกล้เคียงกับโจวอีซิงก็มีคนอยู่หลายสิบคน หนึ่งในนั้นก็คือ…ประมุขตระกูลป๋ายที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัวในคราวนั้น!

ไม่เพียงประมุขตระกูลป๋ายเท่านั้นที่อยู่ด้านใน แม้แต่ไช่ฮูหยินก็อยู่ด้วย ข้างกายพวกเขาล้วนเป็นคนตระกูลป๋าย และยังมีผู้ฝึกวิญญาณอีกสองกลุ่ม ดูจากอาภรณ์ของพวกเขาเหมือนจะเป็นคนของอีกสองตระกูลใหญ่

ยามนี้ประมุขตระกูลป๋ายผู้นั้นได้ลงมือแล้ว พายุทมิฬที่ก่อตัวขึ้นมาปกคลุมรอบกายของโจวอีซิงเอาไว้ ไม่ว่าโจวอีซิงจะดิ้นรนแค่ไหนก็มิอาจหลบเลี่ยง

“โจรเฒ่าป๋าย เจ้าบังอาจ!!” เมื่อเห็นวิกฤตของโจวอีซิง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันคำรามกร้าว เสียงดังสนั่นซัดเป็นทอดๆ ราวอสนีบาตที่ระเบิดไปสี่ทิศ

แทบจะขณะเดียวกันกับที่เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังขึ้น ทุกคนของตระกูลป๋ายก็หันมาเห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน โดยเฉพาะฮูหยินไช่ที่พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งกรีดร้องเสียงแหลม

“ป๋ายฮ่าว!”

เวลาเดียวกัน บิดาของป๋ายฮ่าว ประมุขตระกูลป๋ายผู้นั้นก็พลันเงยหน้าขึ้น เมื่อหันมาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของเขาก็สั่นไหว ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้นที่ถูกอีกฝ่ายจับตัวลอยขึ้นมากลางใจ ทำให้เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ป๋ายฮ่าว!!”

คนอื่นๆ ของตระกูลป๋ายที่พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้ต่างก็พากันใจสะท้าน เพราะเรื่องที่ป๋ายฮ่าวก่อไว้ก่อนหน้านั้นคือความอัปยศที่ทำให้ทุกคนในตระกูลป๋ายอับอายขายขี้หน้าอย่างแท้จริง

“คือป๋ายฮ่าว!!”

“ตอนนั้นบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายของเรายังไม่สามารถฆ่าเขาได้ เขาถูกราชาผียักษ์เอาตัวไปเสียก่อน…”

ขณะที่ในใจทุกคนสั่นไหว โจวอีซิงที่กำลังสิ้นหวังก็ซาบซึ้งใจจนเกือบหลั่งน้ำตา ความรู้สึกถึงความหวังที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตความตายทำให้เขาตื่นเต้นอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้จนต้องตะเบ็งเสียงสุดกำลัง

“นายท่านช่วยข้าด้วย…”

ดวงตาทั้งคู่ของประมุขตระกูลป๋ายเผยแววเหี้ยมโหด ก่อนหน้านี้พวกเขาสืบหาที่มาของตะปูวิญญาณร้ายจนรู้ถึงตัวตนของโจวอีซิง และก็เข้าใจว่าคนผู้นี้มีความสัมพันธ์กับป๋ายเสี่ยวฉุน เป็นเหตุให้พอเห็นอีกฝ่ายก่อนหน้านี้จึงลงมือหมายจะจับตัวโจวอีซิงทั้งเป็น

แต่พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัว ประมุขตระกูลป๋ายก็เปลี่ยนใจทันที จะไม่จับเป็นแล้ว แต่จะฆ่าโจวอีซิงทิ้งซะ ยามนี้จึงแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้งแล้วยกมือขวาขึ้นคว้าจับโจวอีซิงอย่างแรง ทันใดนั้นพายุดำที่อยู่รอบกายประมุขตระกูลป๋ายก็กลายมาเป็นพายุมีดที่พุ่งตรงเข้ามากรีดเฉือน

“เจ้ามีตำแหน่งที่ราชาผียักษ์มอบให้ ตระกูลป๋ายของข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ ทว่าข้าจะสังหารคนติดตามของเจ้าต่อหน้าต่อตาเจ้า!!”

ความหวังของโจวอีซิงที่เพิ่งจะลอยขึ้นมามอดดับไปอีกครั้งเมื่อได้เห็นพายุดำกลายเป็นมีด ทุกอย่างนี้พูดแล้วเหมือนยาว ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับเกิดขึ้นในเวลาชั่วสายฟ้าแลบ ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเช่นนั้นก็ร้อนรนเป็นฟืนเป็นไฟ ความเร็วที่เร็วถึงขีดสุดของเขากลับยิ่งเพิ่มพูนได้อีก!

ไม่ได้ร่ายใช้วิชาเขย่าภูเขา แต่เป็น…ผนึกมิวางวาย!!

แผล็บเดียวร่างของเขาก็พร่าเลือน ไม่ทันได้กะพริบตาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายวับไปราวกับถูกความว่างเปล่าลบเลือนจนเกิดเป็นเสียงกรีดแหลมแหวกอากาศ นาทีถัดมาขณะที่มีดพายุสีดำสัมผัสเข้ากับร่างของโจวอีซิง

และโจวอีซิงกำลังร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวัง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใช้วิธีการอย่างหนึ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้มาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าโจวอีซิง

เพิ่งจะเผยตัวมือขวาของเขาก็ยกขึ้นตวัดไปรอบด้าน ปะทะเข้ากับมีดพายุดำจังๆ

ตูมๆๆ!

เสียงกัมปนาทสะท้านฟ้าดังสะเทือน มีดพายุดำพังทลายลงไปทีละชั้นกลายมาเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่ม้วนตลบไปรอบด้าน ทำให้ประมุขตระกูลป๋ายถอยกรูดไม่เป็นท่า

“ป๋ายฮ่าว เจ้ารนหาที่ตาย!” ดวงตาทั้งคู่ของประมุขตระกูลป๋ายหดตัว เดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว มือขวาทำมุทรา ทันใดนั้นเสียงผีร้องคร่ำครวญก็ดังออกมาจากรอบกายของเขา นั่นก็คือเวทลับของตระกูลป๋าย อำนาจจิตแปลงเป็นผี เงาผีร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนจึงพร้อมใจกันพุ่งกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

“ฝีมือกระจอกก็ยังกล้าอวดดี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยหลังมาหนึ่งก้าวชนเข้ากับร่างของโจวอีซิงที่อยู่ด้านหลัง โจวอีซิงยังไม่หายผวาก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนชนกระเด็นถอยร่น เขาจึงอาศัยกำลังนั้นร่ายความเร็วหนีออกไปจากพื้นที่ต่อสู้ในชั่วพริบตา ทอดสายตามองมาไกลๆ

พอส่งโจวอีซิงออกไปได้แล้วป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถลึงตา บนร่างมีเงามายาทับซ้อน ร่างจำแลงทั้งสี่ปรากฏตัวพร้อมกันเสียงดังโครมคราม ก่อนจะออกหมัดต่อยโครมเข้าใส่ประมุขตระกูลป๋ายที่พุ่งเข้ามาใกล้!

แปดทิศสะท้านสะเทือน เสียงดังเกินฟ้าคำราม ทำให้พื้นที่เกือบครึ่งของนครผียักษ์ล้วนได้ยินกันหมด รุ้งยาวหลายเส้นจึงพากันบินมาจากรอบด้านอย่างว่องไว

“ในนครผียักษ์ห้ามการต่อสู้ พวกเจ้ายังไม่หยุดอีก!”

“หยุดนะ!” เสียงคำรามต่ำๆ ดังไปทั่วด้าน และบนรูปปั้นยักษ์ของนครผียักษ์ที่ห่างออกไปไกลก็ยิ่งมีอำนาจจิตแผ่ออกมาปกคลุมไปทั่วทำเอาทุกคนใจสั่น

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนกับประมุขตระกูลป๋ายที่ปะทะกันกลางวงต่อสู้ คนทั้งสองต่างก็ถอยห่างออกมาท่ามกลางเสียงดังกัมปนาท ประมุขตระกูลป๋ายถอยกรูดไปหลายสิบจั้ง มุมปากมีเลือดไหลซึม ขณะเดียวกันลมหายใจก็ยุ่งเหยิงรัวเร็ว เงยหน้าจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอยหลังเหมือนกัน แต่กลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย เขากลอกตาไปมา รู้ว่าการประมือกับตระกูลป๋ายในนครผียักษ์ตนมีส่วนได้รับผลประโยชน์ แล้วก็มีส่วนที่เสียเปรียบด้วย อีกอย่างในนครผียักษ์ก็ห้ามให้มีการต่อสู้กันภายใน ทหารลาดตระเวนรวมไปถึงอำนาจจิตที่พากันเยื้องกรายมาถึงต่างก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคลายใจ

“ตาแก่ป๋าย เจ้าบังอาจลอบโจมตีคนของคุกมาร ที่นี่คือนครผียักษ์ ไม่ใช่ตระกูลป๋ายของเจ้า!”

“พี่น้องกองลาดตระเวนทั้งหลาย ข้าคือป๋ายฮ่าวแห่งคุกมาร คนผู้นี้ฝ่าฝืนกฎของนครผียักษ์เรา ไม่เพียงแต่ลงมือต่อหน้าประชาชน ทั้งยังมองข้ามบารมีของนครผียักษ์เราด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบย้อนเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ขณะที่คำรามร่างก็ถอยกรูดคว้าเอาตัวโจวอีซิงแล้วจากไปไกลอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปไกลแล้ว ฮูหยินไช่ก็กรีดร้องเสียงแหลม

“คนตระกูลป๋าย ฆ่ามันให้ข้าเดี๋ยวนี้!!” ดวงตาทั้งคู่ของฮูหยินไช่ฉายความเคียดแค้นอำมหิตอย่างถึงที่สุด ความชิงชังที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนไร้คำบรรยาย ตอนนี้นางถึงกับมองเมินกองลาดตระเวนที่อยู่บนท้องฟ้า ออกคำสั่งให้ไล่ล่าป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะที่คนตระกูลป๋ายซึ่งอยู่รอบๆ กำลังสองจิตสองใจ บนท้องฟ้าก็ยิ่งมีกองลาดตระเวนมาถึงมากกว่าเดิม แต่ละคนจ้องเขม็งมาที่ทุกคนของตระกูลป๋ายด้วยสายตาคมกริบ

“พวกเจ้าไล่ตามไปสิ ไปฆ่ามันซะ!!” ฮูหยินไช่แผดร้องราวกับคนบ้า พอเห็นว่าตนสั่งความคนตระกูลป๋ายไม่ได้ก็หมายจะหันไปพูดกับคนตระกูลไช่ ทว่าเวลานี้เอง ประมุขตระกูลป๋ายกลับตวาดกร้าว

“หุบปาก!”

เสียงนี้ดุจฟ้าผ่า สะเทือนจนฮูหยินไช่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว หันขวับกลับมาจ้องสามีตัวเองเขม็ง

“เจ้าสวะนี่มีตำแหน่งที่ราชาผียักษ์มอบให้ บุรพาจารย์คนฟ้ายังต้องถอดใจ พวกเรารั้งมันไว้ไม่ได้ ต่อให้รั้งไว้ได้ อยู่ในนครผียักษ์แห่งนี้ก็ไม่สามารถฆ่ามันได้อยู่ดี…” ประมุขตระกูลป๋ายส่งข้อความเสียงมาให้ด้วยสีหน้ามืดคล้ำ

ต่อให้ฮูหยินไช่ไม่ยินยอมแค่ไหน พอได้ยินคำอธิบายนี้ก็ยังได้แต่ข่มใจ ทว่าความเดือดดาลกลับมิอาจระงับไว้ได้อีกต่อไป ร่างที่สั่นเทิ้มจึงฉายความอาฆาตแค้นออกมาทางดวงตาอย่างแรงกล้า

กองลาดตระเวนที่อยู่บนท้องฟ้าเมื่อเห็นว่าคนตระกูลป๋ายล้มเลิกการลงมือ แถมป๋ายเสี่ยวฉุนก็จากไปไกลแล้วจึงพากันเอ่ยปากตักเตือนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะจากไป อำนาจจิตที่ปกคลุมอยู่ตรงจุดนี้ก็สลายหายไปด้วย

ไม่นานรอบด้านก็กลับคืนสู่ความสงบ คนตระกูลป๋ายมองหน้ากันไปมา สีหน้าแต่ละคนซับซ้อน โดยเฉพาะฮูหยินไช่ที่กัดฟันด้วยความแค้นเคืองจนฟันแทบแตก

“อดทนอีกหน่อย เดี๋ยววันหน้าก็ดีขึ้นแล้ว” ประมุขตระกูลป๋ายมองไปยังทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปด้วยสีหน้าที่มืดทะมึนมากกว่าเดิม เงียบงันไปพักใหญ่ถึงได้ส่งความเสียงให้กับฮูหยินไช่

พอได้ยินประโยคนี้ฮูหยินไช่ก็อึ้งงัน ทว่าไม่นานก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!