บทที่ 654 ตราผนึกนี่ช่างร้ายกาจยิ่งนัก
ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองกลุ่มแสงตราผนึกนั้นก็ลังเลไปครู่หนึ่ง หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เขาก็ไม่อยากแลกเปลี่ยนกับสามตระกูลใหญ่ เพราะอย่างไรซะผลลัพธ์ของการแลกเปลี่ยนนี้ก็ยากจะคาดการณ์ได้ แถมความอันตรายของตัวเองก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเท่าใดนัก
หากมีตราผนึกที่สามารถป้องกันการแก้แค้นหลังจากที่ตบะของราชาผียักษ์ฟื้นคืนมาได้…ถ้าเช่นนั้นตนก็สามารถทุ่มสุดตัวได้อีกครั้ง หากล้มเหลวตนก็แค่โยนราชาผียักษ์ทิ้งแล้วหนีไป แต่หากสำเร็จขึ้นมา…
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ใจก็พลันกระตุก ทว่าดวงตากลับถลึงกว้างอย่างดุดันอีกครั้ง
“ตาแก่ มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังจะกล้าเล่นแง่อีกรึ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเกรี้ยวกราด
“ข้าเปล่านะ ข้าเปล่าจริงๆ น้องป๋ายฮ่าวเจ้าต้องเชื่อข้านะ ข้า…ข้าไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ!!” ราชาผียักษ์พลันร้อนใจ เขาพูดความจริงทั้งนั้น มาถึงเวลาอย่างนี้ เขาไม่มีกะใจจะไปหลอกลวงป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแล้ว แล้วก็ไม่กล้าหลอกอีกฝ่ายด้วย เพราะหากถูกเปิดโปงขึ้นมาก็เท่ากับเขาเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่น
“เหลวไหล!” ป๋ายเสี่ยวฉุนวางมาดดุดัน คำรามเสียงดัง
“เปล่าจริงๆ นะ…ข้าสาบาน…” ราชาผียักษ์ถูกบีบจนต้องเริ่มสาบาน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหันมามองราชาผียักษ์อย่างพินิจพิเคราะห์ รู้สึกว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเหมือนจะจริงใจอย่างมาก แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่วางใจจึงแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง มือขวายกขึ้นตบถุงเก็บของ
“เจ้าเต่าน้อย โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ในถุงเก็บของยังไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ …
“บัดซบ เจ้าเต่าน้อยข้าขอเตือนเจ้าไว้เลย คราวนี้เป็นเพราะเจ้าถึงได้เจอตอใหญ่ขนาดนี้ หากเจ้าไม่ออกมา พวกเราก็ตัดขาดกัน ต่อไปหากมีเรื่องอะไร เจ้าก็อย่าได้โผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างขุ่นเคือง
คำพูดเขาดังจบ ถุงเก็บของก็ขยับหนึ่งครั้ง ก่อนที่เจ้าเต่าน้อยจะยื่นหัวออกมาด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แถมยังถึงขั้นเผยสีหน้าประจบเอาใจออกมาเป็นครั้งแรกด้วย
“ไอ้หนูป๋ายเจ้าโกรธเหรอ คือว่า…ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นอย่างนี้…” เจ้าเต่าน้อยกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคว้ามือมาจับ มันลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่กล้าหลบเลี่ยง ปล่แยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจับหัวของมันแล้วดึงออกมา
“เลิกพูดจาไร้สาระเสียที ลองดูตราผนึกนี้ให้ข้าสิว่ามีปัญหาหรือไม่”
ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ก่อนจะวางเจ้าเต่าน้อยไว้เบื้องหน้ามือทั้งสองข้างของราชาผียักษ์
ราชาผียักษ์มองเจ้าเต่าน้อยด้วยใจที่เคียดแค้น ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าที่ป๋ายฮ่าวรู้ว่าตนเป็นใครก็เพราะเจ้าเต่าน้อยตัวนี้
เจ้าเต่าน้อยรู้ดีว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะมัน อีกอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนก็โกรธจริงๆ ด้วยวิกฤตอันตรายในตอนนี้ทำให้มันสะเพร่าไม่ได้ ดังนั้นจึงรวบรวมสมาธิ ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายหลาดเพ่งมองไปยังกลุ่มแสงตราผนึกกลางมือราชาผียักษ์อย่างละเอียด
มองไปมองมาเจ้าเต่าน้อยก็เบิกตากว้าง ยื่นคอยืดยาวสูดลมเฮือกใหญ่
“ตราผนึกนี่ร้ายกาจจริงๆ ไอ้หนูป๋าย ตราผนึกนี่สามารถนาบเป็นตราประทับลงไปในร่างได้ด้วย ของเล่นชิ้นนี้อันตรายยิ่งนัก นี่คือตราผนึกที่ใช้ความเป็นความตายร่วมกัน หากเจ้าตาย ราชาผียักษ์ก็ตายด้วย ทว่าหากเขาตาย…เจ้ากลับไม่เป็นอะไร”
ราชาผียักษ์ก้มหน้าขมขื่นอยู่ในใจ แอบถอนหายใจหนึ่งครั้ง เพื่อผ่านเคราะห์ภัยครั้งนี้เขาไม่กล้าเล่นตุกติกจริงๆ ตราผนึกนี้เดิมทีสร้างขึ้นไว้เพื่อเล่นงานคนทรยศหลังจากจลาจลครั้งนี้สงบลง ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นว่าตนต้องเอามาใช้เอง…แม้ว่าตราผนึกนี้จะไม่ถึงกับไม่สามารถคลายได้ ทว่าต่อให้ตบะเขาฟื้นคืนอย่างน้อยก็จำเป็นต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะได้
“ข้าบอกไว้เลยนะตาแก่ เจ้าเองก็เห็นแล้วว่า ข้ามีวิธีการมากมาย ขนาดบุรพาจารย์คนฟ้าข้ายังทำให้บาดเจ็บสาหัสจนหนีไปได้ ต่อให้เจ้าจะอำพรางได้ลึกแค่ไหน เจ้าเต่าน้อยตัวนี้ของข้าก็ยังมองออก นี่เป็นเพียงวิธีการน้อยนิดที่ข้ามีอยู่อีกมากมายเท่านั้น ต่อให้ตบะของเจ้าฟื้นคืนมาแล้วและทำให้ข้าอยู่เหมือนตาย แต่ข้าก็ยังมีวิธีปลิดลมหายใจของตัวเองได้ หากเจ้าทำร้ายข้า พวกเราก็ตายไปด้วยกัน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินคำพูดของเจ้าเต่าน้อยก็กัดฟันเอ่ยข่มขู่
“ข้าไม่ทำร้ายเจ้า เจ้าก็อย่าทำร้ายข้า ข้าคุ้มครองเจ้าหนึ่งเดือน เจ้าเอาวิญญาณคนฟ้ามาให้ข้า ระหว่างเราก็ถือว่าหายกัน”
ราชาผียักษ์เงียบงันไม่พูดจา พักใหญ่จึงเงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเอ่ยเสียงทุ้มหนัก
“ชั่วชีวิตนี้ของข้าผู้เป็นราชาให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญา คำพูดที่หลุดออกจากปาก ข้าไม่มีทางขอคืน ไม่ว่าสาเหตุก่อนหน้านี้เป็นเพราะเหตุใด ขอแค่เจ้า
ป๋ายฮ่าวคุ้มครองข้าได้หนึ่งเดือน เมื่อตบะของข้าผู้เป็นราชาฟื้นคืน เพื่อหลีกเลี่ยงการร่ายผนึกนี้ ข้าจะไม่มีทางใช้เล่ห์กลใดกับเจ้าแน่นอน ดังนั้นเจ้าวางใจได้เลย!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองราชาผียักษ์ด้วยสายตาลึกล้ำ ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็หยิบเอาถุงเก็บของรวมไปถึงวัตถุอย่างพวกทวนยาวสีแดงของราชาผียักษ์ออกมา
“ราชาผียักษ์ ในเมื่อพวกเราตกลงกันได้แล้ว เจ้าก็รีบลบตราผนึกของเจ้าบนถุงเก็บของและอาวุธวิเศษเหล่านี้ทิ้งไป ทำให้มันกลายเป็นของข้า เมื่อเป็นเช่นนี้ความเป็นไปได้ที่พวกเราจะหนีรอดก็จะเพิ่มมากขึ้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเอ่ยต่อรอง
“ของในถุงเก็บของล้วนเป็นของจุกจิก แล้วยังมีของบางอย่างที่ข้าชื่นชอบ ต่อให้ข้าลบตราประทับของตัวเองทิ้งไป อาวุธวิเศษของข้าก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะนาบตราประทับลงไปได้ อาวุธวิเศษพวกนี้หากไม่ใช่คนฟ้าก็ใช้ไม่ได้…” ราชาผียักษ์ลังเลอยู่ครู่ แต่พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มถลึงตาอีกครั้ง เขาก็อดถอนหายใจอยู่กับตัวเองไม่ได้ ทว่าเขาไม่ได้พูดปด พอป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เชื่อ เขาเองก็จนปัญญา แม้ตอนนี้ตบะจะถดถอยและไม่สามารถควบคุมอาวุธวิเศษได้ แต่หากจะให้ลบตราผนึกทิ้งไปก็ยังถือว่าทำได้
ไม่นานเขาก็ลบตราผนึกที่อยู่บนวัตถุทั้งหมดทิ้งไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดถุงเก็บของออกอย่างตื่นเต้น พอเหลือบมองแวบหนึ่งก็อดตกใจไม่ได้ ข้างในนี้มียาวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน…และยังมีของแปลกๆ ล้ำค่ามากมาย วัตถุล้ำค่าเหล่านี้ไม่ใช่อาวุธวิเศษ แต่เป็นพวกอัญมณีส่องแสงแวววาวที่คนธรรมดาทั่วไปถึงจะชอบ
“ของพวกนี้คือของจุกจิก?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเม้มปาก แม้จะแปลกใจว่าเหตุใดราชาผียักษ์ถึงชอบของเล่นพวกนี้ แต่ไม่นานสายตาก็มาตกอยู่บนทวนยาวสีแดง พอหยิบขึ้นมาก็สัมผัสได้ว่าบนทวนนี้แผ่ปราณที่ทำให้คนตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาว ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะนาบพลังจิตของตัวเองลงไป แต่ก็เป็นอย่างที่ราชาผียักษ์บอก ไม่สามารถผสานรวมได้เลย
วัตถุชิ้นอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ด้วยความจนใจป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้เก็บกลับลงไปอีกครั้ง ก่อนจะมองประเมินราชาผียักษ์อยู่หลายที ถึงได้พยักหน้ารับแรงๆ ตกปากทำสัญญากับราชาผียักษ์
ราชาผียักษ์ผ่อนลมหายใจอยู่ในใจ รีบเปิดปากว่าต้องการให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพาเขาไปที่เต่าหิน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสองจิตสองใจ เขารู้สึกว่าทำแบบนั้นไม่ค่อยมั่นคงนัก ไม่พูดถึงเรื่องที่ว่าสามตระกูลใหญ่ต้องปิดผนึกเขตคุกมารอย่างแน่นหนา หากตัวเองไป ความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จจึงมีน้อยมาก
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งนั่นคือคำสัญญาระหว่างคนทั้งสองเพิ่งจะเริ่มขึ้น แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะรับปาก แต่ในใจกลับไม่มีความมั่นใจ หากปล่อยให้ราชาผียักษ์กลายเป็นฝ่ายควบคุมเร็วขนาดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่วางใจ
“เรื่องหนีเอาชีวิตรอดข้ามีประสบการณ์มากกว่าเจ้า หลายปีมานี้ เรื่องอื่นไม่กล้าพูด ทว่าเรื่องเผ่นหนีนั้นเคยทำมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยอย่างโอหัง มือก็ลากดึงราชาผียักษ์ให้ห้อตะบึงไปไกลพร้อมกัน
“เจ้า…” ราชาผียักษ์เริ่มไม่สบอารมณ์ ขณะที่กำลังจะเปิดปาก ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับตบหัวราชาผียักษ์อีกครั้งด้วยความหงุดหงิด
“หุบปาก นี่เจ้าเป็นคนปกป้องข้า หรือว่าข้าเป็นคนปกป้องเจ้ากันแน่หา?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเหล่ตามองราชาผียักษ์แวบหนึ่ง ความรู้สึกได้รังแกครึ่งเทพแบบนี้ตอนแรกเริ่มเขายังรู้สึกสะใจ ทว่าตอนนี้เริ่มกลายมาเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว
ราชาผียักษ์กัดฟัน แต่กลับไร้หนทางใด ได้แต่ข่มกลั้นอารมณ์อยู่กับตัวเอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจราชาผียักษ์ เขารู้ว่าหากคิดจะออกไปจากนครผียักษ์นั้นมีความยากสูงมาก ตอนนี้กลัวก็แต่คนของสามตระกูลและคนมากกว่านั้นจะกำลังตามหาตนกันให้ควั่ก อีกไม่นานก็คงหาเจอ
“ช่วยไม่ได้ คงได้แต่ไปยังค่ายกลที่สวีซื่อโย่วบอกไว้…หวังว่าจะหาค่ายกลที่นำส่งไปไกลแสนลี้เจอโดยเร็วที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้…หากหนีไปนอกระยะแสนลี้ก็จะปลอดภัยขึ้นมาอีกเยอะมาก” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจเด็ดขาด ในสมองมีตำแหน่งที่ตั้งของค่ายกลที่สวีซื่อโย่วเคยบอกไว้ลอยขึ้นมา ยิ่งเพิ่มความเร็วของฝีเท้าพุ่งทะยานไปยังจุดที่อยู่ใกล้ที่สุด
ไม่นานนักเขาก็พาราชาผียักษ์ที่อัดอั้นตันใจมาถึงลานกว้างหลังหอเรือนที่ผุพังแห่งหนึ่ง ภายใต้ความสงสัยของราชาผียักษ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองประเมินไปรอบด้านครู่หนึ่ง พอแน่ใจว่าเป็นที่แห่งนี้ เท้าขวาของเขาก็ยกขึ้นแล้วกระทืบลงไปบนพื้นอย่างแรง
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง พื้นดินก็พังทลายปรากฏเป็นรอยแตกร้าวหลายเส้น ขณะเดียวกันมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กดลงไปบนรอยแตกเส้นหนึ่ง พอตบะแผ่ออก รอบด้านก็พลันปรากฏเป็นแสงนำส่งในพริบตา
“นี่…” ม่านตาทั้งคู่ของราชาผียักษ์หดตัว สายตาทอประกายแปลกใจ
พริบตาเดียวค่ายกลนำส่งก็โคจรดังครืนครั่น เวลาแค่ชั่วลมหายใจเรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์ก็หายวับไป
หลังจากที่พวกเขาหายตัวไปได้ไม่นานก็มีรุ้งยาวสิบกว่าเส้นทะยานมาจากทิศไกล พอเห็นค่ายกลนำส่งของที่แห่งนี้ทุกคนก็หน้าเปลี่ยนสี และพอค่ายกลนั้นนำส่งได้สำเร็จก็พังทลายไปเอง จึงยิ่งทำให้สีหน้าของทุกคนน่าเกลียดมากกว่าเดิม
ขณะเดียวกันอีกพื้นที่หนึ่งในนครผียักษ์แห่งนี้ ที่นั่นมีบ้านพักอยู่หลังหนึ่งซึ่งยามนี้มีแสงส่องประกายอ่อนจาง ก่อนที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์จะเปล่งวาบออกมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนหงุดหงิดเล็กน้อย แม้เขาจะรู้ว่ามีค่ายกลอยู่เยอะมากแต่กลับไม่รู้ว่าหลังไหนถึงจะเป็นหลังที่นำส่งไปได้แสนลี้ ทำได้เพียงไล่ทดลองไปทีละหลัง
แม้เขาจะเป็นเช่นนี้ ทว่าราชาผียักษ์กลับสำลักลมหายใจ จิตวิญญาณสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่กำลังจะเปิดปากถาม ดวงตากลับเหมือนจะถลนออกมา เพราะมองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเหวี่ยงหมัดต่อยลงไปบนพื้นอีกครั้ง
พริบตาเดียวแสงค่ายกลนำส่งก็ระเบิดพร่างพราว เวลาแค่ชั่วครู่คนทั้งสองก็หายวับไปอีกครั้ง…
และยามนี้ตลอดทั้งในนครผียักษ์โกลาหลอลหม่านกันอยู่นานแล้ว ทั้งนครถูกปิดผนึก แม้แต่นอกนครเองก็ยังมีผู้ฝึกวิญญาณถูกส่งตัวออกมา หากเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนบินออกมาจากทางไหนก็ตาม พวกเขาก็จะลงมือล้อมโจมตีทันที
หลังจากที่ปิดผนึกภายนอกแล้วก็ยิ่งมีคนมากกว่าเดิมเริ่มการค้นหาภายในนคร โดยเฉพาะเขตพื้นที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปก่อนหน้านี้ บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลเฉินก็ถึงกับปรากฏตัวตามหาด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าสถานที่แห่งนี้ก่อนหน้านั้นมีวิญญาณครึ่งเทพระเบิดจึงไปรบกวนความว่างเปล่า ทำให้ปราณทั่วนครผียักษ์สับสนปั่นป่วน พลังจิตของตบะคนฟ้าก็มิอาจแผ่ออกไปได้ไกลนัก
หาไม่แล้ว หากคิดจะตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนก็ย่อมง่ายยิ่งกว่านี้
ทว่าตอนนี้ พวกเขาทำได้เพียงตามหาไล่ไปอย่างละเอียดเท่านั้น
นอกจากบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลเฉินแล้วยังมีบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลไช่ที่หลังจากไล่ตามบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายไปถึงเมืองตระกูลป๋าย เขาถึงได้หมุนตัวกลับมาด้วยดวงตาเปล่งประกาย ตรงดิ่งมายังนครผียักษ์ เข้าร่วมการค้นหาครั้งนี้
ยามนี้ตลอดทั้งนครผียักษ์ยังมีคนฟ้าอีกสองคนนั่นคือโยวหมิงกงและอู๋ฉางกง โยวหมิงกงคิดจะออกไปตามหา แต่พอรู้ว่าตัวจริงของราชาผียักษ์อยู่กับป๋ายฮ่าว
โยวหมิงกงก็ตัดสินใจเด็ดขาดทันที ตอนนี้การตามหามีคนเยอะพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขาเข้าร่วมด้วย และภารกิจของเขาก็คือจะปล่อยให้อู๋ฉางกงตามหาป๋ายฮ่าวเจอไม่ได้
มิฉะนั้นหากอู๋ฉางกงปรากฏตัวต่อหน้าราชาผียักษ์ตัวจริงแล้วพาราชาผียักษ์หนีไป คนอื่นคิดขัดขวางก็จะยิ่งยุ่งยาก
ดังนั้นโยวหมิงกงจึงลงมือต่อสู้อย่างดุเดือดกับอู๋ฉางกง ไม่ถึงกับต้องการตัดสินเป็นตาย เพียงแค่จับตามองเขาไม่ให้คลาดสายตาเท่านั้น
อู๋ฉางกงรู้ความคิดของอีกฝ่าย ในใจก็ถอนหายใจหนึ่งที รู้ดีว่าอย่างไรตนก็มิอาจฝ่าออกไปได้จึงได้แต่ทำตามชะตาฟ้าลิขิต
เมื่อเป็นเช่นนี้คนฟ้าที่ตามหาร่องรอยของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในเมืองจึงมีแค่สองคน บวกกับกองทัพของพระยาสวรรค์หกท่านรวมไปถึงผู้อาวุโสและคนในตระกูลของอีกสามตระกูลที่เริ่มทำการค้นหาแบบปูพรมไปทั่วนครผียักษ์