Skip to content

A Will Eternal 707

บทที่ 707 เจ้าและข้าได้พบเจอกันคือพรหมลิขิต

การฟื้นคืนสติปัญญาให้ป๋ายฮ่าวสำคัญกับป๋ายเสี่ยวฉุนมาก

ป๋ายฮ่าวคือลูกศิษย์ของเขา หากไม่เจอวิญญาณของอีกฝ่ายก็ยังพอทำเนา ตอนนี้ในเมื่อเจอแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัดสินใจเด็ดขาดได้ทันที

หากเป็นตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งมาอยู่แดนทุรกันดารใหม่ๆ การที่เขาคิดจะทำเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องยากมาก ทว่าตอนนี้เขาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำแล้ว ในมือก็ยิ่งมีทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลที่ได้มาจากสามตระกูลใหญ่ ที่สำคัญที่สุดคือเขามีสมบัติลับชิ้นใหญ่ของสองในสามตระกูล นั่นก็คือเมล็ดบัวและเลือดสดหยดนั้น

สมบัติลับสองชิ้นนี้ต่างก็มีประโยชน์มหาศาลต่อวิญญาณ โดยเฉพาะเลือดหยดที่เป็นสมบัติลับอันเป็นรากฐานของตระกูลเฉิน สามารถทำให้วิญญาณฟื้นคืนความทรงจำตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ กลายมาเป็นเหมือนนักพรตผี

ส่วนเมล็ดบัวนั้นสามารถสร้างร่างกายของคนขึ้นมาใหม่ แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อคนเป็น แต่ไม่รู้ว่ากับวิญญาณที่ตายไปแล้วจะใช้ได้ผลหรือไม่ กระนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังอยากจะทดลองทำ

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้บุ่มบ่าม แม้ว่าเมล็ดบัวจะมีสองเม็ด แต่หยดเลือดที่สำคัญต่อวิญญาณอย่างถึงที่สุดนั้นกลับมีแค่หยดเดียว เขาจำเป็นต้องเตรียมการให้ครบทุกด้านก่อนถึงจะกล้าลงมือ

เพราะอย่างไรซะโอกาส…ก็มีแค่ครั้งนี้เท่านั้น

แถมเขายังตั้งใจไปเยือนตระกูลเฉินเพื่อพูดคุยกับประมุขตระกูลเฉินคนปัจจุบันด้วย เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนจ่ายค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อด้วยความจริงใจ ในที่สุดก็ได้รู้ข้อมูลที่ต้องระวังเป็นพิเศษในยามที่ใช้เลือดหยดนั้น

“เลือดหยดนี้มีพลังที่ลึกลับ สามารถทำให้วิญญาณฟื้นคืนความทรงจำของตอนที่ยังมีชีวิตอยู่…ทว่าขั้นตอนระหว่างนี้กลับอันตรายอย่างยิ่ง เพราะต้องเผาผลาญกำลังของวิญญาณไปมหาศาล หากเป็นวิญญาณขอบเขตคนฟ้าก็ยังดีหน่อย แต่ก่อนหน้าที่ป๋ายฮ่าวจะตายเขาอยู่แค่ขั้นสร้างฐานรากเท่านั้น…เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะทนได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ได้…” หลังกลับมาจากตระกูลเฉิน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ทว่าเรื่องนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ตอนนี้วิญญาณของป๋ายฮ่าวเปี่ยมล้นไปด้วยความบ้าคลั่งดุร้าย อีกทั้งยังเป็นเพียงแค่วิญญาณอย่างเดียว ไม่มีตบะอยู่ด้วย

พอเป็นเช่นนี้เขาก็ต้องหยุดอยู่ที่ขั้นสร้างฐานรากไปตลอดกาล คิดจะเพิ่มขอบเขตนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

“ถ้าเช่นนั้นวิธีการเดียวที่จะแก้ไขได้ก็คือขณะที่ผสานรวมกับหยดเลือดจำต้องใช้การค้ำประคองจากยาวิญญาณอย่างต่อเนื่อง…ส่วนเรื่องปริมาณนั้นยากจะกำหนดได้ แต่ยิ่งมากเท่าไหร่ก็น่าจะยิ่งดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาเขาก็เผยความเด็ดเดี่ยว รีบจัดการกว้านซื้อยาวิญญาณมาจากทั่วทั้งนครผียักษ์ทันที

หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นผู้กำกับการใหญ่ กลุ่มอิทธิพลแต่ละฝ่ายในนครผียักษ์ต่างก็ส่งของขวัญชิ้นโตมาให้เขาอย่างไม่ขาดสาย และเมื่อเขาได้ไปรีดไถทรัพย์มาจากสามตระกูลใหญ่ ตอนนี้จึงสามารถพูดได้ว่าทรัพย์สินของเขานั้นมากมหาศาล เพื่อป๋ายฮ่าวแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่ลังเลที่จะเอาทรัพย์สมบัติจำนวนมากมาแลกเป็นยาวิญญาณ

อีกทั้งยาวิญญาณส่วนที่ได้มาจากสามตระกูลเองก็มีไม่น้อย พอเป็นเช่นนี้เมื่อเอามารวมกับส่วนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปแลกมา ปริมาณยาวิญญาณที่เขามีตอนนี้จึงมากถึงระดับที่น่าหวาดกลัว

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกว้านซื้อยาวิญญาณดั่งหลุมดำที่สูบเอามานี้ ทุกคนที่อยู่ในนครผียักษ์ต่างก็มีชีวิตกันอย่างหวาดผวา เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกคนล้วนเจอกับเรื่องที่สร้างความสะท้านสะเทือนอย่างต่อเนื่อง

อันดับแรกคือการมาเยือนของผู้แข็งแกร่งนับร้อยคน ซึ่งในนั้นมีสามคนฟ้าที่แต่ละคนโทสะพวยพุ่งเทียมฟ้า ทว่ากลับพยายามข่มกลั้นเอาไว้ ไม่ได้บุกเข้าโจมตีนครผียักษ์ แต่กลับมานั่งขัดสมาธิอยู่ด้านนอกในลักษณะที่เหมือนการโอบล้อมนครผียักษ์เอาไว้

และนี่ยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นยังตามมาด้วย…อีกหลายคนที่ใช้ค่ายกลนำส่งเยื้องกรายมาเยือนนครผียักษ์ คนเหล่านั้นไม่ว่าใครก็ตามที่ปรากฏตัวก็ล้วนมีผู้ติดตามมาด้วยไม่น้อย ไม่กักเก็บพลังอำนาจไว้แม้แต่นิด พอมาถึงก็ดิ่งเข้าไปในตำหนักราชาเพื่อพูดคุยกับราชาผียักษ์ทันที

ทว่าคนแต่ละกลุ่มยังไม่ทันได้พูดคุยกันรู้ความ แสงของค่ายกลนำส่งก็มักจะสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะมีคนกลุ่มใหม่มาเพิ่ม…

ทุกวันจะต้องมีกลุ่มอิทธิพลหลายสิบฝ่ายปรากฏตัวอยู่ในค่ายกล บรรดาคนฟ้าที่มาก็เกินสิบกว่าคนไปแล้ว ต้องรู้ว่าไม่ว่าคนฟ้าคนใดล้วนคือบุคคลที่แค่กระทืบเท้าก็สามารถทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนได้ ในโลกใบนี้ จำนวนคนฟ้าที่มีชีวิตอยู่มีแค่ไม่เกินห้าสิบคนเท่านั้น

แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา คนฟ้าที่มารวมตัวกันอยู่ในนครผียักษ์กลับมีมากพอสิบกว่าคน ภาพนี้ทำให้อู๋ฉางกงรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับหุบเหวลึก ยังดีที่ราชาผียักษ์ไม่ได้ให้เขาเป็นคนจัดการ แต่ให้ทุกคนที่มาเยือนเข้าไปพูดคุยกันในตำหนักราชาโดยตรง

และก็เป็นเช่นนี้ ส่งคนกลุ่มหนึ่งจากไปก็ต้องต้อนรับคนกลุ่มใหม่ เป็นอย่างนี้วนซ้ำไปมา เวลาเพียงแค่สองสามวันก็ทำให้ทุกคนในนครผียักษ์หวาดผวาจนเริ่มเกิดเป็นความชาชิน พวกเขสต่างพากันคาดเดาว่าต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่าง และเรื่องนี้ก็ยากจะปิดข่าวเอาไว้ได้ ไม่นานจึงแพร่ไปทั่วทั้งเมือง

“ว่าไงนะ ป๋ายฮ่าวได้รับคำสั่งจากหวังเหย่ไปให้จับตัวลูกหลานแห่งความภาคภูมิใจของตระกูลสูงศักดิ์เกือบแปดส่วนในแดนทุรกันดาร!”

“สวรรค์ ป๋ายฮ่าวผู้นี้เสพติดการจับตัวคนอื่นไปแล้วหรือไง!! คนแรกก็พ่อของเขา คนต่อมาคือหวังเหย่ มาตอนนี้กลับลักพาตัวคนกลับมาอีกร้อยกว่าคน!”

“หวังเหย่กำลังเล่นหมากกระดานใหญ่…พวกเราไม่อาจเข้าใจได้” เมื่อเขาแพร่ออกไป คนจำนวนนับไม่ถ้วนในนครผียักษ์นอกจากจะตกอกตกใจและพากันวิพากษ์วิจารณ์แล้ว พวกเขายังรู้สึกได้ว่าความอาจหาญของป๋ายฮ่าวนั้นมีมากจนไร้คำบรรยาย

จนกระทั่งผ่านไปได้สามวัน เสียงคำรามกร้าวก็พลันดังจากท้องฟ้าสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในที่พักก็เห็นเหมือนกันว่าบนท้องฟ้ามีขวานศึกขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นมา และบนขวานนั้นก็มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนค้ำฟ้าอยู่

“ราชาเก้านรกภูมิ!” ราชาผียักษ์เดินออกมาจากในตำหนักราชาทันที เขามองประสานสายตากับเงาร่างบนท้องฟ้า คนทั้งสองคล้ายกำลังเสียงให้แก่กัน พักใหญ่ราชาเก้านรกภูมิถึงได้เดินตามราชาผียักษ์เข้าไปในตำหนักด้วยสีหน้าดำคล้ำ ไม่นานนักเขาก็เดินออกมาแล้วจากไป

จากนั้นเรือนกายอ้วนเผละเต็มไปด้วยไขมันของราชาเทพจุติก็เยื้องกรายมาถึง และยังมีราชาชิงชัยอีกคน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในนครผียักษ์อึ้งตะลึงกันไปทันที

จนกระทั่งผ่านไปได้เจ็ดวัน ภาพเหตุการณ์นี้ถึงได้ยุติลง ค่ายกลนำส่งไม่ได้เปล่งแสงเจิดจ้าทุกระยะดังก่อนหน้านี้อีกแล้ว เรื่องราวก็ซาลงไปด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนทำตัวดีว่าง่าย ไม่กล้าออกไปสืบความใดๆ เขารู้ดีว่าตอนนี้ราชาผียักษ์ต้องอารมณ์ไม่ดีมากๆ แน่นอน

“เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้นะ หากเจ้าไม่เล่นงานข้าก่อน มีหรือที่ข้าจะเล่นงานเจ้ากลับ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ยอมแพ้ แต่เขาก็เข้าใจดีว่าใครกันแน่ที่หมัดใหญ่มีอิทธิพลมากกว่า ถึงแม้จะบ่นพึมพำ แต่กลับหดหัวปิดด่าน แอบกว้านซื้อยาวิญญาณ ขณะเดียวกันก็แอบไปพูดคุยกับฮูหยินเฉินอยู่พักหนึ่ง

แล้วก็เป็นอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคาดการณ์เอาไว้ ราชาผียักษ์อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก เจ็ดวันมานี้เขาต้องสื่อสารกับกลุ่มอิทธิพลต่างๆ แล้วก็ปล่อยให้คนจากตระกูลของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจนับร้อยพาตัวพวกเขากลับไป บางคนราชาผียักษ์ก็เลือกไม่ใยดี บางคนเขาแสดงความไม่พอใจข่มขู่ และยังมีคนบางส่วนที่ราชาผียักษ์จำต้องจ่ายค่าตอบแทนให้ส่วนหนึ่ง

อย่างราชาชิงชัยและราชาเทพจุติก็ล้วนเป็นเช่นนี้ เพราะอย่างไรซะราชาผียักษ์ก็ทำผิดกฎก่อนจึงมีจุดอ่อนให้คนอื่นหาช่องเล่นงาน แถมยังมาทำให้ลูกหลานของพวกเขาเกือบตายด้วย

ส่วนราชาเก้านรกภูมินั้น ราชาผียักษ์ไม่ได้ยอมก้มหัวให้ง่ายๆ เขากลับหัวเราะหยันแล้วใช้ไม้แข็ง เพราะก่อนหน้านี้ราชาเก้านรกภูมิฉวยโอกาสลงมือกับราชาผียักษ์ตอนที่เขาอยู่ในช่วงระยะเวลาการเสื่อมถอยซึ่งถือว่าทำผิดกฎเช่นกัน ตอนนี้แม้คนทั้งสองจะพูดคุยกัน แต่กลับไม่มีใครได้ดีไปกว่าใคร แถมราชาผียักษ์ก็ยังลากเอาราชาชิงชัยและราชาเทพจุติมาเข้าพวก นั่นทำให้ราชาเก้านรกภูมิได้แต่กัดฟันจากไปพร้อมความเดือดดาล

นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาปวดหัวมากที่สุด ที่เขาปวดหัวมากที่สุดก็คือองค์ชายรอง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็คือเชื้อพระวงศ์ แม้จะบอกว่าตอนนี้เชื้อพระวงศ์ตกต่ำ อำนาจใต้หล้าล้วนอยู่ในกำมือของต้าเทียนซือ ทว่าอย่างไรเชื้อพระวงศ์ก็คือเชื้อพระวงศ์ มีหรือจะยอมถูกหยามเกียรติ ราชาผียักษ์จึงได้แต่ข่มกลั้นความเสียดายยอมจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยถึงคลี่คลายเรื่องนี้ได้

“ในที่สุดก็ส่งคนทั้งหมดกลับไปได้เสียที” ราชาผียักษ์ยืนอยู่บนหอเรือนของตำหนักราชา เขาถอนหายใจยาวเหยียด คลึงหว่างคิ้ว เจ็ดวันมานี้เขาทั้งออกเล่ห์อุบาย ทั้งโอนอ่อนผ่อนตาม เล่ห์กลทั้งหมดล้วนถูกเอามาใช้จนสิ้น นั่นถึงทำให้ความเสียหายของตัวเองลดเหลือน้อยที่สุด นี่ทำให้เขาเหนื่อยล้าไปทั้งกายและใจ

“ต้องโทษเจ้าลูกหมานั่นคนเดียว!” พอราชาผียักษ์คิดถึงป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันถลึงตาขึ้นมาทันที ทว่าเพิ่งจะโมโหกลับมีเรือนกายเร่าร้อนตรงเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง นั่นก็คือฮูหยินเฉิน…

ราชาผียักษ์ผินหน้ามามองหญิงสาวผู้นี้ด้วยดวงตาที่เผยแววอ่อนโยน

ฮูหยินเฉินยังฉวยโอกาสนี้ช่วยพูดแทนป๋ายฮ่าว ทำให้ความเดือดดาลที่ราชาผียักษ์มีต่อป๋ายฮ่าวจางหายลงไปไม่น้อย แล้วก็นึกถึงข้อดีมากมายของป๋ายฮ่าวขึ้นมาได้

“แม้ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนไปบ้าง ทว่าข้าก็ได้ผลราชาผีมาครองแล้ว ทุกอย่างล้วนคุ้มค่า! และทุกอย่างนี้หากไม่ได้ป๋ายฮ่าว หากคนอื่นๆ ของสามราชาได้ผลราชาผีไปครอง ข้าคิดจะแลกเปลี่ยนกลับมา เกรงว่าคงต้องจ่ายค่าตอบแทนมากกว่าตอนนี้เป็นสิบๆ เท่า” พอราชาผียักษ์คิดเช่นนี้ก็สงบใจลงใจ สุดท้ายจึงแค่นเสียงหึหนึ่งทีแล้วไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้อีก

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเวลาผ่านไปหลายวันแล้ว ทว่าราชาผียักษ์ก็ยังไม่มาเอาเรื่องตน ในใจจึงมั่นใจมากขึ้นเลยเริ่มทำการกว้านซื้อยาวิญญาณอีกชุดใหญ่ และผ่านไปอีกไม่กี่วัน ยาวิญญาณที่เขารวบรวมมาได้ก็เพิ่มจำนวนมากถึงขีดสุด

นั่นถึงทำให้เขากัดฟัน ตัดสินใจจะเริ่มลงมือช่วยให้ป๋ายฮ่าวฟื้นคืนสติปัญญา!

เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่กล้าหลอมวิญญาณในนครผียักษ์ ดังนั้นจึงรับงานหนึ่งแล้วออกไปจากนคร พอหาพื้นที่ลับแห่งหนึ่งเจอก็จัดวางค่ายกลให้เรียบร้อย พอแน่ใจว่าไม่มีปัญหา

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก สงบจิตใจ เอาสถูปวิญญาณออกมาจากในถุงเก็บของ ตามมาด้วยหยิบวิญญาณของป๋ายฮ่าวออกมา!

วิญญาณของป๋ายฮ่าวที่ถูกม่านแสงอ่อนโยนกลุ่มหนึ่งล้อมวนลอยอยู่กลางมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนนี้เขายังรู้สึกเลื่อนลอยเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติจึงหันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเริ่มร้องคำรามไร้เสียงใส่อีกฝ่ายผ่านม่านแสง

อีกทั้งยังพยายามโจมตีม่านแสงคล้ายต้องการจะลอดทะลุออกมาให้ได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองวิญญาณของป๋ายฮ่าวที่อยู่ในม่านแสงเงียบๆ สีหน้าของเขาซับซ้อนเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่เมื่อเห็นว่าป๋ายฮ่าวยังคงร้องคำราม ดวงตาก็ยิ่งฉายความละโมบและบ้าคลั่ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ก่อนจะค่อยๆ แผ่พลานุภาพสยบออกมาจากในร่าง

เมื่อพลานุภาพสยบนี้แผ่ออกมาก็ทำให้วิญญาณของป๋ายฮ่าวที่อยู่ในม่านแสงตัวสั่นเทิ้มทันที เขาค่อยๆ ถอยห่างออกไป มองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างระแวดระวังตามสัญชาตญาณ

“เจ้าและข้าได้พบเจอกันคือพรหมลิขิต…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำแผ่วเบา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!