บทที่ 715 ข้าคือว่าที่สามีของเจ้า
คำพูดนี้ดังออกมาจากในกระโจมใหญ่ก็พลันระเบิดกลายมาเป็นเหมือนสิ่งของที่จับต้องได้จริง มีเงาร่างสิบกว่าเงาตรงดิ่งเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยไอสังหารอบอวลทันที อีกทั้งบัดนี้ตลอดทั้งค่ายทหารก็เหมือนกลายมาเป็นสัตว์บรรพกาลดุร้ายตัวหนึ่งที่อ้าปากกว้างหมายเขมือบกลืนป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไป
“นี่ยังไม่ทันได้พูดขัดหูก็จะสังหารข้าแล้วรึ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตความเป็นความตายที่รุนแรง ภายใต้พลานุภาพสยบของคนฟ้า เลือดเนื้อทุกอณูในร่างของเขาคล้ายกำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ
“จื่อโม่ เอ่อ คือว่า ราชาผียักษ์พ่อเจ้าส่งตัวข้ามา ข้า..ข้าคือป๋ายฮ่าว ว่าที่สามีของเจ้าไง” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
คำพูดนี้ดังออกมาทำให้คนไม่น้อยอึ้งงัน พวกเขาไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างราชาผียักษ์และสตรีธุลีแดง ตอนนี้พอมาได้ยินจึงยืนอึ้งกันอยู่ตรงนั้น ทั้งยังเบิกตากว้าง จิตใจเต้นกระหน่ำรัวเร็ว สะท้านสะเทือนไปกับข่าวนี้อย่างสิ้นเชิง
“ว่าไงนะ แม่ทัพใหญ่คือลูกสาวของราชาผียักษ์?!”
“นี่ นี่เป็นเรื่องจริงรึ?”
ข่าวนี้ครึกโครมไปทั่วทั้งกองทัพผียักษ์ ในกระโจมใหญ่สีชาดจึงมีเสียงตวาดเดือดดาลดังออกมาทันที
“หุบปาก!”
ผ้ากระโจมพลันถูกเลิกขึ้น ร่างของสตรีธุลีแดงเดินดิ่งออกมา สีหน้าที่ดำคล้ำอย่างถึงที่สุดของนางมองมาทางป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาปานประหนึ่งสายฟ้าที่แทบจะกวาดทะลุทะลวงทั้งในและนอกร่างของอีกฝ่าย แถมยังมีพลานุภาพสยบของคนฟ้ากระแทกตูมลงมา!
ในใจก็ยิ่งเคียดแค้นที่ป๋ายฮ่าวถึงกับโพล่งความสัมพันธ์ของตนกับราชาผียักษ์ออกมาเพื่อใช้สยบความน่าเกรงขามของตนเมื่อครู่นี้!
ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเหล่าองค์รักษ์ที่อยู่รอบด้านก็ดี หรือองค์รักษ์หญิงคนสนิทของสตรีธุลีแดงก็ช่าง แต่ละคนต่างเบิกตากว้าง มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าปั้นยาก ยังไม่ทันย่อยข้อมูลใหม่ที่ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ของแม่ทัพใหญ่กับราชาผียักษ์ก็ต้องมาเห็นท่าทางแม่ทัพของตัวเองที่อับอายจนพานมาเป็นโกรธ เหล่าองค์รักษ์ต่างมองหน้ากันไปมา พากันลังเล ไม่ได้รุดหน้าไปจับตัวป๋ายเสี่ยวฉุนต่อ แต่ในใจกลับเริ่มมองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความสนุกสนาน
ป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งใจเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย โดยเฉพาะตอนที่สตรีธุลีแดงเดินออกมาแล้วเลิกม่านขึ้น คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเห็นทุกอย่างครอบคลุมมากขึ้น เขาเห็นว่าในกระโจมยังมีรูปปั้นของตัวเองอีกเจ็ดแปดรูป เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นสิ่งที่สตรีธุลีแดงใช้ระบายอารมณ์คลั่งแค้น
ระดับความเคียดแค้นชิงชังของนางนั้น แค่มองจากรูปปั้นพวกนี้ก็รู้ได้แล้วว่าลึกล้ำมากแค่ไหน
“ใจที่อยากสังหารข้าของนังเฒ่าธุลีแดงผู้นี้ช่างมั่นคงยิ่งนัก”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่ หน้าผากมีเหงื่อผุดออกมา ในใจก็ร้องคร่ำครวญไม่หยุด เขาเองก็ไม่อยากพูดยั่วอารมณ์โมโหของสตรีธุลีแดงไปอย่างนั้น แต่ช่วยไม่ได้นี่นา หากเมื่อครู่นี้เขาช้ากว่านั้นอีกนิดเกรงว่าคงถูกลากออกไปตัดหัวแล้วจริงๆ แม้อาจมีความเป็นไปได้มากกว่าสตรีธุลีแดงผู้นี้แค่คิดจะวางอำนาจให้เขากลัว แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คิดจะเดิมพัน วิธีที่จะช่วยตัวเองได้ก็มีเพียงพูดให้เรื่องราวฟังดูใหญ่โต ทำแบบนี้ถึงจะได้อาศัยชื่อของราชาผียักษ์มาข่มสตรีธุลีแดงรวมไปถึงคนในกองทหารแห่งนี้ได้
“ราชาผียักษ์ข้าเกลียดเจ้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาคิดว่าทำไมตัวเองถึงได้ดวงซวยนัก ทำไมต้องถูกราชาผียักษ์เล่นงานอีกรอบโดยการโยนเขาเข้ามาในสถานที่แบบนี้ ยามนี้จึงได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดมองสตรีธุลีแดงที่สวมเสื้อเกราะสีแดงทั้งร่าง ท่วงท่าองอาจห้าวหาญ แต่กลับมีปราณดุร้ายแผ่ออกมา
ดูจากรูปโฉมภายนอก จะบอกว่าสตรีธุลีแดงคนนี้งามล่มเมืองก็ไม่เกินไปแม้แต่น้อย ผิวพรรณของนางขาวราวหิมะ ดวงตาหงส์คู่นั้นก็มีแสงสุกสกาวราวดวงดาว ใบหน้าเรียวราวเมล็ดแตง กระดูกไหปลาร้าที่โผล่ออกมาข้างนอกรวมไปถึงลำคอขาวนวลยิ่งทำให้ทั้งร่างของนางงามเลิศล้ำเกินใคร
โดยเฉพาะหน้าอกที่นูนเด่นอยู่ใต้เสื้อเกราะ รวมไปถึงสะโพกแน่นตึงเว้างอนจนเป็นทรงน้ำเต้านั้นก็ยิ่งขับเน้นให้สะโพกของนางกลมกลึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ขาทั้งคู่ก็ยิ่งเพรียวยาวน่าหลงใหล
ลำพังเพียงแค่รูปร่างหน้าตา สตรีธุลีแดงคนนี้ก็ไม่เป็นรองเฉินม่านเหยาเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าเฉินม่านเหยาเหมือนดอกกล้วยไม้ ส่วนสตรีธุลีแดงกลับเหมือนดอกกุหลาบ
หากระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับสตรีธุลีแดงไม่เคยเกิดเรื่องที่กำแพงเมืองและวังใต้ดินมาก่อน หรือเขาคือป๋ายฮ่าวตัวจริง ถ้าเช่นนั้นเมื่อเจอกับสาวงามเช่นนี้ ทั้งอีกฝ่ายยังมีตบะคนฟ้า และเป็นถึงว่าที่ภรรยาของตน เขาก็น่าจะปลาบปลื้มดีใจอย่างมาก ทว่าตอนนี้ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหวาดหวั่นวุ่นวาย รู้สึกเพียงฟ้าดินมืดดำ ไม่ได้มองเห็นสตรีธุลีแดงผู้นี้เป็นโฉมสะคราญอีกต่อไป แต่มองเป็นเหมือนสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ เป็นเหมือนผีห่าซาตานตนหนึ่ง
ขณะที่ในใจของทุกคนถูกเขย่าคลอนไปด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสตรีธุลีแดงกับราชาผียักษ์จนจำต้องแอบดูเรื่องสนุก สตรีธุลีแดงกลับยิ่งมีสีหน้ามืดทะมึน ความอับอายพานมาเป็นความโกรธที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่า เจ้าคือป๋ายฮ่าว?” เสียงนี้แม้ไม่ดัง ทว่าพลานุภาพสยบของคนฟ้ากลับเหมือนส่งผลกระทบต่อความว่างเปล่ารอบด้าน ทำให้เมฆและลมที่เปลี่ยนสีเหมือนจะกระโชกมาปะทะใบหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเอ่ยปากคอสั่น
“จื่อโม่ เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น ทว่ายังไม่ทันกล่าวจบ ในดวงตาของสตรีธุลีแดงกลับมีความรังเกียจรุนแรงฉายชัด เสียงนั้นประหนึ่งหิมะในวันที่หนาวที่สุดซึ่งดังก้องไปรอบด้าน
“เจ้าก็คือป๋ายฮ่าวที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ดังกระฉ่อนไปทั่วว่าแย่งเมียผู้อื่น ไม่นับญาติกับผู้ใด?” สตรีธุลีแดงได้ยินข่าวลือหลายอย่างเกี่ยวกับป๋ายฮ่าว โดยเฉพาะเรื่องที่อีกฝ่ายแย่งเมียคนอื่นที่ยิ่งทำให้นางเดียดฉันท์
“เรื่องนั้นหวังเหย่ให้ข้าเป็นคนทำ” ป๋ายเสี่ยวฉุนอธิบายอย่างไม่ยอมแพ้ ในใจก็ยิ่งด่ากราดว่าคนที่ชอบแย่งเมียคนอื่นนั้นไม่ใช่ข้า แต่เป็นพ่อของเจ้า
“หุบปาก! บิดาของข้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ตรงไปตรงมา ชื่อเสียงมีแต่ในทางที่ดี แต่คนอย่างเจ้าต่างหากที่ชั่วช้า เป็นภัยต่อประชาบ้านเมือง จิตใจมืดดำต่ำตม เป็นตัวหายนะทำลายความดี!” สตรีธุลีแดงกัดฟันพูด ในเมื่อตัวตนถูกเปิดโปงไปแล้ว นางก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรอีก ทว่ากลับยิ่งรังเกียจชิงชังป๋ายฮ่าวผู้นี้มากขึ้น นางสะบัดปลายแขนเสื้ออย่างแรง แถมน้ำเสียงก็ยิ่งเย็นเป็นน้ำแข็ง
“ส่วนเรื่องการแต่งงานที่บิดาของข้าพูดถึง เจ้าอย่าได้พูดมันขึ้นมาอีก เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะกลายมาเป็นคู่บำเพ็ญตนของข้า จงทำตัวดีๆ อยู่ในค่ายทหารแห่งนี้ หากเจ้าทำระยำตัดบอน ข้าจะตัดหัวเจ้าทันที!”
สตรีธุลีแดงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับป๋ายฮ่าวมาก่อน การที่บิดาของตนถึงกับยกนางให้ป๋ายฮ่าวผู้นี้ทำให้นางไม่พอใจอย่างยิ่งยวด ถ้อยคำที่ใช้จึงรุนแรงเด็ดขาด กล่าวจบก็ไม่สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอีก หมุนตัวได้ก็เดินเข้าไปในกระโจมใหญ่ทันที
พวกองค์รักษ์ที่อยู่รอบด้านต่างก็พากันหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าเหยเก
“ไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เริ่มเข้าใจได้ว่าตัวตนของตัวเองไม่ได้ถูกเปิดโปง สตรีธุลีแดงผู้นี้ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา นั่นจึงทำให้เขาคลายใจได้ทันที แม้ว่าจะยังหวาดผวาอยู่บ้าง แต่กลับอดรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงไม่ได้ ร่างของเขาจึงสั่นสะท้าน ลมหายใจก็ยิ่งถี่กระชั้น
“นางจำข้าไม่ได้ แถมยังกลายมาเป็นว่าที่ภรรยาของข้าด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้รุนแรงต่อความรู้สึกเกินไป ทำเอาเขาปากคอแห้งผาก คิดถึงท่าทางของสตรีธุลีแดงก่อนหน้านี้ สมองของเขาก็หมุนเร็วจี๋ทันที
“หากมองตามนี้ ท่าทางของนางก่อนหน้านี้ก็คือคิดจะข่มขู่ข้า ขณะเดียวกันก็คิดปฏิเสธงานแต่งที่หวังเหย่ประทานให้ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ นางย่อมไม่กล้าทำอะไรข้า เบื้องหลังของข้ามีพ่อนางคอยหนุนให้ แต่เรื่องนี้ก็พูดยาก กลัวแต่จะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น”
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็อยู่ในค่ายผียักษ์นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว แม้เรื่องนี้จะกระตุ้นอารมณ์ไปบ้าง แต่ก็อันตรายเกินไป หากไม่ระวังแม้เพียงนิด ชีวิตน้อยๆ ก็จะบินหายไปทันที นี่มันรังโจรชัดๆ เลยนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รีบหมุนกายจากไปทันที ตอนนี้หัวใจเขาเต้นดัง “ตุ้บๆๆ” ภาพเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจนเขาปรับตัวไม่ทัน เลยยังตื่นตระหนกไม่คลาย
แต่ยังเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เบื้องหลังกลับมีเสียงห้อทะยานดังตามมา องค์รักษ์หญิงที่นำทางให้เขาก่อนหน้านี้ตามมาทันแล้ว
“ผู้กำกับป๋าย เจ้าเดินผิดทางแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปยังที่พักเอง” องค์รักษ์หญิงพูดเสียงเย็นเยียบ แม้ตบะของนางจะไม่สูง แต่นางเป็นถึงองค์รักษ์คนใกล้ชิดของแม่ทัพใหญ่ แน่นอนว่าย่อมมีอำนาจอยู่ในค่ายทหารแห่งนี้
“ไม่ไปแล้ว ในเมื่อแม่ทัพใหญ่ไม่ยอมรับข้าผู้แซ่ป๋าย ข้าผู้แซ่ป๋ายไปก็ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าอีกฝ่ายจะขัดขวางไม่ให้ตัวเองจากไป ใจก็หายวาบ แต่ภายนอกกลับเอ่ยเสียงเรียบเฉย วางมาดเย่อหยิ่งขุ่นเคือง
“เรื่องนี้ผู้กำกับการป๋ายไม่ใช่คนตัดสินใจ แม่ทัพใหญ่บอกว่าเจ้าต้องอยู่ในค่าย ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าขัดคำสั่งของนางจะดีกว่า” องค์รักษ์หญิงเอ่ยเสียงนิ่งเฉย คำพูดของนางเพิ่งดังออกมา รอบด้านก็มีผู้ฝึกวิญญาณจำนวนไม่น้อยหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ราวกับว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนกล้าขัดคำสั่ง พวกเขาก็จะลงมือทันที
“บังอาจ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาตวาดกร้าว แอบโมโหอยู่ในใจ มองพวกองค์รักษ์ที่อยู่รอบด้านก็สัมผัสได้ว่าตอนนี้มีปราณของคนไม่น้อยเล็งนิ่งมาที่ตัวเอง
“ขอผู้กำกับการป๋ายโปรดอย่าทำให้พวกข้าลำบากใจ เชิญ!” องค์รักษ์หญิงไม่ได้สนใจท่าทีของป๋ายเสี่ยวฉุน นางยังคงเอ่ยเรียบๆ ดังเดิม
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มอยู่กับตัวเอง เขาไม่อยากอยู่ที่นี่จริงๆ ในใจจึงร้อนรน คิดไม่ตกอยู่พักใหญ่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คิดขึ้นได้ว่าเบื้องหลังตัวเองมีราชาผียักษ์รวมไปถึงตราผนึกระหว่างพวกเขา แม้ตราผนึกนั้นจะหายไปแล้วเกินครึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง อีกอย่างครั้งนี้เขาก็ได้รับคำสั่งให้มาช่วยสตรีธุลีแดง ในด้านของการรักษาชีวิตให้ปลอดภัยก็น่าจะมีการรับประกันที่แน่นอน
“นางไม่รู้ว่าข้าคือป๋ายเสี่ยวฉุน อีกอย่างเมื่อครู่นี้ข้าตื่นเต้นเลยเสียมาดไปหน่อย ยิ่งข้าก้มหัวให้ นางก็ยิ่งแข็งข่ม ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรอาศัยโอกาสนี้ทำตัวต่อต้านนางเสียเลย วันนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไปจากที่นี่ให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก ดังนั้นจึงแอบหยิบแผ่นหยกออกมาส่งข้อความเสียงให้ราชาผียักษ์
“ราชาผียักษ์ ลูกสาวของเจ้าจะฆ่าข้า นี่น่ะหรืองานแต่งที่เจ้าจัดหามาให้ข้า? ข้าใกล้จะตายอยู่แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่งข้อความเสียงจบก็ไม่รอการตอบรับจากทางฝั่งนั้น เขาพลันเงยหน้าขึ้น บนร่างเผยปราณดุร้ายเหี้ยมเกรียม มองไปยังกระโจมใหญ่สีแดงที่ห่างไปไกลแล้วตะโกนดังลั่น
“แม่ทัพใหญ่!! เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าไง!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังราวฟ้าผ่า สะท้อนอยู่ในค่ายทหาร ทำให้ผู้ฝึกวิญญาณมากมายดวงตาแน่วนิ่ง
“แม่ทัพใหญ่ไม่ยอมรับงานแต่งที่ราชาผียักษ์จัดให้ เรื่องนี้ข้าผู้แซ่ป๋ายไม่มีความเห็น แต่ข้าผู้แซ่ป๋ายเป็นถึงผู้กำกับการใหญ่ของนครผียักษ์ แม้แต่สิทธิ์จะไปจากค่ายทหารของเจ้าก็ยังไม่มีงั้นรึ?! ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษหากข้าผู้แซ่ป๋ายจะบุกออกไป!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนแฝงไว้ด้วยความเดือดดาล ตบะก่อกำเนิดก็ยิ่งแผ่ออกมา ทำท่าประมาณว่าหากพูดไม่เข้าหูคำเดียวจะเปิดฉากสังหารทันที แต่กลับแอบมองประเมินกระโจมสีแดงหลังนั้นอยู่เงียบๆ
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเดินผ่านสนามรักมานานหลายปี สร้างสรรค์คาถาคำว่าชนะขึ้นมาเอง ได้รับจดหมายรักจำนวนนับไม่ถ้วน กะอีแค่สตรีธุลีแดงคนเดียว ข้าเปลี่ยนวิธีเข้าหน่อย ดูสิว่าเจ้าจะรับมือยังไง!”