บทที่ 742 บุกเบิกโฉมหน้าใหม่
ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังใคร่ครวญอนุมาน
ทว่าเนื่องจากเห็นว่ารอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุนล้อมวนไปด้วยไฟสิบหกสี เสียงเอ็ดอึงของคนรอบด้านที่ระงับไว้ก่อนหน้านี้จึงพลันระเบิดออกมาอีกครั้ง
“ทะเลเพลิงสิบหกสีเขียวนะ ป๋ายฮ่าวผู้นี้แค่รวมไฟขั้นสุดท้ายเขาก็สามารถหลอมไฟสิบหกสีได้สองชุดแล้ว!!”
“เทพในเทพ บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีใครหลอมไฟได้งดงามตระการตาขนาดนี้!!”
“หรือว่า นี่คือขอบเขตของการผสานรวมไฟอย่างที่พูดกันในตำนาน?” คนรอบทิศฮือฮาเซ็งแซ่ไม่หยุด เพราะคราวนี้จิตใจของพวกเขาถูกทำให้สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรงเกินไป
เสียงจอแจโหวกเหวกของคนแสนกว่าคนเป็นเหมือนเสียงฟ้าคำรณที่ดังครืนครั่นผ่านมาเป็นระลอก ยังดีที่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกห้อมล้อมไว้ด้วยทะเลเพลิง ตลอดทั้งกายและใจจึงจมจ่อมอยู่ท่ามกลางการอนุมาน ตัดขาดกับโลกภายนอกไปนานแล้ว หาไม่แล้ว เกรงว่าเขาคงถูกเสียงเหล่านั้นทำให้ตกใจจนตื่นจากภวังค์ และหากตอนนี้เขาตื่นขึ้นมา เขาต้องหงุดหงิดอย่างถึงที่สุดแน่นอน
นัยน์ตาโจวหงมีประกายแสงดำมืดวาบผ่าน พวกเสี่ยวหลางเสินเองก็ไม่ต่างกัน พวกเขาเป็นถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ตอนนี้จึงต่างก็มองออกถึงความผิดปกติของป๋ายเสี่ยวฉุน ใจอยากจะขัดจังหวะอีกฝ่าย แต่พอนึกว่าหากไปขัดการครุ่นคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ ไม่เพียงแต่จะถูกคนมากมายรุมประณาม อีกทั้งอาจเป็นเหตุให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่บ้าคลั่งทำเรื่องอะไรที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็เป็นได้ ดังนั้นจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดนั้นอย่างขัดใจ
“สมควรตายนัก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เวลาพวกเราจะลงมือกับใครสักคนแล้วต้องเป็นกังวลขนาดนี้!” หลี่เทียนเซิ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่กลับได้แค่สบถบ่นอยู่ในใจเท่านั้น พอเห็นว่าประกายแสงในดวงตาของโจวหงมืดสลัวลงไป เขาจึงรู้ดีว่าขนาดโจวหงยังไม่กล้า แล้วตนจะมีปัญญาเอาความกล้าหาญที่ไหนไปขัดจังหวะอีกฝ่ายได้
“นี่มันคนบ้าชัดๆ ข้าใช้เล่ห์กลลงมือกับเขาได้ก็จริง แต่หากขัดจังหวะการทำความเข้าใจของเขาตอนนี้ ด้วยความบ้าคลั่ง คนผู้นี้ก็อาจจะลงมือทำเรื่องมุทะลุแหวกฟ้าโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดก็เป็นได้” โจวหงขมขื่น ถอนหายใจส่ายหัว เพราะการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนในกาหลอมวิญญาณทำให้ครึกโครมกันไปทั้งแดนทุรกันดาร ทั้งยังทิ้งเงาดำมืดที่ยากจะลบเลือนไว้ให้กับพวกเขาอย่างแท้จริง
และขณะที่พวกโจวหงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาที่อยู่ด้านล่างพลันเผยความสิ้นหวังออกมาทางดวงตา พวกเขาเป็นขั้นสีดำ ย่อมมองออกได้แม่นยำยิ่งกว่าคนอื่น พวกเขาวิเคราะห์ได้แล้วว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในขอบเขตเช่นนี้ พวกเขาไม่สามารถเทียบเคียงได้เลย
ไฟสิบหกสีที่ล้อมวนรอบกายของเขา คนอื่นอาจรู้สึกว่ายังต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรวมไฟ แต่พวกเขาสองคนมองออกตั้งนานแล้วว่า การควบคุมไฟสิบหกสีของป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ได้อยู่ในระดับที่ทำให้พวกเขารู้สึกเหลือเชื่อ จินตนาการไม่ถึง หรืออาจเรียกว่าถึงขั้นสะท้านฟ้าเขย่าดินไปแล้ว นั่นคือการควบคุมได้อย่างเต็มร้อย แค่หนึ่งความคิดก็ทำให้เขาอยู่ในขอบเขตของการรวมไฟได้!
“จะแข่งกันได้อย่างไร” ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาที่ต่อให้จะขมขื่น ทว่ากลับไม่ยอมแพ้ ดวงตาของคนทั้งสองค่อยๆ แดงฉาน มองไฟสิบห้าสีในมือที่หลอมสำเร็จเป็นชุดที่สี่ เวลานี้วิธีการที่เหลืออยู่ตรงหน้าพวกเขามีแค่วิธีเดียวเท่านั้น
สู้สุดชีวิต!!
สู้กับการลองเสี่ยงดวงโดยการเลื่อนขั้นไฟสิบห้าสีสี่กองนี้ หากโชคดี ไม่แน่ว่าอาจสร้างไฟสิบหกสีสามกองได้ก่อนอีกฝ่าย
แม้โอกาสจะน้อยนิด ทว่ากลับเป็นหนทางเดียวที่พวกเขามีอยู่
“สู้ตาย!!” ซุนอี้ฝานที่ตาแดงก่ำกัดฟันกรอด ซือหม่าเทาเองก็ตาแดงฉานเป็นสีเลือด คล้ายคนที่กำลังดิ้นรนต่อต้านกับความตาย เตรียมจะลองเดิมพันดูสักตั้ง
ทว่าขณะที่พวกเขาตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดนั้นเอง ทางฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงดังอย่างคนเสียสติ มือและเท้าโบกเป็นระวิง สีหน้าก็ยิ่งเผยความฮึกเหิม ลิงโลดผิดปกติ
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้ากระจ่างแล้ว วิธีนี้ใช้ได้!! ข้าต้องลองดู ข้าต้องลองดูให้ได้!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด ในสมองของเขากำลังครุ่นคิดถึงตำรับไฟสิบแปดสีที่ลูกศิษย์ตัวเองเคยพูดถึง ซึ่งก็คือวิธีการสองรูปแบบที่อีกฝ่ายศึกษาออกมา!
หนึ่งคือใช้ไฟสิบเจ็ดสีจำนวนมากมาแปรสภาพ ในบางระดับนี่ถือเป็นการสร้างสรรค์แบบใหม่แล้ว เนื่องจากวิญญาณพยาบาทไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญคือไฟสิบเจ็ดสี
อีกวิธีหนึ่งก็คือให้ไฟหลายสีอยู่ในสภาพของทะเลเพลิงแล้วเพิ่มสีเข้าไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งได้สิบแปดสีแล้วค่อยรวมไฟในท้ายที่สุด
วิธีการนี้น่าตะลึงยิ่งกว่าวิธีการแรกเสียอีก เรียกได้ว่าเป็นความสร้างสรรค์แบบพลิกฟ้าพลิกดิน พลิกตลบวิธีการหลอมไฟแบบดั้งเดิมทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง
เพราะอย่างไรซะตำรับหลอมไฟสิบแปดสีก็ถือได้ว่าหายากยิ่ง ขนาดราชาผียักษ์ก็ยังไม่มีอยู่ในครอบครอง น้อยยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน และหากหลอมไฟสิบแปดสีได้สำเร็จเมื่อไหร่ก็หมายความว่า เขาจะได้กลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินของแดนทุรกันดารแห่งนี้ที่มีน้อยยิ่งกว่าน้อย!!
ไม่ว่าชั้นดินคนไหน ระดับความสูงของฐานะก็ไม่อ่อนด้อยไปกว่าราชาสวรรค์เลยแม้แต่น้อย เพราะว่าตลอดทั้งแดนทุรกันดารในทุกวันนี้ อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินมีเพียงแค่สามคน น้อยยิ่งกว่าครึ่งเทพเสียอีก
ยามนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมอย่างไร้คำบรรยาย เขาปรับลมหายของตัวเองให้สงบ ไม่ได้คิดอะไรมากนัก และก็ลืมไปนานแล้วว่าตัวเองกำลังอยู่ในการแข่งขัน พอความคิดบังเกิดก็ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที ทันใดนั้นไฟสิบหกสีที่อยู่รอบด้านก็พุ่งครั่นครืนเข้ามาใกล้แล้วรวมตัวกันอยู่กลางฝ่ามือของเขา กลายเป็นไฟสิบหกสีที่แท้จริง!
ยังไม่ทันรอให้ฝูงชนส่งเสียงฮือฮาหรือเอ่ยชม ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาก็ยังไม่ทันได้หลอมไฟสิบหกสี ทางฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังฮึกเหิมพลันถลันออกมา พอหันขวับไปมองทางซ้ายและขวาก็เห็นไฟสิบห้าสีที่ลอยอยู่ข้างกายซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาคนละสี่กอง
ดวงตาของเขาเป็นประกายในทันใด ยามนี้ร้อนใจอยากทดลองทำตามวิธีการในสมอง เขาจึงไม่ได้สนใจซุนอี้ฝานและซือหม่าเทา เพียงปรี่ขึ้นหน้าเข้าไปใกล้ในเสี้ยววินาที ก่อนจะสะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง พลังมหาศาลขุมหนึ่งระเบิดตูมออกมา พลังก่อกำเนิดวิถีฟ้าก็ยิ่งแผ่กระจายกลายมาเป็นพายุลูกหนึ่งที่มิอาจถูกสั่นคลอน พายุนั้นหมุนคว้างรุนแรง ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทายังไม่ทันได้ป้องกันก็ถูกพายุลูกนี้ม้วนร่างให้กระเด็นลิ่วออกไปจากพื้นที่ใจกลางการประลองครั้งนี้
“ป๋ายฮ่าว เจ้าทำอะไร!!”
“ป๋ายฮ่าว!!” มุมปากของคนทั้งสองมีเลือดสดไหลซึม มึนงงไปกับการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงเกรียวกราวของผู้คนที่อยู่รอบด้านซึ่งเพิ่งจะเริ่มดังขึ้นพลันขาดหายไปกลางคัน ทุกคนงงงันกันหมด มีเพียงวิญญาณป๋ายฮ่าวเท่านั้นที่ดวงตาเป็นประกายสดใส แอบเดาได้ว่าอาจารย์จะทำอะไร จึงรู้สึกคึกคักตื่นเต้นอย่างห้ามไม่ได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ยินคำพูดของซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาแม้แต่น้อย เวลานี้ในสายตาของเขามีเพียงไฟสิบห้าสีแปดกองที่คนทั้งสองทิ้งเอาไว้ ไม่แยแสเสียงร้องเดือดดาลของคนทั้งสอง เพียงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ไฟสิบห้าสีทั้งหมดของซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาก็ถูกเขารวบเก็บเอาไป
ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบเบิกตาถลน มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเหลือเชื่อ
“ป๋ายฮ่าวเขาคิดจะทำอะไร!”
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
“พวกเขาไม่ได้กำลังแข่งขันกันอยู่หรอกหรือ ทำไมจู่ๆ ถึงลงไม้ลงมือ แถมยังแย่งไฟของชาวบ้านเขาด้วย แล้วทีนี้จะแข่งกันยังไงล่ะนี่” ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาต่างก็คำรามเกรี้ยวกราดไม่หยุด ทว่าในใจกลับผ่อนลมหายใจ แถมยังแอบดีใจ การกระทำครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนช่วยคลี่คลายความกระอักกระอ่วนและอารมณ์กลัดกลุ้มของพวกเขาได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเปิดโอกาสให้พวกเขาย้อนกลับไปเล่นงานอีกฝ่ายได้
แม้แต่พวกโจวหงก็ยังปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งเมี่ยวหลินเอ๋อร์นั้นถึงกับน้ำตาไหลพราก ดีใจจนมิอาจควบคุมตัวเองได้ แอบพูดในใจตัวเองว่าเจ้าป๋ายฮ่าวผู้นี้เป็นฝ่ายกระทำการชั่วช้าเสียเอง ต่อให้ได้เปรียบแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านแน่นอน!
เฉินม่านเหยาที่มองดูอยู่รู้สึกร้อนรนอย่างถึงที่สุด ทว่าเรื่องเกิดขึ้นแล้ว นางมิอาจแก้ไขอะไรได้อีก และขณะที่ทุกคนตะลึงลานไปกับการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุน ทันใดนั้นไฟสิบหกสีสองกองในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันแผ่กระจายออกมา ทั้งยังผสานรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
เดิมทีทะเลเพลิงสิบหกสีผืนหนึ่งก็น่าตะลึงมากพออยู่แล้ว ตอนนี้ไฟสองกองมาทับซ้อนเข้าด้วยกันก็ยิ่งแผ่กระจายปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า คนทั้งหมดรู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่พุ่งมาปะทะใบหน้า แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีพลางถอยกรูดอย่างรวดเร็ว ทำให้พื้นที่ใจกลางขยายเป็นวงกว้างกว่าเดิม
“ข้าต้องการไฟสิบหกสีสิบกอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ นัยน์ตาเผยความบ้าคลั่ง หลังจากที่ไฟสิบหกสีนี้แผ่กระจายออกไป เขาก็เอาไฟสิบห้าสีแปดกองนั้นผสานรวมเข้าไปกับทะเลเพลิงไฟสิบหกสีตามความรู้สึกและแรงบันดาลใจที่ผุดขึ้นมาในสมอง
พริบตานั้นเสียงกัมปนาทก็ดังเขย่าคลอนท้องฟ้า ทะเลเพลิงนี้พลันขยายใหญ่กว่าเดิมอีกหลายเท่า สะเทือนเลือนลั่นปฐพี ต่อให้ห่างไปไกลมากก็ยังเห็นแสงกองเพลิงสาดส่องแดงโร่ไปทั่วผืนฟ้า
ผู้คนรอบด้านร้องเสียงหลงด้วยความตะลึงพรึงเพริด ถอยร่นออกห่างไปอีกครั้ง พากันอกสั่นขวัญผวา แม้แต่ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาก็ยังหมดสิ้นซึ่งความดีใจ แทนที่มาด้วยความรู้สึกชาไปทั้งหนังหัวเพราะการกระทำนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน
“เขาคิดจะทำอะไร!!”
“สวรรค์ หากทะเลเพลิงนี้เกิดความไม่มั่นคงขึ้นมา แล้วถ้ามันระเบิดออก แบบนั้นล่ะเกิดเรื่องใหญ่แน่!!”
คนจำนวนนับไม่ถ้วนร้องอุทานด้วยความพรั่นพรึง พวกทหารองค์รักษ์ของนครจักรพรรดิขุยที่เฝ้าอยู่รอบด้านก็ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง พวกเขารีบพุ่งทะยานมาโอบล้อมรอบด้านไว้อย่างหนาแน่น ด้านหนึ่งก็เพื่อระงับเสียงเอ็ดอึงของผู้คน อีกด้านหนึ่งก็รีบวางค่ายกลปกคลุมป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ภายในอย่างรวดเร็ว
พวกเขาไม่กล้ารบกวนป๋ายเสี่ยวฉุน กลัวว่าหากไปรบกวนแล้วทะเลเพลิงระเบิดขึ้นมา คราวนี้คงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ขณะเดียวกันพวกเขาก็รีบรายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนทราบด้วย
โจวหงดวงตาเปล่งแสงวาบ ทำท่าจะลงมือขัดขวางอีกฝ่าย ทว่าก็ล้มเลิกความคิดไปอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ไม่กล้าเล่นตุกติกตอนนี้เหมือนกัน หาไม่แล้ว เขาก็คงเจอปัญหาใหญ่แน่นอน
และขณะที่ทุกคนกำลังตึงเครียด มือทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในค่ายกลทำมุทราว่องไวควบคุมทะเลเพลิงเอาไว้ เมื่ออยู่ในมือเขา ทะเลเพลิงผืนนั้นกลับว่าง่ายอย่างถึงที่สุดเหมือนมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง มันล้อมวนไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเขมือบกลืนไฟสิบห้าสีแปดกลุ่มไปอย่างช้าๆ ไม่นานก็ผสานรวมไฟสิบห้าสีทั้งแปดกองให้เข้าไปอยู่ในทะเลเพลิงอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็ล้วนกลายมาเป็นไฟสิบหกสี!!
เพียงแต่ว่าปริมาณของไฟสิบหกสีนี้น่าหวาดหวั่นเกินไป ทำเอาทุกคนที่มองดูอยู่ใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าเสียงร้องอุทานตกใจก็ยังคงดังออกมาไม่ขาดสาย
“ไฟสิบหกสี นี่มันถึงกับกลายมาเป็นไฟสิบหกสี!!”
“แค่รวมไฟ ป๋ายฮ่าวก็สร้างไฟสิบหกสีได้ถึงสิบกอง สวรรค์ นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร!!”
สีหน้าของซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาราวขี้เถ้ามอด พวกเขายืนบื้ออยู่ตรงนั้น เหม่อมองทะเลเพลิงสิบหกสีที่น่าตะลึงพร้อมเสียงดังอื้ออึงในสมอง แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ยังไม่สิ้นสุด!