บทที่ 745 มาอีกแล้ว
เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุน ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาพากันจากไป ทุกคนที่อยู่รอบด้านซึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์ก็ทยอยกันแยกย้าย อารมณ์ของพวกเขายังคงตื่นเต้น ขณะที่จากไปจึงหยิบเอาหยกส่งข้อความเสียงออกมาเล่าเรื่องความน่าตะลึงในวันนี้ให้กับญาติมิตรฟัง
สามารถจินตนาการได้เลยว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ ในนครจักรพรรดิขุยแห่งนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องกลายมาเป็นคนที่ไม่มีใครไม่รู้จักแน่นอน!
เพียงแต่ถ้อยคำรื่นไหลและการจัดการเรื่องราวที่ทำให้คนอื่นชื่นชมในช่วงสุดท้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน กลับทำให้ดวงตาของเฉินม่านเหยาที่มั่นใจในตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนถึงแปดส่วนแต่ยังมีความลังเลเผยประกายประหลาด
“ผิดปกติ…”
“ในความทรงจำของข้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็วางตัวเช่นนี้เหมือนกัน เขารื่นไหลอย่างมาก ทั้งยังเชี่ยวชาญการคลี่คลายความเป็นปฏิปักษ์ของคนอื่น…ครานั้นข้อพิพาทระหว่างสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพที่ไม่ว่าใครก็ล้วนมองว่าต้องเกิดศึกนองเลือด ก็ยังถูกป๋ายเสี่ยวฉุนคลี่คลายได้…” ในใจเฉินม่านเหยาเกิดความลังเลอีกครั้ง ก่อนจะจากไปอย่างเงียบเชียบตามกลุ่มฝูงชน ทว่าขณะที่นางเดินอยู่บนเส้นทางกลับไปยังที่พัก ยังไม่ทันถึงบ้านตัวเองดี ฝีเท้าของนางกลับชะงักค้าง นัยน์ตาพลันทอแสงสดใส
“ยังมีปัญหาเรื่องยาวิญญาณนั้นอีก หากเป็นฝีมือของคนผู้นี้จริงๆ ก็นับว่าสอดคล้องกันไม่น้อย…เพราะอย่างไรซะตอนอยู่สำนักธาราโลหิต ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เคยได้ฉายาว่ามารโรคห่า…”
“และเบาะแสที่สำคัญที่สุดก็คือ วิธีการครั้งนี้ของเขาเหมือนกับที่พรรคท้องฟ้าในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเคยเล่นงานเขาแทบไม่มีผิดเพี้ยน!!”
หน้าอกของเฉินม่านเหยากระเพื่อมไหวรุนแรง นึกถึงภาพเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนในกาหลอมวิญญาณ รวมไปถึงการแสดงออกตอนที่ตนหยั่งเชิงอีกฝ่าย และยังมีวิธีการวางตัวของเขาก่อนหน้านี้ บวกกับวิธีเล่นงานเดียวกันกับพรรคท้องฟ้า เมื่อทั้งหมดนี้ทับซ้อนเข้าด้วยกัน เฉินม่านเหยาก็ยิ้มออกทันที
เดิมทีนางก็สวยอยู่แล้ว พอยิ้มอย่างนี้ก็ราวกับร้อยบุปผาผลิบานอยู่ทั่วถนนรอบกายนาง ทำเอาคนที่ได้เห็นรอยยิ้มของนางต่างก็ตาลุกวาว
“เขา…ต้องใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนแน่นอน!!” ในใจของเฉินม่านเหยาปิติยินดีอย่างยิ่งยวด นางผินหน้ามองไปยังร้านของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่แปดสิบเก้า แค่นเสียงเบาๆ ในลำคอหนึ่งครั้งก็พกพาเอาอารมณ์ดีใจก้าวเร็วๆ จากไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่รู้ว่าเพราะความรื่นไหลและการทำตามประสบการณ์ในอดีตของตัวเองได้ทำให้ตัวตนของเขาเปิดเผยแล้ว หากเขารู้เข้า เขาต้องขนลุกขนชัน รู้สึกว่าผู้หญิงนั้นน่ากลัวเกินไป ความสามารถในการสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของพวกนางทำให้ผู้ชายป้องกันตัวไม่ได้เลย…
เขาในเวลานี้กำลังพูดคุยอย่างเบิกบานอยู่กับซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาในร้านของตัวเอง คนทั้งสามแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเคล็ดลับในการหลอมไฟของใครของมัน ยิ่งคุยกันก็ยิ่งฮึกเหิม บางครั้งเสียงหัวเราะรื่นเริงที่ดังออกมาก็ทำให้คนในร้านรวงรอบด้านพากันปลงอนิจจังไม่หยุด
จนกระทั่งวันที่สองมาถึงซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาถึงได้ประสานมือบอกลา
ป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาจากไปพร้อมความพอใจและความรู้ใหม่ที่ได้รับ และก่อนจะจากไปยังได้เชิญชวนให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปที่นครเก้านรกภูมิและนครเทพจุติ พวกเขาสองคนพร้อมจะให้การต้อนรับขับสู้อย่างดี
ป๋ายเสี่ยวฉุนรับปากเต็มปากเต็มคำ ซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาถึงได้ยอมจากไป ส่วนเรื่องร้านของพวกเขา คนทั้งสองไม่แม้แต่จะชายตามอง พอกลายร่างเป็นรุ้งยาวได้ก็ตรงดิ่งไปยังที่ตั้งของค่ายกลนำส่งทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองส่งคนทั้งสองจากไปด้วยความปลดปลง การพูดคุยตลอดคืนนี้ สำหรับซุนอี้ฝานและซือหม่าเทาสองคนนับว่าได้ผลเก็บเกี่ยวไปไม่น้อย ทว่าสำหรับเขาแล้วก็นับว่าได้รับผลประโยชน์มากมหาศาลไม่ต่างกัน วิญญาณของป๋ายฮ่าวติดตามอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนตลอดเวลา พอได้ฟังการพูดคุยเรื่องวิถีหลอมยาของคนทั้งสาม เขาเองก็ประจักษ์แจ้งในหลายๆ ด้าน
และเขาก็ยิ่งเลื่อมใสในการวางตัวของอาจารย์ตัวเองมากขึ้น จุดนี้เขารู้สึกว่าตนสู้อาจารย์ไม่ได้เลย แอบพูดกับตัวเองว่าหากตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ในตระกูลป๋ายแล้วเขาวางตัวแบบอาจารย์ เกรงว่าไม่ว่าจะเป็นสภาพการณ์หรืออนาคตของเขาก็คงต่างไปจากนี้
ขณะที่กำลังปลงตก อาจารย์และศิษย์สองคนก็กลับเข้ามาในร้านอีกครั้ง ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วเจ็ดแปดวัน เวลาเจ็ดแปดวันมานี้อาจารย์และศิษย์สองคนได้พูดคุยกันหลายครั้ง พวกเขาร่วมกันศึกษาและปรึกษาปัญหากันเป็นระยะ
ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเข้าใจไฟสิบเจ็ดสีทะลุปรุโปร่งมากขึ้น ทางฝ่ายวิญญาณป๋ายฮ่าวก็ยิ่งแก้ไขตำรับไฟสิบแปดสีได้สมบูรณ์แบบกว่าเดิม
ขณะเดียวกันกิจการของร้านก็รุ่งเรืองพรวดพราดตามไปด้วย สามารถพูดได้ว่าทุกอย่างล้วนพัฒนาไปในทางที่ดี ป๋ายเสี่ยวฉุนพึงพอใจ ความรู้สึกที่ว่าร้านนี้เป็นที่พักพิงของตนก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกไม่น้อย
นั่นเป็นเพราะหลังจากที่พวกเขาอาจารย์และศิษย์สองคนได้ผ่านการต่อสู้ด้วยสติปัญญาด้วยความกล้าหาญกับคนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงได้ทำให้ร้านนี้ที่เป็นเพียงร้านหนึ่งซึ่งร่อแร่เต็มทนพัฒนามาจนกลายเป็นร้านที่คนทั้งเมืองรู้จัก
แม้ระยะเวลาจะไม่นาน แต่พวกเขากลับประสบพบเจออุปสรรคมากมาย คราใดที่นึกถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องถอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังไปเสียทุกครั้ง
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับค้นพบว่าชะตาชีวิตของเขาถูกกำหนดมาให้เป็นคนที่ไม่สามารถดื่มด่ำกับชีวิตที่เงียบสงบได้ เพราะทุกครั้งที่เขาลำพองใจ พึงพอใจ มักจะต้องมีเรื่องไม่คาดฝันหลากหลายรูปแบบปรากฏขึ้นเสมอ…
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขายังพอใจได้ไม่ถึงสิบวันก็ต้องปวดหัวอีกครั้ง เพราะว่า…
เฉินม่านเหยามาเยือน
เมื่อสามวันก่อน เฉินม่านเหยาเดินเข้ามาในร้านของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นครั้งแรก ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังนอนฟุบไปกับโต๊ะมองดูเหมือนนอนหลับ แต่ความเป็นจริงแล้วในสมองกลับทบทวนตำรับไฟสิบเจ็ดสีพลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงเงยหน้าขึ้น พอเห็นว่าเป็นเฉินม่านเหยา เขาก็อึ้งงันไปทันที แถมในสมองยังเกิดเสียงดังอื้ออึง
เฉินม่านเหยาครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งมองป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ก็ไม่ได้พูดแฉตัวตนของเขา เพียงแค่บอกว่านางมาหลอมพลังจิต…
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาบูดบึ้ง ใจไม่อยากหลอมให้
แต่ดูจากท่าทางของเฉินม่านเหยาแล้วก็เห็นได้ชัดว่าหากเขาไม่ทำตามที่นางต้องการ นางคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ดังนั้นจึงฝืนใจรับปาก แต่วันที่สอง เฉินม่านเหยากลับมาเยือนอีกครั้ง…
ตอนนี้เป็นวันที่สาม ประตูร้านเพิ่งจะเปิดออก เรือนกายสะโอดสะอง ดวงหน้างามเป็นเอกของเฉินม่านเหยาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
“พี่หญิงเฉิน…ทำไมเจ้าถึงมาอีกแล้วเล่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบหน้าผาก ร้องคร่ำครวญ
“เรียกข้าว่าพี่หญิง? ก็ดี น้องป๋าย ทำไม…ไม่ต้อนรับข้าอย่างนั้นรึ?”
เฉินม่านเหยายืนอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน กลิ่นหอมสะอาดบนร่างของนางรวยรินเข้าจมูกของเขา แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่มีอารมณ์มาชื่นชมเคลิบเคลิ้ม ได้แต่มองเฉินม่านเหยาพร้อมยิ้มเฝื่อน
เขามองออกแล้วว่ามีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนที่เฉินม่านเหยาผู้นี้จะรู้ว่าตนเป็นใคร เพียงแต่อีกฝ่ายไม่พูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่กล้าพูดตรงๆ ได้แต่แกล้งโง่ต่อไป
เพียงแต่ทักษะการแสดงของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น หากอยู่ต่อหน้าคนอื่นคงไม่มีใครจับได้ ทว่าในสายตาของเฉินม่านเหยาที่มั่นใจเกือบเต็มร้อยแล้วว่าเขาเป็นใคร การแสดงนี้ของเขาจึงเต็มไปด้วยช่องโหว่มากมาย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกน่าสนใจ
และนางเองก็ดื่มด่ำกับความรู้สึกเช่นนี้มาก ทั้งยังไม่คิดจะเปิดโปงอีกฝ่าย ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง ได้แต่พยายามหลีกเลี่ยงเฉินม่านเหยาให้ได้มากที่สุด เพียงแต่เฉินม่านเหยาผู้นี้ไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย หากป๋ายเสี่ยวฉุนหนีหน้านาง นางก็จะถือโอกาสอยู่ในร้าน คอยช่วยวิญญาณป๋ายฮ่าวรับรองลูกค้า
และชื่อเสียงของเฉินม่านเหยาในนครจักรพรรดิขุยนั้นก็โด่งดังไม่แพ้กัน ไม่เพียงแต่เป็นลูกศิษย์ของต้าเทียนซือ ตัวนางเองยังเป็นโฉมสะคราญ ทำให้คนที่ตามจีบนางมีนับไม่ถ้วน ทว่าตอนนี้นางกลับมาปรากฏตัวอยู่ในร้านของป๋ายเสี่ยวฉุน…
หากเพียงแค่ปรากฏตัวก็ยังพอว่า แต่นางกลับดูแลลูกค้าอยู่ในร้านราวกับตัวเองเป็นเถ้าแก่เนี้ย นี่จึงทำให้ผู้ฝึกวิญญาณทุกคนที่ได้เห็นต่างก็ใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง มีความรู้ใหม่ต่อความร้ายกาจและความห้าวหาญของป๋ายเสี่ยวฉุน
ข่าวนี้แพร่ไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจ ไม่เพียงแต่เขาที่ตกใจ วิญญาณป๋ายฮ่าวเองก็เริ่มเครียด เดิมทีพวกเขาอาจารย์และศิษย์สองคนก็อยู่กันดีๆ แต่นี่จู่ๆ ดันมีผู้หญิงโผล่มาคนหนึ่ง
นางไม่เพียงแต่เป็นสาวงาม ทั้งดูจากสีหน้าของอาจารย์ตัวเอง ป๋ายฮ่าวก็มองออกว่ากับหญิงสาวคนนี้ อาจารย์มีความสัมพันธ์ที่แตกต่างกับคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด….
“หรือว่านี่จะเป็นอาจารย์แม่!” วิญญาณป๋ายฮ่าวคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งตื่นตระหนก แต่ก็ไม่แน่ใจนัก พอลองเลียบๆ เคียงๆ ถามป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่มีอารมณ์ตอบ เขากำลังหงุดหงิดใจเต็มที เพียงแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคาดไม่ถึงอีกครั้งก็คือ ความหงุดหงิดใจนี้ของเขา เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น…
เพราะว่าพอถึงวันที่แปดนับตั้งแต่เฉินม่านเหยามาเยือน ร้านของเขาก็มีผู้หญิงมาเพิ่มอีกหนึ่งคน
ผู้หญิงคนนี้ก็หน้าตาสวยงามเหมือนกัน เรือนกายก็ยิ่งอรชรอ้อนแอ้น ทั้งยังสวมถุงมือสีม่วงไว้บนมือที่ราวกับหยกเนื้อดี มองดูตัวเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม ทว่าบนร่างของนางกลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกถึงพลังที่เดือดพล่านรุนแรง…
หญิงดุดันคนนี้ก็คือองค์หญิงของนครเทพจุติ ซวี่ซาน!
ซวี่ซานนั้นปักใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก วันนั้นพอถูกราชาเทพจุติรับตัวไป นางยังเป็นฝ่ายเสนอให้ราชาเทพจุติไปพูดเรื่องแต่งงานกับป๋ายเสี่ยวฉุน…นี่ทำให้ราชาเทพจุติถึงกับอึ้งค้าง ขณะเดียวกันก็ยิ่งโมโหราชาผียักษ์เข้าไปอีก เพื่อให้ลูกสาวของตัวเองกลับตัวกลับใจ เขายังถึงขั้นสั่งกักบริเวณนางนานจนถึงวันนี้
ทว่าความยืนหยัดของซวี่ซานทำให้ราชาเทพจุติถึงกับจนคำพูด สุดท้ายนางยังแอบหนีออกมาจนได้ เดิมทีนางคิดจะไปหาป๋ายเสี่ยวฉุนที่นครผียักษ์ แต่ระหว่างทางกลับได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ที่นครจักรพรรดิขุย ดังนั้นจึงเปลี่ยนทิศทาง บุกมาหาเขาด้วยความตื่นเต้น…
และที่แตกต่างจากเฉินม่านเหยาก็คือ ซวี่ซานเป็นคนนิสัยรุนแรงตรงไปตรงมา พอเข้ามาในร้านของป๋ายเสี่ยวฉุน ชั่วขณะที่มองเห็นอีกฝ่าย นางก็ตะโกนออกมาดังลั่น
“ป๋ายฮ่าว ข้าชอบเจ้า!”
ประโยคนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนนึกอยากจะร้องไห้เต็มแก่ วิญญาณป๋ายฮ่าวก็ถึงกับตัวสั่น ในใจคร่ำครวญว่าชื่อของตัวเองถูกอาจารย์เอามาใช้จนป่นปี้แล้วจริงๆ …ส่วนเฉินม่านเหยาที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันขมวดคิ้วมุ่น