บทที่ 748 เสี่ยวฉุนโมโหเดือด
กลางดึก รัตติกาลที่มีดาวเดือนประดับฟ้าทำให้นครจักรพรรดิขุยใต้ม่านราตรีไม่มืดสลัว ยิ่งมีโคมไฟที่ส่องแสงวับแวมออกมาจากในสิ่งปลูกสร้างหลายแห่งช่วยขับดัน แม้จะไม่สว่างเจิดจ้าดั่งตอนกลางวัน ทว่าสำหรับเหล่านักพรตแล้ว แค่นี้ก็นับว่าชัดเจนมากพอ
ขณะที่เงาร่างหลายร้อยเงาในนครจักรพรรดิขุยได้ทยอยกันตรงดิ่งไปหาป๋ายเสี่ยวฉุน ประตูใหญ่ของร้านป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้ได้ปิดลงไปนานแล้ว เขากำลังศึกษาตำหรับไฟสิบเจ็ดสีอยู่ในห้องกับวิญญาณป๋ายฮ่าว
ไฟสิบเจ็ดสี ป๋ายเสี่ยวฉุนแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้หมดแล้ว ก่อนหน้านี้เคยปฏิบัติจริงมาแล้วหลายครั้ง แม้จะล้มเหลว ทว่าตอนนี้เขามีความมั่นใจมากพอแล้ว
การประจักษ์แจ้งในขอบเขตของการผสานรวมไฟจากที่หลอมไฟสิบแปดสีในวันนั้นได้สร้างแรงบันดาลใจและการชี้นำอย่างใหญ่หลวงให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน บวกกับที่ได้พูดคุยอย่างลึกซึ้งกับซุนอี้ฝานและซือหม่าเทา ทำให้การไตร่ตรองถึงไฟสิบเจ็ดสีของเขายิ่งทะลุปรุโปร่งมากขึ้น ระดับความพัฒนาในการอนุมานก็มีไม่น้อย
ที่สำคัญที่สุดก็คือการช่วยเหลือจากวิญญาณป๋ายฮ่าว ทุกครั้งที่อาจารย์และศิษย์เจอกับปัญหาก็จะปรึกษากัน ตอนนี้ปัญหาทุกอย่างได้แก้ไขหมดแล้ว ขณะที่หลอมไฟ วิญญาณป๋ายฮ่าวก็ยิ่งจ้องมองตาไม่กะพริบ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา เขาก็จะเอ่ยเตือนทันที แม้จะทำได้ถึงระดับนี้แล้ว และป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่มีการทำพลาดอีก กระนั้นวิญญาณป๋ายฮ่าวก็ยังคงตั้งใจจ้องมองอย่างถึงที่สุด
เขามองอาจารย์ของตัวเองที่ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับการหลอมไฟ สีหน้ายึดมั่นตั้งใจจนตึงเครียดนั้นทำให้ในใจของวิญญาณป๋ายฮ่าวบังเกิดความปลงอนิจจัง
“แม้ว่าปกติอาจารย์จะเป็นคนไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก ทว่าความตั้งใจในด้านการหลอมไฟนี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ โดยเฉพาะการควบคุมของเขาที่มั่นคงอย่างถึงที่สุด ทัศนคติที่ว่าหากวิเคราะห์ไม่ทะลุปรุโปร่งจะไม่มีทางลงมือหลอมเด็ดขาด อีกทั้งความยึดมั่นที่ว่าต้องแก้ไขปัญหาทุกข้อให้ได้เสียก่อน ต่างก็ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเฉกเช่นนี้”
วิญญาณป๋ายฮ่าวพึมพำอยู่ในใจ มองป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบๆ เขารู้ดีว่าความช่วยเหลือของเขานั้นมีประโยชน์มาก แต่เขาก็เชื่อว่าหากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ต่อให้ตนช่วยเหลือมากแค่ไหน เกรงว่าคงยากที่จะประสบความสำเร็จระดับสูงอย่างที่อาจารย์ของตัวเองเป็น
“อาจารย์ ข้าจะต้องช่วยให้ท่านกลายเป็น…อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นฟ้าให้จงได้!!” ดวงตาของวิญญาณป๋ายฮ่าวฉายความเด็ดเดี่ยว ส่วนเรื่องตบะของตัวเขาเองนั้น เขาไม่ไปคิดถึงมันอีกแล้ว เพราะเขาไม่แน่ใจว่าฟ้าดินแห่งนี้มีผีนักพรตอยู่กี่ตนกันแน่ ทว่าเท่าที่เขาเคยรู้มาก็ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนแรก แล้วก็เป็นคนเดียวด้วย
ดังนั้นวิชาของผีนักพรต เดิมทีจึงไม่มีอยู่แล้ว ข้อนี้ป๋ายฮ่าวเองก็ไม่รีบร้อน พอมาถึงนครจักรพรรดิขุยก็ได้สืบหาอย่างลับๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ผลพวงอะไรกลับมา
ทว่าดูเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีวิธีการอย่างอื่น เขาจึงปลอบใจวิญญาณป๋ายฮ่าว บอกให้ป๋ายฮ่าวไม่ต้องร้อนใจ เขาจะต้องตามหาวิชาฝึกตนที่เป็นของผีนักพรตมาให้ลูกศิษย์ของตัวเองให้จงได้
พอนึกถึงคำพูดที่อาจารย์เคยพูดกับตน ป๋ายฮ่าวก็วางใจลงได้ เขารู้ว่าแม้อาจารย์ผู้นี้ของตนจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนัก แต่ในเมื่อรับปากตนแล้ว เขาก็ต้องทำได้แน่นอน
คิดมาถึงตรงนี้เขาก็รีบเก็บความคิดทั้งหมดกลับคืนไปแล้วจับตามองการหลอมไฟของอาจารย์ต่อ และเวลานี้การหลอมไฟสิบเจ็ดสีของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาถึงช่วงเวลาอันเป็นกุญแจสำคัญ ทะเลเพลิงผืนนั้นถูกเขาควบคุมอยู่ในขอบเขตที่แน่นอน วิญญาณพยาบาทจำนวนมากถูกกลืนกิน เขาควบคุมอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ ผลักดันไปข้างหน้า เมื่อเวลาผ่านพ้น ในทะเลเพลิงไฟสิบหกสีก็เหมือนจะมีสีที่สิบเจ็ดปรากฏขึ้น!
“ใกล้จะสำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจเป็นล้นพ้น ขณะที่กำลังจะรวบรวมสมาธิไปควบคุมต่อ ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นนอกร้านของเขาก็มีเสียงฟากฟ้าสั่นสะเทือน พื้นดินสั่นไหว ทั้งยังมีเสียงคำรามที่มาพร้อมกับไอสังหารดังกังวานไปทั่วทิศ
“ป๋ายฮ่าว ตายซะเถอะ!!”
เมื่อเสียงนั้นมาถึง ข้างนอกก็มีเงาร่างสิบกว่าร่างกระแทกประตูใหญ่ เหยียบกระทืบลงบนหลังคา พุ่งเข้ามาเข่นฆ่าอย่างดุเดือด ป๋ายเสี่ยวฉุนสะดุ้งตกใจ ตอนนี้ไฟสิบเจ็ดสีของเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ทว่าข้างนอกไม่เพียงแต่มีเสียงรบกวนที่ดังสะเทือนเลือนลั่น ไอสังหารจากร่างสิบกว่าร่างนั้นก็ยิ่งทำให้สมาธิของเขาวอกแวกไปชั่วขณะ
และทะเลเพลิงรอบกายเขาที่กำลังจะปรากฏสีที่สิบเจ็ดสีก็เกิดความไม่มั่นคงตามคลื่นอารมณ์ของเขาทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนควบคุมไม่อยู่ ชั่วขณะที่เขาหน้าเปลี่ยนสี ห้องที่เขาอยู่ก็มีคนกระแทกโจมตีเข้ามา
“สมควรตายเอ๊ย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจ ไม่มีเวลาให้คิดมาก วินาทีที่ทะเลเพลิงเสียการควบคุม มันก็ระเบิดตูมออกไปรอบด้านอย่างรุนแรง
วิกฤตคับขัน ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แค่คว้าวิญญาณป๋ายฮ่าว หยิบเอาหม้อกระดองเต่าออกมาแล้วครอบร่างพวกเขาเอาไว้!
แทบจะชั่วขณะเดียวกับที่หม้อกระดองเต่าครอบลงบนร่าง ทะเลเพลิงสิบหกสีที่ปะปนไปด้วยสีที่สิบเจ็ดก็ปะทุครืนๆ ขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะแลบขยายออกไปรอบด้านอย่างบ้าคลั่ง
เงาร่างของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจสิบกว่าคนที่เพิ่งจะเหยียบเข้ามาในห้องยังไม่ทันมองเห็นอะไรได้ชัดเจนก็รู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า แต่ละคนถอยกรูดด้วยความตะลึงพรึงเพริด ทว่ากลับสายเกินไปแล้ว พริบตาเดียวพวกเขาก็ถูกทะเลเพลิงสิบหกสีนี้ตรงเข้ากลบทับ
เสียงร้องโหยหวนดังระงมชวนขวัญผวา ร่างของคนสิบกว่าคนกลายมาเป็นคนไฟ ถอยหลบเร็วรี่ ในบรรดานั้นมีสามคนที่หลบไม่พ้น ไม่ทันได้หยิบเอาอาวุธป้องกันกายออกมา อีกทั้งทะเลเพลิงนั้นยังน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด พวกเขาที่อยู่ในทะเลเพลิงจึงได้แต่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เรือนกายกลายเป็นเถ้าธุลีไปในพริบตา!
แม้แต่จิตวิญญาณก็ยังถูกไฟประลัยกัลป์นั้นเผาจนสิ้นซาก!
มีคนตายแล้ว!!
ภาพนี้ทำให้พวกผู้ฝึกวิญญาณที่ถอยหนีใจแกว่งอย่างหนัก แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี ความดุเดือดของทะเลเพลิงนั้นปกคลุมร้านทั้งร้านไว้จนมิด ไม่ว่าจะเป็นห้องข้างใน ลานบ้าน หรือแม้แต่ตัวร้านเอง นาทีนี้…ทุกอย่างกลายเป็นตอตะโก แม้แต่ร้านอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงก็ยังติดร่างแหไปด้วย
แสงไฟพลันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ชักนำเสียงร้องฮือฮาจากคนรอบด้าน ขณะเดียวกันเงาร่างอีกหลายสิบเงาที่ห่างไปไกลซึ่งทยอยมาจากสี่ทิศที่พอเห็นภาพนี้ก็พากันสูดลมหายใจดังเฮือก คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันนี้ ทว่าในเมื่อมาแล้ว พวกเขาก็มีเพียงทางเดียวให้ก้าวเดิน
“ลงมือพร้อมกัน!” เสี่ยวหลางเสินที่อยู่ในกลุ่มคนเดิมทีไม่คิดจะบุกนำมาก่อน ต่อให้มาถึงก่อนใคร เขาก็กะว่าจะลงมือเป็นคนสุดท้าย แต่ตอนนี้กลับได้แค่กัดฟันแล้วร้องคำรามเสียงกร้าวกระด้าง
และเวลานี้เอง เสียงคำรามเดือดดาลแหบโหยที่ทำเอาคนที่ได้ยินใจสั่นยิ่งกว่าก็พลันระเบิดออกมาจากในเปลวเพลิงสะท้านฟ้าสะเทือนดินผืนนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเลิกหม้อกระดองเต่าขึ้น เขามองร้านที่ตัวเองทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างขึ้นมา มองร้านที่ตนและลูกศิษย์ต้องเค้นสมองคิดหาวิธีการคลี่คลายอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งยามนี้ถูกไฟลุกท่วมแดงโร่ ก่อนจะกลายมาเป็นเพียงซากตอตะโก ความเดือดดาลของเขาก็มิอาจควบคุมอีกต่อไป ดวงตาของเขาพลันเปลี่ยนมาเป็นสีเลือด ไฟโทสะของเขาเดือดพล่านโหมกระหน่ำ
ที่นี่คือบ้านของเขา คือที่ที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่ามันเป็นที่พักพิงของตนในแดนทุรกันดาร ทว่าตอนนี้ทุกอย่างไม่มีอีกแล้ว ทุกอย่างล้วนถูกพวกบ้าระห่ำบุกเข้ามาทำลายจนพังพินาศ…ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมาบ้างแล้ว
“รังแกกันมากเกินไป รังแกกันมากเกินไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธจนสั่นไปทั้งร่าง เขารีบเก็บวิญญาณของป๋ายฮ่าวที่เจ็บแค้นไม่ต่างกันเอาไว้อย่างดี จากนั้นก็พยายามควบคุมตัวเองทั้งๆ ที่ดวงตายังเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ในอำนาจจิตของเขาสัมผัสได้ว่าศัตรูที่อยู่รอบกายมีมากหลายสิบคน อีกทั้งห่างออกไปไกลก็ยังมีเงาร่างทะยานมาอย่างรวดเร็วอีกหลายร้อยเงา
ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจได้ทันทีว่าเรื่องในวันนี้ต้องเป็นฉากสังหารที่คนเหล่านี้สร้างขึ้นมาเพื่อตนแน่นอน ยิ่งได้เห็นหน้าตาของพวกคนที่ลงมืออยู่ข้างนอก เขาก็ยิ่งแน่ใจในจุดนี้ได้ทันที
ดังนั้นจึงข่มกลั้นโทสะเอาไว้ ไม่ได้ลงมือทันที แต่หยิบเอาแผ่นหยกออกมาส่งข้อความเสียงหาราชาผียักษ์
พอราชาผียักษ์รู้เรื่องทั้งหมดนี้ก็ตะลึงงันไปทันใด แต่ไรไหนมาเขาก็เป็นคนบ้าอำนาจอยู่แล้ว หลังจากนิ่งคิดไปครู่ก็ตอบกลับป๋ายเสี่ยวฉุนมาอย่างรวดเร็ว
“ป๋ายฮ่าว เจ้าคือลูกเขยของข้าราชาผียักษ์ มีหรือที่จะทนให้คนรังแกหยามเกียรติได้ ซัดพวกมันให้อ่วม มีข้าผู้อาวุโสอยู่ เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ขอแค่ไม่มีใครตายก็พอแล้ว ข้าจะเรียกให้โม่เอ๋อร์ไปช่วยเจ้า แล้วข้าก็จะติดต่อไปหาต้าเทียนซือทันที เรื่องนี้ข้าผู้อาวุโสจะออกหน้าให้เจ้าเอง”
หลังจากที่ได้รับข้อความตอบกลับจากราชาผียักษ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ห้าวหาญขึ้นมาทันใด เขาเงยหน้าขึ้นอย่างคนที่ไม่อาจสะกลั้นความโกรธแค้นไว้ได้อีกต่อไป เสียงตูมระเบิดดังลั่น ร่างของเขาก็ขยับพุ่งถลันออกไปจากทะเลเพลิง
“มารังแกข้าถึงบ้าน ทำลายร้านของข้า พวกเจ้าบังคับข้าเองนะ!”
เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังราวอสนีบาต ขณะที่รอบด้านมีเสียงระเบิดตูมตามดังไม่หยุด ร่างของเขาที่รวดเร็วประดุจสายฟ้าแลบก็พุ่งฉิวไปโผล่อยู่ข้างหน้าผู้ฝึกวิญญาณก่อกำเนิดคนหนึ่งที่กระโจนเข้ามาหมายเข่นฆ่า
ผู้ฝึกวิญญาณก่อกำเนิดคนนั้นก็คือเสี่ยวหลางเสิน เขารู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าพร่าลาย พอเห็นชัดว่าเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ป๋ายฮ่าวเจ้าฟังข้าอธิบายก่อน ข้า…” เสี่ยวหลางเสินใจเต้นกระหน่ำ กำลังจะก้าวถอยหลัง ทว่าหมัดที่เหวี่ยงออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับพุ่งแสกหน้ามาหาเขาแล้ว
“พลังชีวิตเพิ่มมากขึ้นอีกแล้วใช่ไหม มาหาเรื่องถูกทรมานอีกแล้วใช่ไหม ลงไปนอนซะเถอะ!” หมัดนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนต่อยออกไปพร้อมเสียงกัมปนาทเขย่าคลอนฟ้าดิน ไม่ว่าเสี่ยวหลางเสินจะดิ้นรนแค่ไหน หรือถึงขั้นจำแลงกายมาต่อต้าน กระนั้นก็ยังมิอาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ดั่งที่เคยเกิดขึ้นในกาหลอมวิญญาณได้
ร่างทั้งร่างของเขาสั่นเทิ้ม กระอักเลือดออกมาอย่างบ้าคลั่ง หลังเสียงร้องหวีดโหยด้วยความเจ็บปวดขาดหายไป ร่างของเขาก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนต่อยร่วงจากกลางอากาศลงมากระแทกบนพื้น ทารกก่อกำเนิดแทบจะหลุดออกจากร่าง สติสัมปชัญญะวูบดับไปโดยพลัน