Skip to content

A Will Eternal 750

บทที่ 750 รอบที่เก้า

ค่ำคืนนี้นครจักรพรรดิขุยถูกกำหนดมาให้ไม่มีทางสงบสุข!

โดยเฉพาะในพื้นที่ที่แปดสิบเก้าที่แสงไฟยิ่งสาดสะท้อน เสียงร้องคำรามดังกระหึ่มกึกก้อง ดวงตาทั้งคู่ที่เป็นสีแดงฉานของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกอาบย้อมไปด้วยไอสังหาร คนหลายสิบคนชุดแรกที่ล้อมอยู่รอบกายเขาได้ตายกันไปแล้วส่วนหนึ่ง คนที่ยังไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัสทั้งยังถูกดูดดึงพลังชีวิต ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ท่ามกลางกองไฟนั้น ยามนี้มองดูแล้วน่าพรั่นพรึงอย่างถึงที่สุด!

เดิมทีเขาไม่คิดจะฆ่าคน แต่คนอื่นกลับบีบบังคับเขา เขาก็จำต้องฆ่า!

เขาไม่อยากมีปัญหา แต่ปัญหามักจะดาหน้าเข้ามาหาเขาเสมอ แถมยังมารังแกเขาถึงที่ครั้งแล้วครั้งเล่า และวันนี้เขาก็ยิ่งไม่อยากลงมือ เขาอยากจากไป

แต่ทอดสายตามองแล้วเห็นเงาร่างรอบกายหลายต่อหลายเส้นที่กำลังทะยานมาอย่างรวดเร็ว เขาก็รู้ดีว่าตนไม่มีทางให้หนี อีกทั้งในนครจักรพรรดิขุยแห่งนี้ เขาเองก็ไม่คุ้นชิน หนีไปแล้วจะทำอะไรได้

“รังแกข้า บีบบังคับข้าเกินไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้ม ด้านหนึ่งนั้นแค้นเคืองเพราะได้รับความไม่เป็นธรรม อีกด้านหนึ่งก็เพราะหวาดกลัวอย่างแท้จริง ทว่ากลับอับจนปัญญา เขาหวังเพียงว่าราชาผียักษ์จะช่วยตนได้ สถานการณ์คราวนี้เขาแก้ไขไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

และเวลานี้เอง เวทอภินิหารหลากหลาย แสงอาวุธดารดาษจากทิศไกลก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง เหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจกลุ่มที่สอง นักพรตรวมโอสถอยู่ค่อนไปทางหลัง ทัพหน้าสุดคือก่อกำเนิดทั้งกลุ่ม

ต่อให้จะมองเห็นความโหดเหี้ยมของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าเรื่องลุกลามมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาเองก็ไม่มีทางถอยเหมือนกัน ได้แต่ต้องลงมือเท่านั้น

ท่ามกลางเสียงดังกัมปนาท นักพรตนับร้อยคนของกลุ่มที่สองก็ทยอยกันเข้ามาใกล้จากสี่ด้านแปดทิศ ในบรรดาคนจำนวนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยอยู่หลายคน ไม่ว่าจะเป็นจ้าวตงซาน หลี่เทียนเซิ่งก็ล้วนอยู่ข้างใน

เวลากระชั้นชิดจนป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจคิดพิจารณาได้มากนัก ไอสังหารในดวงตาของเขาแผ่ซ่าน ไม่เพียงแต่ไม่ถอยหนี กลับยังบุกออกไปโดยตรง มองไกลๆ ก็เห็นว่าร่างของเขาพกพาเอาพลังอำนาจที่น่าครั่นคร้ามพุ่งประจัญบานกับศัตรูที่ดาหน้าเข้ามา!

ครืนๆๆ!

เสียงเกริกก้องลั่นฟ้า การเข่นฆ่าเกิดขึ้นอีกครั้ง การลงมือของป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เฉียบคมจนมิอาจต้านทาน ทุกที่ที่ผ่าน ไม่ว่าใครที่เผชิญหน้ากับเขาก็ต้องกระอักเลือด ถอยกรูดไปข้างหลัง ความแกร่งกร้าวของเขา ความอำมหิตไร้ปราณีของเขา บัดนี้ได้เขย่าคลอนจิตใจทุกคนให้สะเทือนอย่างบ้าคลั่ง

“เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในกาหลอมวิญญาณเสียอีก!”

“นี่น่ะหรือป๋ายฮ่าว ป๋ายฮ่าวที่รบชนะทุกคนในกาหลอมวิญญาณอย่างที่เล่าลือกันน่ะหรือ!”

“เขาแข็งแกร่งก็จริง ทว่าพวกเรามีคนมากกว่า และที่นี่ก็คือนครจักรพรรดิขุย!”

เสียงดังสะท้อนกังวาน ทุกคนพากันหลบหนีอย่างว่องไว แต่ละคนลงมือไม่หยุด พริบตาเดียวเงาร่างรอบด้านก็พัวพันกันอุดลุตจนมองไม่ชัดว่าใครเป็นใคร

หลี่เทียนเซิ่งที่อยู่ในกลุ่มคนก็ยิ่งรีบทำมุทราพร้อมลมหายใจถี่รัว ทันใดนั้นควันพิษเป็นกลุ่มๆ ก็แผ่ออกมา เขารู้ดีถึงความร้ายกาจของป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่หน้าสุด ทั้งยังเตรียมตัวไว้แล้วว่าหากท่าไม่ดีจะหนีไปทันที

ทว่าวินาทีที่เขาวางแผนไว้เช่นนี้ หลี่เทียนเซิ่งกลับต้องหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน สายตาของเขามองลอดกลุ่มคนไปจึงเห็นว่าดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถูกทุกคนกักตัวไว้กำลังเล็งนิ่งมาที่เขา!

หลี่เทียนเซิ่งรู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิดออก สายตานี้เขาคุ้นเคยดี มันทำให้เขาพลันนึกถึงกาหลอมวิญญาณในคราวนั้น ตอนนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองตนอย่างนี้ และนาทีถัดมา อีกฝ่ายก็อ้อมผ่านโจวหงมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา ก่อนที่ฝันร้ายชั่วชีวิตของเขาจะบังเกิดขึ้น

ในใจของหลี่เทียนเซิ่งสั่นรัวอย่างบ้าคลั่ง กำลังจะถอยหนี ทว่าชั่วขณะที่เขาชักเท้าถอย ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหัวเราะอย่างดุร้าย ชนาเขย่าภูเขาระเบิดออกอีกครั้ง พลังกล้ามเนื้อก็ยิ่งโคจรไปถึงขีดสุด กล้ามเนื้อของเขาแหวกอากาศ พริบตาเดียวก็หายตัวเข้ามาใกล้ ร่มราตรีนิรันดร์ก็ยิ่งถูกกางออก ต้านรับเวทอภินิหารจำนวนมากที่กระแทกโครมเข้ามา พาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนชนฝ่าวงล้อมไปพร้อมเสียงครืนครั่นตลอดทาง และพริบตานั้นอีกฝ่ายก็ไล่ตามมาทันหลี่เทียนเซิ่ง!

หลี่เทียนเซิ่งสีหน้าซีดขาว เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งเข้ามาประหัตประหาร ฝันร้ายก็ย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง เขารีบถอยหนีพลางหยิบเอาหัวใจโชกเลือดดวงหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของอย่างรวดเร็ว ใบหน้าก็บูดเบี้ยวตามไปด้วย ก่อนจะร้องคำรามแล้วบีบหัวใจดวงนั้นให้แหลกละเอียด

เมื่อหัวใจถูกบีบก็มีกลิ่นหอมอวลของหญิงสาวคนหนึ่งลอยแผ่ออกมา ก่อนที่ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งจะปรากฏขึ้นกลางอากาศแล้วพกพาเอาความเจ็บปวดกระโจนเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี สัมผัสได้ทันทีว่าวิธีการนี้ของหลี่เทียนเซิ่งไม่ธรรมดา หัวใจนั้นไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนหัวใจคน อีกอย่างตรงหน้าอกของหญิงสาวที่เป็นภาพมายานี้ก็กลวงโบ๋คล้ายถูกควักหัวใจออกมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดไปข้างหลัง อาศัยความเร็วสูงสุดหลบเลี่ยงเงาร่างของหญิงสาว ทว่าร่มราตรีนิรันดร์กลับถูกเขาโยนออกไปให้กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวทะยานเข้าหาหลี่เทียนเซิ่ง

หลี่เทียนเซิ่งถอยไม่ทัน ร่มราตรีนิรันดร์กลายมาเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในดวงตาของเขา ก่อนที่มันจะทะลุสวบเข้าที่หน้าอกของเขา!

พลังชีวิตกระจายออกมา หลี่เทียนเซิ่งรู้สึกเพียงความเจ็บปวดรวดร้าว ฟ้าดินพลิกกลับ ชั่วขณะถัดมาป๋ายเสี่ยวฉุนก็ชี้นิ้วผ่านอากาศ ร่มราตรีนิรันดร์กลับคืนมาหาเขา ส่วนตัวเขารีบหมุนกายแบมือกดลงบนพื้นอย่างแรง การกดนี้เสียงดังกัมปนาทก็ดังกึกก้อง หนามแหลมมากมายแทงทะลุจากพื้นดินกลายเป็นการป้องกันที่สกัดกั้นเวทอภินิหารทั้งหมดซึ่งกระแทกเข้ามาโจมตี

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถี่กระชั้นน้อยๆ ทว่าพลังชีวิตในร่างกายกลับไหลบ่าอย่างต่อเนื่อง ผลักดันขอบเขตกระดูกหลอมของขั้นกระดูกมิวางวายให้ฝ่าทะลุไปถึงรอบที่เก้า

“ยังขาดอีกนิดหน่อย ก็ฝ่าทะลุได้แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะคิดมาถึงตรงนี้ หนามแหลมรอบกายก็พังทลายลง เงาร่างหลายสิบเงาพุ่งเข้ามาสังหารอีกครั้ง เขาเริ่มตาลายบ้างแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องมองอย่างละเอียด และไม่จำเป็นต้องสนใจว่าอีกฝ่ายคือใคร เขารู้แค่ว่า ทุกคนที่อยู่รอบด้านล้วนเป็นศัตรูของตน

เสียงครืนครั่น เสียงปึงปังดังกึกก้องขึ้นมาอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับตัวว่องไวอย่างถึงที่สุด เขาไม่จำเป็นต้องใช้ตบะในการหายตัว ลำพังเพียงแค่เรือนกายของเขาก็พอแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ พลังวิญญาณจึงเผาผลาญไปน้อยมาก และเขาก็ยังยืนหยัดได้นานยิ่งกว่าเดิม ส่วนการชดเชยพลังเรือนกาย ทุกคนที่อยู่รอบด้านก็คือของบำรุงที่ดีที่สุดของเขา

เสียงแห่งการเข่นฆ่า เสียงร้องคำรามแหบโหยดังเต็มท้องฟ้าอีกครั้ง เนื่องจากผู้ฝึกวิญญาณที่อยู่รอบด้านมีมากเกินไป จึงยากที่ร่มราตรีนิรันดร์จะสกัดกั้นได้หมด นี่จึงทำให้วิชาอภินิหารจำนวนไม่น้อยกระแทกลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างจัง

แต่ไม่ว่าวิชาร้ายกาจพวกนั้นจะหล่นลงใส่ร่างของเขามากแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงักแม้เพียงเสี้ยวนาที ยิ่งเห็นว่าเรือนกายที่ราวกับเทพมารของเขาถึงกับมองข้ามวิชาของผู้ฝึกวิญญาณรวมโอสถ คนรายล้อมก็ยิ่งสูดลมหายใจดังเฮือกด้วยความหวาดผวาไม่หยุด

ต่อให้เป็นวิชาและอาวุธของก่อกำเนิดเองก็ตาม กระนั้นก็ยังมิอาจสร้างผลกระทบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้มากเท่าไหร่นัก ขอแค่ไม่มีเวทอภินิหารสิบกว่าสายร่วงลงมาบนร่างพร้อมกัน เขาก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว

และหากเป็นเวทอภินิหารสิบกว่าสาย การดำรงอยู่ของร่มราตรีนิรันดร์ก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถต้านทานได้ ขณะเดียวกันก็โจมตีกลับไปด้วย ขอแค่เขาต่อยหมัดออกไปก็สามารถทำให้คนคนหนึ่งปลิวกระเด็น ขอแค่ร่มราตรีนิรันดร์ทิ่มเข้าไปก็สามารถดูดซับพลังชีวิตของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

ในสายตาของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่อยู่รอบด้าน พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีนักพรตก่อกำเนิดคนหนึ่งที่แข็งแกร่งได้ถึงระดับนี้ นี่นับว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ เหลวไหลมากเกินไปแล้ว

พลังเลือดเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งทำให้พวกเขาหนังหัวชาหนึบ และยังมีความเร็วนั้นอีกที่ทำให้ใจของพวกเขาสั่นสะเทือนหวาดหวั่น

“นี่มันคนแบบไหนกัน เขามีช่องโหว่บ้างไหมเนี่ย!!”

“จุดอ่อนของเขาอยู่ที่ไหนกันแน่? ความเร็ว เลือดเนื้อ ความอดทน การป้องกัน ต่างก็ล้วนเป็นสุดยอดทั้งสิ้น พวกเราจะสู้กับเขาอย่างไร!”

เมื่อเห็นคาตาตัวเองว่าคนข้างกายลดน้อยลงไปเรื่อยๆ สีหน้าตะลึงพรึงเพริดของผู้ฝึกวิญญาณในแดนทุรกันดารก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นบื้อใบ้ ทั้งยังถึงขั้นไม่กล้าลงมือต่อ แต่ถอยห่างออกมาช่วงระยะหนึ่ง จ้าวตงซานก็อยู่ในนั้น ซึ่งตอนนี้เขาเริ่มเสียใจจึงถอยกรูดอย่างรวดเร็ว กลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเห็นตัวเอง ใจเขาหวาดหวั่น ทั้งยังเริ่มร้องคร่ำครวญ

“ทำไมข้าถึงได้เสียสติมาหาเรื่องเจ้าดาวอัปมงคลผู้นี้อีกครั้ง ขออย่าให้เขาได้เห็นข้าเลยนะ!” ขณะที่จ้าวตงซานกำลังวิงวอนต่อฟ้า ด้านหลังของพวกเขาก็มีเงาร่างอีกนับร้อยเงาตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งโจวหงก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย

เมื่อเห็นสภาพสนามรบอันโหดร้าย บนพื้นมีร่างของคนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายนอนกองอยู่ และยังมีกลุ่มคนที่ถอยกรูดอย่างต่อเนื่องจนวงล้อมเริ่มแตกกระจาย รวมไปถึงป๋ายเสี่ยวฉุนที่ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายความเย็นชาและบ้าคลั่งทารุณออกมา ต่อให้เป็นโจวหงเองก็ยังใจหายวาบ แต่ไม่นานดวงตาของเขาก็เริ่มเผยความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง

“ในที่สุดเขาก็ฆ่าคนแล้ว!!”

“ป๋ายฮ่าว คราวนี้ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้!!”

แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่โจวหงมาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ชักร่มราตรีนิรันดร์ออกมาจากร่างของผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่ง ปริมาณพลังชีวิตในร่างของเขาสั่งสมจนเกิดการแปรสภาพ และในที่สุดบัดนี้ก็ระเบิดออก ในสมองของเขามีเสียงดังอึงอล สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเขตกระดูกหลอมของตนไม่ได้อยู่ในการชุบหลอมขั้นที่แปดอีกต่อไป แต่ทะลุไปถึงรอบที่เก้าแล้ว!!

เมื่อเงยหน้าขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนมองปราดเดียวก็เห็นโจวหงที่อยู่ห่างออกไป

“โจวหง!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายไอสังหาร ก่อนจะพุ่งถลาตรงเข้าหาโจวหง!

ขณะเดียวกัน นอกนครจักรพรรดิขุย ในกระโจมใหญ่สีแดงกลางกองทัพผียักษ์ สตรีธุลีแดงนั่งขมวดคิ้วด้วยสีหน้ามืดทะมึน ในมือของนางถือแผ่นหยกส่งข้อความเสียงแผ่นหนึ่งเอาไว้ ด้านในมีเสียงของราชาผียักษ์ที่ดังก้องอยู่ในสมองของนางไม่หยุด

“ป๋ายฮ่าวผู้นี้มันตัวหายนะชัดๆ!” สตรีธุลีแดงกัดฟันยืนกราน นางคิดว่าตัวเองเคยช่วยอีกฝ่ายมาครั้งหนึ่งแล้ว หากคราวก่อนไม่ได้นางช่วยไว้ เกรงว่าคนฟ้าตระกูลเฉินคงซักไซ้เอาความไม่เลิก แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้นางได้ผลประโยชน์และซาบซึ้งใจอยู่บ้าง แต่ความซาบซึ้งนั้นก็ไม่ได้ล้ำลึกนัก อีกทั้งเวลานานเข้า ความรู้สึกนั้นจึงอ่อนจางลงไปแล้ว ตอนนี้พอได้ยินว่าบิดาให้ตนไปปกป้องป๋ายฮ่าว นางจึงปฏิเสธเด็ดขาดอย่างไม่ลังเล

“ในเมื่อรนหาที่ตาย งั้นก็จงไปตายซะเถอะ!” สตรีธุลีแดงแค่นเสียงเย็น กำลังจะวางแผ่นหยกลง แต่ไม่นานในแผ่นหยกก็มีเสียงของราชาผียักษ์ที่เหมือนจะเดือดดาล ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรถึงทำให้สตรีธุลีแดงเงียบงันไปครู่ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกและลุกขึ้นยืน

“นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ข้าจะช่วยเขา!” กล่าวจบ สตรีธุลีแดงก็พกพาเอาความเกรี้ยวกราดเดินออกมาจากกระโจมใหญ่ เรียกรวมผู้ฝึกวิญญาณในกองทัพผียักษ์ พาคนหลายสิบคนตรงดิ่งไปยังนครจักรพรรดิขุย ตรงไปที่พื้นที่ที่แปดสิบเก้า!

ขณะเดียวกันผู้แข็งแกร่งชนสูงศักดิ์แทบทั้งหมดในนครจักรพรรดิขุยแห่งนี้ก็พากันได้รับข้อความเสียงจากลูกหลานของตัวเอง พอได้ฟังพวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน

“ช่างใจกล้ายิ่งนัก!”

ยิ่งได้ยินว่ามีคนตาย ไม่นานทุกตระกูลที่มีคนเข้าร่วมเรื่องนี้ต่างก็ส่งคนมาจัดการ ทั้งยังมีบางส่วนที่ถึงกับออกหน้าด้วยตัวเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!