บทที่ 758 หรือว่าสถานที่แห่งนี้มีผี
“คนฟ้า”
“ต้าเทียนซือมีบุญคุณกับข้าดุจดั่งขุนเขา ชีวิตนี้ของข้าได้ต้าเทียนซือเป็นผู้มอบให้ หากไม่มีต้าเทียนซือ ไม่แน่ว่าตอนนี้ข้าป๋ายฮ่าวอาจฝังร่างอยู่ในยมโลกแล้วก็เป็นได้ กะอีแค่คนฟ้า แม้จะสามารถบีบข้าให้ตายได้ แต่มีหรือที่ข้าป๋ายฮ่าวจะยอมก้มหัวให้คนชั่ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้าเทียนซือก็ไม่มีทางทนมองเด็กที่ซื่อสัตย์ภักดีอย่างข้าถูกรังแก ใช่ไหมขอรับ” ป๋ายเสี่ยวฉุนคลายใจได้จึงตบอกพูดต่อ แล้วก็ถือโอกาสลองหยั่งเชิงด้วยวิธีการที่เคยใช้กับราชาผียักษ์
เขาไม่สนใจจักรพรรดิขุยอะไรนั่น แล้วก็ไม่สนใจว่าต้องล่วงเกินชนสูงศักดิ์บุ๋นบู๊เต็มราชสำนัก เรื่องราวก่อนหน้านี้คนที่เขาควรล่วงเกินก็ล่วงเกินไปหมดแล้ว ส่วนอนาคตของตัวเองหลังจากนี้ เขาก็ยิ่งวางใจ ครุ่นคิดว่าไม่ว่าตัวเองต้องทำอะไรเมื่ออยู่ในแดนทุรกันดาร ขอแค่ตบะมากพอก็แค่รีบเผ่นหนี ถึงเวลาใครคิดจะหาตนก็จงข้ามกำแพงเมืองไปยังแม่น้ำทงเทียนให้ได้ซะเถอะ
คิดมาถึงตรงนี้ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งมั่นคง ยิ่งรู้สึกว่ามองต้าเทียนซือได้สบายตามากขึ้น อีกฝ่ายให้ตำแหน่งนี้กับตน วันหน้าเมื่อตนได้เป็นผู้ตรวจการ สิทธิ์และอำนาจย่อมมากมหาศาล นั่นจึงยิ่งทำให้ใจเขาลิงโลด กำลังคิดว่าเทียนซือดีๆ แบบนี้มีไม่มาก ตนควรจะฉวยโอกาสนี้เอาไว้โดยการเอ่ยประจบไปอีกสักหน่อยดีหรือไม่
สีหน้าของต้าเทียนซือยิ่งปั้นยาก ก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ยินเรื่องลักษณะนิสัยของป๋ายฮ่าวมาแล้ว ยามนี้เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองก็รู้สึกว่าคำเล่าลือนั้นผิดไป ไอ้หมอนี่แค่สอพลอเสียที่ไหน นี่มันเรียกว่าถึงระดับที่เห็นรูสอดเข็ม ไม่มีรูไหนไม่เข้าแล้วต่างหาก
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คำตอบของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังทำให้ต้าเทียนซือพอใจอยู่ดี ใบหน้าของเขาจึงค่อยๆ เผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นลึกล้ำสุดจะหยั่งคล้ายมองทะลุไปถึงใจของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ไปเถอะ จะมีคนพาเจ้าไปที่จวนผู้ตรวจการ ที่นั่นก็คือที่อยู่ของเจ้าในอนาคต” ต้าเทียนซือเอ่ยเนิบช้า สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา เมื่อมองเห็นได้อย่างชัดเจนก็มาอยู่นอกพระราชวังแล้ว
เงาร่างสีดำนั้นยืนอยู่ตรงหน้าเขา อีกฝ่ายไม่รู้สึกแปลกใจใดๆ กับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของป๋ายเสี่ยวฉุน พอหมุนกายได้ก็จากไปทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน พอเห็นว่าแค่ต้าเทียนซือสะบัดปลายแขนเสื้อ ตนก็มาอยู่ที่อื่นแล้ว วิธีการเช่นนี้ทำให้เขาตกตะลึงไม่น้อย ที่สำคัญที่สุดก็คือเขายังไม่ทันพูดประโยคที่ปูพื้นไว้ซะยาวก่อนหน้านี้เลยนะ
“ช่างเถอะ คราวหน้าค่อยประจบใหม่ก็แล้วกัน จะประจบทีเดียวเสร็จ เดี๋ยว
ต้าเทียนซือจะถูกป้อนจนอิ่มเสียก่อน แล้ววันหน้าข้าก็คงไม่รู้ว่าจะประจบต่ออย่างไร” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้ว มองไปยังเงาร่างสีดำที่ห่างไปไกล เชิดหน้าขึ้นด้วยความโอหัง แล้วเดินอาดๆ ตามไป
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตามเงาร่างสีดำห่างไปไกล ในตำหนักเทียนซือ สายตาของต้าเทียนซือมองไปยังจุดลึกของพระราชวัง นัยน์ตานั้นเผยความลึกล้ำดำมืด
“หรือว่าจักรพรรดิขุยรุ่นนี้ที่มีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ไหลเวียนอยู่ในร่างมีชีวิตสงบสุขมานานเกินไปแล้ว? เหตุใดเจ้าถึงต้องการให้ฝนเลือดเทกระหน่ำลงมาในนครจักรพรรดิขุยอีกครั้ง” ต้าเทียนซือส่ายหัว ถอนสายตากลับมาแล้วค่อยๆ หลับตาลง
จวนตรวจการไม่ได้อยู่ในนครราชวังบนท้องฟ้า แต่อยู่ในพื้นที่ใจกลางนครเบื้องล่าง หรือจะพูดให้แน่ชัดก็คืออยู่ตรงเขตที่สี่!
เมื่อได้การนำทางจากเงาร่างสีดำ ไม่นานนักป๋ายเสี่ยวฉุนก็ออกมาจากพระราชวังบนท้องฟ้า ท่ามกลางการห้อตะบึง ไม่นานเขาก็มองเห็นจวนที่น่าเกรงขามแห่งหนึ่งในพื้นที่ที่สี่
จวนนี้ไม่เล็ก ตั้งอยู่กลางเมืองอันจอแจ ทว่าถนนทั้งหมดที่อยู่รอบจวนแห่งนี้กลับไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ ทุกคนล้วนเลือกที่จะอ้อมผ่าน ราวกับว่าที่แห่งนี้มีความหวาดกลัวใหญ่หลวงซึ่งแม้แต่ให้เข้าไปใกล้พวกเขาก็ยังไม่ต้องการ
มองไกลๆ จวนแห่งนี้เป็นสีดำไปตลอดหลัง ปราณแห่งความเย็นเยียบอึมครึมเข้มข้นอย่างถึงที่สุดคล้ายว่ามีสัตว์ร้ายล้ำโลกตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ตรงนั้น ทำให้คนมองรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว
พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นก็ยังสูดลมหายใจดังเฮือกด้วยความตกใจ เขามองเห็นทันทีว่าที่แห่งนี้มีปราณแห่งความตายอันเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้เคยมีการสังหารเกิดขึ้นหลายครั้งจนความว่างเปล่าของที่แห่งนี้ถูกความวังเวงน่าสะพรึงกลัวอาบย้อม เนิ่นนานก็ยังไม่จางหายไป
ดูจากภายนอก จวนผู้ตรวจการนี้มีความคล้ายคลึงกับสถานที่ว่าราชการของคนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้เหมือนมากนัก หน้าประตูจวนหลังนี้มีรูปปั้นขนาดใหญ่ยักษ์สองรูปตั้งตระหง่าน รูปปั้นทั้งสองนี้ต่างก็สวมชุดเกราะสีดำ แผ่คลื่นความแกร่งกร้าว แม้ว่าจะเป็นรูปปั้น ทว่าดวงตากลับมีชีวิตชีวา ราวกับว่าพวกมันคอยปกป้องจวนแห่งนี้ ขณะเดียวกันก็กำลังจับตามองคนที่เข้ามาใกล้ด้วย สำหรับการมาถึงของชายชุดดำและป๋ายเสี่ยวฉุน รูปปั้นทั้งสองนี้กวาดตามองหนึ่งทีก็ถอนสายตากลับ ไม่ให้ความสนใจอีก
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งมีความรู้ที่ลึกซึ้งต่อจวนแห่งนี้ แม้ว่าเขาจะมองรูปปั้นทั้งสองไม่ออกนัก แต่กลับรู้สึกได้ว่าคลื่นที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกมัน เทียบเคียงได้กับคนฟ้า!
“รูปปั้นที่เทียบเคียงได้กับคนฟ้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายหนึ่งอึก รู้สึกว่าครั้งนี้ตนได้กำไรแล้ว หากไม่เพราะมีเงาร่างชุดดำนั้นอยู่ เขาคงปรี่ขึ้นไปลูบคลำมันดูแล้ว
ประตูใหญ่ของจวนตรวจการก็เป็นสีดำเหมือนกัน เปิดอ้าไว้แค่ครึ่งเดียว มองลอดประตูใหญ่ที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่งนี้ไปก็จะเห็นได้ว่าแม้ด้านในจะมีอิฐปูเป็นพื้น มีหอเรือนตั้งอยู่หลายหลัง แต่กลับมองไม่เห็นเงาร่างใดๆ แม้แต่เงาเดียว
จนกระทั่งเงาชุดดำพาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้าไปในจวน รอบด้านก็ยังเงียบสงัด ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองไปทั่ว ในใจไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าในจวนตรวจการที่อึมครึมและน่าหวาดกลัวแห่งนี้ถึงได้เงียบเกินไป
“ที่นี่ ก็คือจวนตรวจการ ป๋ายฮ่าว เจ้าจงทำตัวให้ดี” เงาชุดดำมองไปรอบด้านคล้ายรำลึกความหลัง ผ่านไปพักใหญ่ถึงโยนป้ายคำสั่งสีดำแผ่นหนึ่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนรับป้ายคำสั่งนี้มา กำลังจะอ้าปากถามอะไรบางอย่าง ทว่าเงาชุดดำนั้นกลับหมุนกายแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ทำให้ที่แห่งนี้เหลือแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างมองค้างอยู่ที่ป้ายคำสั่งในมือ พลางเกาหัวแกรกๆ
“แค่นี้เนี่ยนะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พอใจอย่างมาก รู้สึกว่าตัวตนของตนเองสูงส่งขนาดนี้ เงาชุดดำกลับเมินเฉยตนเสียได้ แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายคือคนสนิทที่อยู่ข้างกายของต้าเทียนซือ ถึงแค่นเสียงเบาๆ หนึ่งที
“เอาเถอะๆ เห็นแก่เทียนซือคนดี ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาก็แล้วกัน”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถือป้ายคำสั่งไว้ในมือ สายตาก็กวาดไปมองรอบด้านพร้อมแผ่อำนาจจิตออกไป แต่พบว่าสถานที่แห่งนี้กลับระงับการแผ่อำนาจจิต ทำให้อำนาจจิตของเขาถูกข่มระงับไปมากถึงเก้ากว่าส่วน
“จวนตรวจการนี้ทำไมถึงได้ชวนพิศวงยิ่งนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกเล็กน้อย ผสานอำนาจจิตเข้าไปในป้ายคำสั่ง แต่กลับค้นพบทันใดว่าป้ายคำสั่งนี้จำต้องผ่านการชุบหลอม อีกทั้งวัสดุที่ทำก็พิเศษมาก ต่อให้ใช้ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่มีทางชุบหลอมได้เร็วเท่าไหร่นัก ดูจากสภาพของมัน อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบกว่าชั่วยามถึงจะชุบหลอมได้อย่างเต็มที่
ท่ามกลางความลังเล เขาใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ก่อนจะตะโกนออกไป
“มีคนอยู่หรือไม่?”
“มีคนอยู่ไหม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนพลางเดินไปข้างหน้า ทว่าเดินมาได้เกินครึ่งจวนกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคนเดียว นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามันผิดปกติด้วย
“ไม่มีทางที่ที่นี่จะไม่มีคนแม้แต่คนเดียว” ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิด แผ่อำนาจจิตออกไปเต็มกำลัง ก่อนจะขยับตัวร่ายใช้ความเร็วทะยานไปข้างหน้า จนกระทั่งเกือบถึงยามสนธยา ในที่สุดเขาก็ตรวจสอบจวนผู้ตรวจการขนาดใหญ่นี้จนครบหนึ่งรอบ
ทุกตำหนักใหญ่ ทุกที่พักล้วนถูกเขาตรวจสอบจนหมด แต่ไม่ว่าเขาจะค้นหาจนหมดแค่ไหน ที่นี่ นอกจากตัวเขาเองแล้วก็ยังไม่เห็นใครอีกแม้แต่คนเดียว
นี่จึงทำให้เขาตกตะลึง รู้สึกว่าระดับความแปลกประหลาดของที่แห่งนี้มีมากจนน่าเหลือเชื่อ
“คงไม่ใช่ว่าตลอดทั้งจวนตรวจการ มีข้าที่เป็นผู้ตรวจการอยู่คนเดียวหรอกนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจดังเฮือก รู้สึกไม่อยากเชื่อ ทว่าลางสังหรณ์ของเขาบอกกับตัวเองว่า สถานที่แห่งนี้ นอกจากตัวเขาเองแล้วยังมีปราณอีกไม่น้อย เพียงแต่ปราณพวกนี้เดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย ขณะเดียวกันก็เหมือนจะอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ทำให้เขาหาไม่เจอแม้แต่น้อย
“หรือว่าที่นี่มีผี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ ไพล่นึกไปถึงสุสานของจักรพรรดิขุย พริบตาเดียวขนทั่วร่างก็ลุกชัน หน้าเปลี่ยนสี หันขวับไปมองด้านหลัง เมื่อพบว่าด้านหลังตัวเองไม่มีใบหน้าคน แล้วก็ไม่มีคนกระดาษ เขาถึงคลายใจได้
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืด จวนนี้เริ่มเป็นสีดำทะมึน ความรู้สึกวังเวงนั้นก็ยิ่งดุเดือด ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น อยากจะไปจากที่นี่ แต่กลับค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าตนออกไปไม่ได้!! สถานที่แห่งนี้กลับมีตราผนึกไร้รูปลักษณ์ที่ปิดผนึกทุกสรรพสิ่ง
คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวเข้าจริงๆ แล้ว เวลานานเข้าเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าจวนตรวจการแห่งนี้ผิดปกติ หลังจากทดลองอีกครั้งก็พบว่ายังคงออกไปไม่ได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบหาหอเรือนหลังหนึ่ง ผลักประตูเปิดเข้าไป มองห้องที่กว้างขวางแต่กลับไม่มีแม้แต่ฝุ่นผงแล้วรีบไปนั่งลงด้วยความหวั่นวิตก
“ดูท่าคงต้องชุบหลอมป้ายคำสั่งนี้ให้ได้ก่อนถึงจะรู้ว่าในจวนตรวจการแห่งนี้มีความลับอะไรซุกซ่อนอยู่กันแน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้ามองป้ายคำสั่งในมือ ตอนนี้เขาชุบหลอมป๋ายนี้ไปได้แล้วสามส่วน
หลังจากกัดฟันกรอด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบโคจรตบะทั้งหมดมาใช้ชุบหลอมอย่างเต็มกำลัง
“เร็วเข้าหน่อย ข้ามีลางสังหรณ์ร้ายว่าหากถึงยามค่ำคืนเมื่อไหร่ ที่นี่คงจะมีผีปรากฏตัวเข้าจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น ยิ่งไม่พอใจร่างชุดดำที่พาตนมาที่นี่มากขึ้นไปอีก ครุ่นคิดว่าเหตุใดป้ายคำสั่งบ้าๆ นี่ถึงได้ชุบหลอมได้ยากนัก ทว่ากลับอับจนปัญญา ได้แต่ชุบหลอมมันโดยเร็วที่สุด