บทที่ 760 รากฐานของผู้ตรวจการ
“เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกัน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องรับหน้าที่ตำแหน่งผู้ตรวจการนี้ของข้าให้ดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิด ในสายตาของเขา แผนการของป๋ายฮ่าวนั้นอำมหิตอย่างถึงที่สุดจนเขาเกิดความลังเล แผนการนี้จำต้องเอาไปใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน
“อาจารย์ พวกเราเองก็ต้องเริ่มวางแผนรับมืออย่างลับๆ ได้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องอย่างเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” ป๋ายฮ่าวมองป๋ายเสี่ยวฉุนปราดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง
“วางใจเถอะ เรื่องนี้อาจารย์มีประสบการณ์” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่า เขาไม่พูดอย่างนี้ยังพอว่า แต่พอพูดเช่นนี้ ป๋ายฮ่าวก็รู้สึกตะหงิดๆ ทันที เพียงแต่เห็นว่าอาจารย์มั่นใจขนาดนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ได้แต่ครุ่นคิดหาวิธีหลากหลายมาปรึกษากับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งคืนผ่านไปเช่นนี้ เรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นช่วงแรกกลับไม่ปรากฏให้เห็นอีก และขณะที่ปรึกษากันอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่หยุดชุบหลอมป้ายคำสั่ง
เช้าตรู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปข้างนอกรอบหนึ่ง เมื่อพบว่าตราผนึกยังคงอยู่และตนยังไม่สามารถออกไปจากจวนตรวจการนี้ เขาก็มั่นใจเต็มร้อยว่ามีเพียงหลอมป้ายคำสั่งเสร็จเท่านั้นถึงจะควบคุมตราผนึกพวกนี้ได้!
ดังนั้นเขาจึงชุบหลอมมันต่อไป ไม่นานเมื่อยามสนธยาของวันที่สองกำลังจะเยื้องกรายมาถึง ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็หลอมป๋ายคำสั่งนั้นได้สำเร็จ เขาใช้เวลาไปเกือบสิบสามชั่วยาม ยาวนานยิ่งกว่าเวลาที่คาดการณ์เอาไว้
ชั่วขณะที่ป้ายคำสั่งนั้นถูกหลอมอย่างสมบูรณ์แบบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก เมื่อเห็นว่าอีกเดี๋ยวก็จะค่ำ เขาก็พลันแผ่อำนาจจิตเข้าไปไว้ในป้ายคำสั่ง
ทันใดนั้นในสมองก็มีเสียงกึกก้องดั่งอสนีบาต ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหวนี้ อำนาจจิตของเขาผสานรวมเป็นหนึ่งกับป้ายคำสั่ง และนั่นทำให้ในสมองของเขามีภาพ…ทิวทัศน์ตลอดทั้งจวนตรวจการลอยขึ้นมา!
วินาทีที่มองเห็นภาพบรรยายกาศเหล่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเบิกตากว้าง ร่างสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังสูดลมหายใจดังเฮือก ด้วยตบะของเขาก็ยังอดอุทานเสียงหลงไม่ไหว
“นี่มัน…นี่มัน…”
ในสมองของเขา จวนตรวจการนี้เหมือนถูกย่อให้เล็กลงหลายเท่าตัว เมื่อมองเห็นอย่างชัดเจนจึงรู้ว่ามันถูกสร้างอยู่บนโลงศพมากมาย!
สามารถพูดได้ว่าพื้นดินใต้จวนตรวจการแห่งนี้มีแต่โลงศพ โลงศพพวกนั้นมีมากจนทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ แน่นขนัด ทั้งหมดมีเก้าชั้น มากเกินแสนโลงขึ้นไป และในแต่ละโลงก็มีคลื่นน่าหวาดกลัวแผ่ออกมา ยิ่งเป็นชั้นล่างๆ โลงก็ยิ่งน้อยลง คลื่นที่ส่งออกมาทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับตกตะลึง
ยิ่งเป็นชั้นที่เก้าซึ่งอยู่ล่างสุด ตรงนั้นมีแค่โลงเดียว ทว่าปราณที่แผ่ออกมาจากข้างในกลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่รับสัมผัสผ่านแผ่นป้ายคำสั่งถึงกับอึ้งค้าง เพราะนั่นคือปราณของ…ครึ่งเทพ!!
“สวรรค์…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจถี่รัวจนหน้าอกกระเพื่อมรุนแรง และเขาก็ค้นพบว่าป้ายตัวตนชิ้นนี้ แท้จริงแล้วก็คืออาวุธอย่างหนึ่ง อาวุธที่ใช้ควบคุมโลงศพนับแสนโลงนั้น!
เขายังถึงขั้นสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เพียงแค่ความคิดเดียวของเขาก็สามารถเปิดโลงศพทั้งแสนโลงได้ในเวลาเดียวกัน ให้ศพที่อยู่ข้างในลืมตาและรับฟังคำสั่งจากเขา!
“นี่น่ะหรือคือจวนตรวจการ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงดึงเอาอำนาจจิตกลับคืนมา เหม่อมองป้ายสีดำที่อยู่ในมือ เขาไม่เชื่อว่านี่คือป้ายคำสั่งหลัก เขาเข้าใจดีว่าต้าเทียนซือย่อมไม่มีทางมอบพลังอำนาจที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ให้กับตนทั้งหมด
“นี่น่าจะเป็นป้ายลูก…ป้ายแม่ตัวจริงน่าจะอยู่ในมือของต้าเทียนซือ เขาสามารถใช้กลุ่มอิทธิพลที่อยู่เบื้องล่างจวนตรวจการนี้มาเปลี่ยนแปลงราชสำนักได้เลย!”
“แต่นี่ก็ยังไม่น่ากลัวอะไร ขอแค่ข้าไม่เป็นปฏิปักษ์กับต้าเทียนซือ ข้าก็สามารถใช้กองกำลังนี้ได้เหมือนกัน และแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด หลังจากปรับลมหายใจ เขาก็ผสานรวมอำนาจจิตเข้าไปในป้ายคำสั่งอีกครั้ง ก่อนจะจ้องนิ่งไปยังโลงศพที่อยู่ใกล้กับตัวเองมากที่สุด
“จงตื่น!”
จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเกิดคลื่นเคลื่อนไหว ทันใดนั้นประตูใหญ่ของหอเรือนที่เขาอยู่ รวมไปถึงบนพื้นดินที่มีก้อนอิฐปูเอาไว้ก็พลันสั่นไหว พริบตาเดียวพื้นดินก็ปริแตก โลงศพสีดำสนิทซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งโบราณกาลบินพรวดออกมา เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง มันก็ตั้งตรงอยู่บนพื้นดิน ก่อนที่ฝาโลงนั้นจะถูกพลังขุมใหญ่ผลักออกมาจากภายใน
เมื่อฝาโลงร่วงกระทบพื้น กลิ่นอายแห่งความตายซึ่งคละเคล้าไปด้วยกลิ่นอายของความเน่าเปื่อยก็แผ่ไปทั่วสี่ทิศ ตามมาด้วยชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สวมเกราะเหล็กสีดำ ใส่หน้ากากสีดำ ตลอดทั้งร่างแผ่ปราณดุร้ายไร้คำบรรยาย ที่…เดินออกมาจากโลง!
ความเข้มข้นของปราณดุร้ายนี้ปานประหนึ่งว่าเขาเคยผร่าผลาญชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
เขาเดินออกมาช้าๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นัยน์ตามีประกายแสงสีแดงวาบผ่าน
คลื่นก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบขุมหนึ่งแผ่ออกมาบนร่างของศพเกราะดำนี้อย่างชัดเจน เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนปราดหนึ่ง
หลังจากจดจำปราณของป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ได้แล้วจึงก้มหน้าลงต่ำ เสียงตึงดังหนึ่งครั้งก็เห็นว่าอีกฝ่ายคุกเข่าข้างเดียวอยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
“คารวะท่านใต้เท้า!” เสียงอื้ออึงดังออกมาจากปากของเขา ในน้ำเสียงที่ทุ้มหนักแฝงเร้นไว้ด้วยความเคารพนบน้อมอย่างหาที่สุดไม่ได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้านิ่งขรึม นัยน์ตาฉายประกายมีชีวิตชีวาสดใส วิญญาณป๋ายฮ่าวเองก็อึ้งงันไปเช่นเดียวกัน
“ไม่นึกเลยว่าจวนตรวจการจะซุกซ่อนรากฐานแบบนี้เอาไว้!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถือป้ายคำสั่งอยู่ในมือ ท่ามกลางความตื่นเต้น พลังจิตก็กวาดไปทั่วป้ายคำสั่งอย่างต่อเนื่อง ส่งผ่านคำสั่งปลุกให้ศพที่อยู่ในแต่ละโลงตื่นขึ้นมา
ไม่นานพื้นดินตลอดทั้งจวนตรวจการก็พลันสั่นสะเทือน โลงแล้วโลงเล่าทยอยกันบินออกมา พริบตาเดียวก็มีมากนับพันกว่าโลง พอทุกโลงพลิ้วลงตั้งตรงบนพื้นดิน ฝาโลงพวกนั้นก็ล้วนถูกผลักเปิด ครั้นจึงมีชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่สวมเกราะสีดำที่มีปราณเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนทยอยกันเดินออกมา!
ท่ามกลางคนเหล่านี้ ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นก่อกำเนิดช่วงกลาง ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือสองคนที่เป็นครึ่งก้าวคนฟ้า การปรากฏตัวของพวกเขาได้แผ่ปราณเหี้ยมโหดไปทั่วทั้งฟ้าดิน ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของลมและเมฆ รอบด้านก็คล้ายจะมีเสียงผีร้องหวีดหวิวดังอื้ออึงไปทั่ว
และนี่ยังเป็นเพียงส่วนน้อยนิด เทียบกับโลงมากมายที่อยู่ใต้จวนตรวจการไม่ได้แม้เพียงเสี้ยว ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะเรียกออกมามากกว่าเดิม กลับพบว่าป้ายคำสั่งนี้หาใช่จะมีประสิทธิภาพครอบคลุมทุกด้าน มันยังมีตราผนึกบางอย่างแฝงอยู่ ราวกับว่ามากสุดก็เรียกออกมาได้แค่หนึ่งพันตนเท่านั้น
อีกทั้งยังเรียกได้แค่เจ็ดชั้นแรก ส่วนชั้นที่แปดมีโลงทั้งหมดสิบโลง ซึ่งปราณที่แผ่ออกมาคือปราณของคนฟ้า แต่กลับเห็นได้ชัดว่าไม่มีจิตวิญญาณ มีแค่พลังของกล้ามเนื้อเรือนกายเท่านั้น
“พันคนก็ได้แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ย่อท้อเพราะเหตุนี้ กลับกันคือเขาปิติยินดีอย่างถึงที่สุด มองชายฉกรรจ์สวมเกราะดำพันคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วหัวเราะร่าเสียงดัง ความรู้สึกเช่นนี้คล้ายได้ย้อนกลับไปตอนอยู่กำแพงเมืองอีกครั้ง เพียงแค่ชี้นิ้วสั่ง กองพันก็เคลื่อนพล
“หากพวกคนของเมื่อหลายวันก่อนมาหาเรื่องข้าอีกครั้ง คราวนี้ข้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แค่โบกมือทีเดียวก็สามารถทำให้คนพวกนั้นหมอบกราบกันหมด!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด หลังจากเปรียบเทียบกัน เขาก็พบว่าต้าเทียนซือน่าเชื่อถือกว่าราชาผียักษ์มากนัก ของรางวัลที่ราชาผียักษ์มอบให้เขาล้วนเป็นเพียงมายาที่ว่างเปล่า ทว่าต้าเทียนซือผู้นี้แค่ลงมือก็มอบกองพันให้กับเขาแล้ว
นอกจากกองพันนี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนยังเจอวิธีการใช้แบบอื่นจากป้ายคำสั่งสีดำนี้ เขาพบว่าในป้ายคำสั่งมีข้อมูลปริมาณมากสะสมอยู่ภายใน
ข้อมูลเหล่านี้มีครอบคลุมทุกอย่าง ปกคลุมไปทั่วแดนทุรกันดาร รวมไปถึงชนสูงศักดิ์ทั้งหมดในนครจักรพรรดิขุย ราวกับว่ามีดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนคอยจับจ้องมองทุกคน และรวบรวมทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้คนที่ควบคุมป้ายคำสั่งนี้แค่กวาดตามองก็รู้ความลับแทบทั้งหมดใต้หล้า
นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุด จากในข้อมูลเหล่านี้ทำให้เขาตรวจสอบเจอทันทีว่าที่คนหลายร้อยมาล้อมโจมตีตนก็เพราะมีคนสร้างข่าวลือ ก่อนจะผลักดันให้มันลุกลามเป็นลูกคลื่นจนกระทั่งไปกระตุ้นความเดือดดาลของฝูงชน ทำให้คนเหล่านั้นมาล้อมฆ่าเขาในที่สุด
และตัวการข่าวลือนั้น โจวหงเป็นเพียงแค่ตัวนำหนึ่งเท่านั้น เพราะแทบทุกคนที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัวไปในกาหลอมวิญญาณต่างก็เป็นตัวช่วยในเรื่องราวครั้งนี้ แต่นี่ยังเป็นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น เพราะเบื้องหลังเรื่องนี้…กลับมีร่องรอยขององค์ชายสองคนอยู่…
ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดดาลขึ้นมาทันใด ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้รายละเอียดของเรื่องพวกนี้ ตอนนี้เพิ่งจะได้รู้อย่างชัดเจน ป๋ายเสี่ยวฉุนไพล่นึกไปถึงชายหนุ่มคนถือเข็มทิศที่อยู่ข้างกายโจวหง เขาจึงรีบตรวจสอบผ่านป้ายคำสั่งนี้ทันที ไม่นานเขาก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร
ชายหนุ่มที่ถือเข็มทิศผู้นั้นก็คือหนึ่งในขุนนางต่างถิ่นซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาขององค์ชายใหญ่!
“รังแกกันมากเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกขึ้นได้ถึงภารกิจที่ต้าเทียนซือมอบให้ แล้วพอนึกถึงจิตสังหารที่คนพวกนี้มีต่อตน ดวงตาของเขาก็พลันเผยประกายเย็นชา
“อาจารย์ เรื่องนี้ต้องทนไว้ก่อนถึงจะดี หากไปทำลายงานใหญ่ของต้าเทียนซือเพราะเรื่องนี้ พวกเราจะกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำ…”
วิญญาณป๋ายฮ่าวอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีท่าทีเกรี้ยวกราดจึงรีบเอ่ยถาม เมื่อได้รู้คำตอบ เขาก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ครั้นจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อม
“เรื่องนี้ทนไม่ได้ สองเรื่องนี้คือเรื่องเดียวกัน อย่างไรซะต้าเทียนซือก็ไม่รู้ว่าใครมีใจภักดีต่อจักรพรรดิขุย แล้วก็ไม่ได้บอกข้าด้วยว่าใครที่ไม่สามารถไปตรวจสอบได้!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือ เมื่ออำนาจมาอยู่ในมือ แถมยังมีต้าเทียนซือหนุนหลัง สามารถพูดได้ว่าชีวิตน้อยๆ ของเขาปลอดภัยอย่างเต็มที่ และด้วยนิสัยของเขาก็ย่อมต้องแก้แค้นอยู่แล้ว
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เข้าใจดีว่าแม้ตนจะมีคำสั่งจากต้าเทียนซือ สิทธิ์และอำนาจก็มีไม่น้อย แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีหลักฐานบางอย่าง เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน เขาก็ไม่มีทางกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำ
สำหรับคนอื่นหลักฐานอาจหาได้ยาก แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว หากเขาคิดจะหาหลักฐาน ในสมองของเขาก็มีภาพคุกมืดในนครผียักษ์ลอยขึ้นมา ภาพที่ตัวเองช่วงชิงหมื่นความลับซึ่งซุกซ่อนอยู่ในใจของเหล่านักโทษฉกรรจ์มาได้
“ไป พวกเราไปที่คุกใหญ่ของนครจักรพรรดิขุยกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยอย่างโอหัง ก่อนจะพาวิญญาณของป๋ายฮ่าวบินออกไป เมื่อความคิดเขาแปรเปลี่ยน ชายฉกรรจ์เกราะดำทั้งพันคนก็บินห้อมล้อมป๋ายเสี่ยวฉุนห้อทะยานไปยังทิศไกล
แม้ตอนนี้จะเป็นยามสนธยา ทว่าความครึกครื้นรุ่งเรืองในนครจักรพรรดิขุยยังอยู่ไกลเกินกว่าจะซาหาย บนถนนมีคนเดินกันขวักไขว่ และชายฉกรรจ์เกราะดำทั้งพันคนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพามาก็มีท่าทางดุดัน ทุกที่ที่ผ่านจึงเหมือนมีลมทะมึนพัดโชย ทั้งกำเริบเสิบสาน และทั้งมีกลิ่นอายแห่งความตายและปราณดุร้ายแผ่อวลไปทั่วร่างของชายฉกรรจ์เกราะดำเหล่านั้น นี่จึงทำให้ทุกคนที่มองเห็นใจสั่นหวาดผวา
“คนพวกนั้นคือใคร…ปราณดุร้ายช่างเข้มข้นยิ่งนัก!!”
“นั่นไม่ใช่ป๋ายฮ่าวหรอกหรือ เหตุใดพวกผู้ฝึกวิญญาณเกราะดำที่อยู่ด้านหลังเขาถึงได้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่น่ากลัวขนาดนั้น!!” เสียงวิพากษ์วิจารณ์พลันดังกระหึ่ม
ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจฮึกเหิม เมื่อสัมผัสได้ว่ามีสายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนมองมาที่ตัวเอง เขาก็ยิ่งเกิดความห้าวเหิม มีความรู้สึกประหนึ่งว่าเมื่อมีกองทัพนับพันอยู่ในมือ ใครหน้าไหนจะกล้ามาแหยมกับข้า